งาน ของ Paul Farmer ในบทความชื่อ Social Inequalities and Emerging Infectious Diseases (1996) หรือความไม่เท่าเทียมทางสังคมและการเกิดโรคติดเชื้อ Inequalities and Infectious (1999)
Farmer ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของผู้คนทุกข์ยากในประเทศเฮติเพื่อทำความเข้าใจในประเด็นนี้
โดยนำเรื่องของJean เชื่อมโยงกับภาวะโรคติดเชื้อและความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม...
Jean Dubuisson ที่ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเขาอายุเท่าไหร่ เขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆในที่ราบสูงของประเทศเฮติ เขาทำฟาร์มในพื้นที่ดินผืนเล็กๆ อาศัยอยู่ในกระท่อมที่พักอาศัย ที่เขาแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือพื้นที่หลับนอนของเขากับภรรยาที่ชื่อ Marie ส่วนที่สองคือพื้นที่หลับนอนของลูกเขา 3 คน ที่ยังคงมีชีวิตเหลือรอดอยู่ พ่อของJean ต้องสูญเสียที่ดินของเขาในการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำที่ชื่อว่า “Perige” ที่นำไปสู่การสูญเสียครอบครัวขนาดใหญ่ของเขาไป ญาติพี่น้องทุกคนของเขาต่างกระจัดกระจายและถูกผลักไปสู่ความทุกข์ยากลำบากของชีวิต ในช่วงก่อนที่เขาจะป่วย Jean และ Marie ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อเลี้ยงดูลูกๆของพวกเขา ลูกสองคนของเขาเสียชีวิตก่อนจะอายุครบ 5 ขวบ ลูกสองคนของเขาพ่ายแพ้ต่อความเจ็บป่วยและไม่สามารถจะอดทนกับความยากลำบากของชีวิตที่เผชิญได้...
ช่วงเวลาที่เลวร้ายของ Jean เกิดขึ้นประมาณช่วงปี 1990 โดย Jean เริ่มต้นไอติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ เขาเพิกเฉยต่อภาวะของการไอเรื้อรังที่ดำเนินมาเป็นระยะเวลายาวนาน และตามด้วยอาการมีไข้แบบเว้นระยะ หรือ Intermittent Fever หรืออาการที่อุณหภูมิร่างกายไม่คงที่ อุณหภูมิสูง ต่ำ ขึ้นลง ในระหว่างช่วงบ่ายหรือเย็นเสมอ หมู่บ้านที่ Jean อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่มีคลินิกหรือร้านขายยา อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการเดินทางไปคลินิกในหมู่บ้านใกล้เคียงที่อยู่ใกล้เมืองค่อนข้างสูง ก็เพียงพอที่จะห้ามผู้ชายอย่าง Jean ให้เก็บตัวนอนสั่นระริกบนพื้นที่สกปรกในกระท่อมของเขาโดยไม่เดินทางไปรักษา เขาเริ่มต้นที่จะมีเหงื่อออกตอนกลางคืน เหงื่อที่ออกตอนกลางคืนเป็นสิ่งที่เลวร้ายภายใต้ปัจจัยเงื่อนไขต่างๆมากมาย....
Marie เล่าว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ต้องเสาะแสวงหาผู้เชียวชาญมารักษาอาการป่วยของJean แต่การรักษาก็เลื่อนออกไปหลายเดือน เนื่องจาก Jean ปฏิเสธการรักษา เพราะว่าเป็นช่วงเปิดเรียน เขาจะต้องกันเงินเป็นค่าเล่าเรียนลูก รวมทั้งค่าสมุด ค่าหนังสือ ค่าเครื่องแบบนักเรียน Jean จึงไม่คิดเสาะหาการรักษาในทางชีวะการแพทย์ เขายืนกรานที่จะดื่มชาสมุนไพรในการเยียวยาอาการเจ็บป่วย ร่างกายของ Jean ค่อยๆเสื่อมลงอย่างช้าๆในระยะเวลาหลายเดือนที่เขารักษาด้วยวิธีการนี้ น้ำหนักตัวของเขาลดลงไปมาก ที่นำไปสู่เหตุการณ์ต่อมาที่Jean และ Marie เล่าถึงภาวะที่ Jean ไอเป็นเลือด (Hemoptysis) ที่ลักษณะดังกล่าวเป็นอาการร่วมกันของผู้คนในชนบทของเฮติ โดยประชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่เชื่อว่า ความเย็นหรือ Grip เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการนี้ Jean และครอบครัวของเขาสรุปว่าเขาเป็นโรควัณโรค (Tuberculosis) และพวกเขารู้ว่า Jean มีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือถ้าไม่เดินทางไปคลินิกเพื่อรับการรักษาโรคก็ต้องไปรักษาโรคด้วยหมอผีวูดู (Voodoo Priest) ตามความเชื่อท้องถิ่น สุดท้าย Jean ได้ข้อสรุปด้วยตัวเองว่า วัณโรคของเขาเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับสาเหตุโดยธรรมชาติมากกว่าจะเป็นเรื่องของไสยศาสตร์ ด้วยอาการผอมแห้ง (Emaciated)และอาการโลหิตจาง (Anemic) เขาเดินทางไปคลินิกที่ใกล้ที่สุดกับหมู่บ้านของเขาเพื่อจะรักษาความเจ็บป่วย...
ณ คลินิก Jean ใช้จ่ายเงินไป 2 ดอลลาร์สำหรับวิตามินบีรวม และตามมาด้วยคำแนะนำเกี่ยวกับการกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ (แม้ว่าเขาจะอดอยากและไม่มีกินก็ตาม) การดื่มน้ำสะอาด (แม้ว่าสาธารณูปโภค การจัดการระบบน้ำในชุมชนของเขามีปัญหา) การนอนหลับในห้องที่เปิด (ทั้งที่ความจริงสภาพห้องของเขาแออัดและปิดมิดชิด) และอยู่ให้ห่างไกลจากคนอื่นๆ (เขามีบ้านหลังเดียวและต้องอยู่ร่วมกันกับครอบครัว) และสุดท้ายเขาต้องไปที่โรงพยาบาล (เขาต้องเดินทางไปไกลและเสียค่าใช้จ่ายมาก) สิ่งที่ตามมาจากคำแนะนำนั้นคือครอบครัวของเขาจะต้องขายไก่ ขายหมู และบางทีอาจจะต้องขายที่ดินแปลงเล็กๆของพวกเขาออกไปด้วย พวกเขารู้สึกลังเลใจและเริ่มสัมผัสรับรู้ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตของพวกเขาจากความเจ็บป่วย
สองเดือนต่อมา ปริมาณเลือดที่ออกมามากเกินปกติจากการไอ(massive hemoptysis) เขาจึงถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลในเครือของโบสถ์ที่เมือง Port -au-prince ที่ซึ่ง Jeanต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้ 2 เดือน ก่อนที่จะส่งตัวไปยังโรงพยาบาลของรัฐ ในระหว่างที่เขารักษาตัวที่โรงพยาบาล เขาต้องเสียค่าใช้จ่าย 4 ดอลลาร์ต่อวันเป็นค่าเตียงคนไข้ ในขณะที่รายได้ต่อหัวของคนชนบทในเฮติ อยู่ที่ 200 ดอลลาร์ต่อปี(ประมาณ 7,000บาทต่อปี) เมื่อเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเขียนใบสำคัญรับเงินให้เขา เขาต้องไกล่เกลี่ยกับโรงพยาบาลในการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นงวดๆ ...
ทั้งที่ความเป็นจริงแล้ว Jean ไม่สามารถบอกเล่าบางสิ่งได้ว่า การรักษาที่เขาได้รับจากบริการทางการแพทย์น้อยกว่าค่ารักษาพยาบาลที่ต้องจ่ายมาก รวมทั้งโรงพยาบาลส่วนใหญ่ในเฮติไม่มีการบริการอาหารสำหรับผู้ป่วยร่างกายของเขาผอมโซ และมันว่ายมากที่เขาจะปลดปล่อยตัวเองออกจากโรงพยาบาล เมื่อครอบครัวของเขาต้องขาดแคลนเงินและผลผลิตสำหรับการบริโภคที่หมดไปกับการรักษา เขาตัดสินใจออกจากโรงพยาบาล..เขาบอกว่าในช่วงที่กลับบ้านแม้ว่าเขายังไอและมีเหงื่อออกในตอนกลางคืน แต่ยังโชคดีที่เขาไม่ไอเป็นเลือด เขายืนยันถึงความโชคดีของตัวเองแม้ว่าจะไม่ได้หายจากโรคนี้
สำหรับคนเฮติก็เผชิญชะตากรรมช่นเดียวกับ Jean ที่ความยากจนและความหิวโหยได้มาพร้อมกับวัณโรค รวมทั้งการได้รับการดูแลรักษาที่ไม่ดีพอเมื่อพวกเขาไปยังโรงพยาบาล ที่กลายเป็นประสบการณ์ร่วมกัน
สุดท้าย Jean และMarie ก็ย้ายบ้าน พวกเขาและลูกย้ายไปที่เมือง Boris Joli ที่นั่นพวกเขาไม่มีทั้งหลังคาบ้านและผืนแผ่นดินที่เคยมี มันกลายเป็นสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญ ร่างกายที่ซูบผอมของJeanและสายตาที่ดูครุ่นคิดกังวลและการมีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง ทำให้เขาเริ่มต้นกระบวนการรักษาช่วงเดือนพฤษภาคม 1991 น้ำหนักเขาเพิ่มขึ้น 18 ปอนด์ ในช่วง3 เดือนแรกของการรักษา แต่ในขณะเดียวกันลูกสาวคนโตของเขาก็พบว่าเป็นวัณโรคในต่อมน้ำเหลืองและต้องได้รับการรักษาด้วยเช่นกัน แม้ว่าJean จะเริ่มต้นทำการรักษา แต่บางอย่างก็สายเกินไป เรื่องจากปอดข้างซ้ายของเขาถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่Marie ภรรยาของเขาก็กลายเป็นผู้ใช้แรงงาน Jean ก็ต้องพึ่งพาการดูแลของลูกสาวผู้ซึ่งเธอก็ต้องรักษาตัวเองด้วย Jean บอกว่าเขาทำอะไรเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว มันยากและเลวร้ายมากแค่การที่เขาจะปีนเขา...
เรื่องของ Jean สะท้อนให้เห็นว่าความน่ากลัวของโครงสร้างทางสังคมที่ไม่เท่าเทียมต่างหาก ที่ชักนำผู้คนไปสู่ความเจ็บป่วยและความตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยที่เพิ่งเข้ามา ต่างมีวิธีการในการรักษา และมีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะในการทำให้ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ทุเลาเบาบางลงได้ แต่ความยากจนที่ฝังแน่นถาวร ทำให้พวกเขาเข้าไม่ถึง เพิกเฉย ปฏิเสธ กระบวนการรักษาหรือการเข้ารับบริการทางสุขภาพ...สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้พวกเขากลายเป็นคนป่วยอย่างถาวร
ชีวิตของคนป่วยคนหนึ่ง จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของปัจเจกชน แต่ยังผูกโยงกับคนรอบข้าง ครอบครัว ชุมชนด้วย การรักษาอาการความเจ็บป่วยของเขา อาจบำบัดเพียงตัวเขา แต่ต้องแลกด้วยความยากลำบากของชีวิตคนรอบข้าง...
ประเด็นเรื่องของโรคติดเชื้อมีความน่าสนใจ ทั้งโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ (new infectious diseases) หมายถึงโรคติดเชื้อชนิดใหม่ๆที่มีรายงานผู้ป่วยเพิ่มขึ้นในระยะประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา หรือ โรคติดเชื้อที่มีแนวโน้มที่จะพบมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ โรคอุบัติซ้ำ (Re-emerging Infectious Diseases) คือโรคที่อาจพบในอดีตเคยเกิดการระบาดและสงบมาช่วงหนึ่งและกลับมาระบาดใหม่เช่น กาฬโลกรวมไปถึงโรคที่เกิดขึ้นใหม่ในที่ใดที่หนึ่ง หรือโรคที่เพิ่งจะแพร่ระบาดเข้าไปสู่อีกที่หนึ่งละยังรวมถึงโรคติดเชื้อที่เคยควบคุมได้ด้วยยาปฏิชีวนะแต่เกิดการดื้อยา ตัวอย่างโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ เช่น โรคเอดส์ ไข้หวัดใหญ่ ไข้หวัดนก และวัณโรคดื้อยา โรคซารส์ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกี่ยวกับการดื้อยา (Antimicrobial resistant organism) อาวุธชีวภาพ (Deliberate use of bio-weapons) หรือโรคที่พบในประเทศ ทวีปอื่นแล้วแพร่กระจายการระบาด (new geographical areas)...
มุมมองในเชิงมานุษยวิทยาการแพทย์ น่าจะเข้าไปทำการเชื่อมโยงมิติทางการแพทย์ การอธิบายในมิติที่เกี่ยวข้องกับผู้คน วิธีคิด การให้ความหมาย การตีความ พฤติกรรม การปฏิบัติในชีวิตประจำวันที่เกี่ยวพันกับมิติทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลกระทบและผลักพวกเขาให้เข้าไปสู่ความเจ็บป่วยและความตาย เชื้อโรคอาจดำรงอยู่ของมันในธรรมชาติ แต่ตัวเร่งเร้าความเจ็บป่วยและสร้างการเข้าถึงความเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยมากกว่าก็คือเรื่องโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมและเป็นธรรม
ความไม่เท่าเทียมของผู้คนไม่ได้แค่มีความสัมพันธ์กับการกระจายของโรคเท่านั้น แต่มันยังเป็นเส้นทางเดินหลักที่นำไปสู่ความเจ็บป่วยที่สร้างส่งผลกระทบต่อผู้คนที่ยากไร้
ความเจ็บป่วยเกี่ยวโยงกับเรื่องของ class, Racism และ sexism ชนชั้นเชื้อชาติและเพศ...
พื้นที่ชีวิตของคนยากไร้และคนชายขอบ กลายเป็นพื้นที่ที่เปิดรับเชื้อโรคอย่างไม่จำกัด แต่ขณะเดียวกันก็กลับเป็นพื้นที่ปิดสำหรับโอกาสในการรักษาที่เป็นธรรม เท่าเทียม เสมอภาคและการเข้าถึงบริการสุขภาพที่ครอบคลุม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น