วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

มานุษยวิทยาจากบ้าน ความท้าทายในช่วงโควิด โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

เช้าวันอาทิตย์นั่งเตริยมการสอน อ่านบทความเรื่อง Anthropology From Home : Advice on Digital Ethnography เช้าวันอาทิตย์นั่งเตริยมการสอน อ่านบทความเรื่อง Anthropology From Home : Advice on Digital Ethnography for the Pandemic Times ของ Magdalena Goralska  นักมานุษยวิทยาชาวโปแลนด์ มีความน่าสนใจในการบรรยายถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของนักมานุษยวิทยาในการทำงานในช่วงสถานการณ์การระบาด บทความชิ้นนี้ทำให้เห็นสภาวะของอารมณ์ความรู้สึก การปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานสนาม จากEthnography สู่ APPnography ที่ให้อารมณ์ ความรู้สึก ข้อเสนอแนะ และเครื่องมือในการทำงานสนามในช่วงโควิดของนักมานุษยวิทยาดิจิทัล

 สำหรับผู้เขียนบทความชิ้นนี้ในฐานะนักมานุษยวิทยาดิจิดัลที่ทำงานศึกษาด้านสุขภาพ ชี้ว่าผลกระทบของโควิดส่งผลกระทบต่อการทำงานภาคสนามที่จะต้องมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว... แต่ไม่ใช่ว่านักมานุษยวิทยาทุกคนจะพบว่าตนเองต้องเผชิญกับอุปสรรคต่างๆ ทั้งในการใช้ชีวิตส่วนตัวและในการทำงานทางวิชาชีพ งานภาคสนามที่เลื่อนออกไป ขยายเวลา หรือแม้แต่ยกเลิกที่หมายถึงการสูญเสียทางการเงินจากค่าใช้จ่ายภาคสนามที่ไม่สามารถขอคืนได้หรือไม่ได้วางแผนเอาไว้ และอาจหมายถึงการตกงานเสียด้วยซ้ำ ด้วยความไม่มั่นใจว่าโลกหลังโรคระบาดจะมีลักษณะอย่างไร และรวมถึงการทำงานดิจิทัล เมื่อการ 'โพสต์' ได้เริ่มต้นขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์หรือการขอเก็บข้อมูลทางออนไลน์ นักชาติพันธุ์วิทยาหลายคนถูกทิ้งให้รอ โดยไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรและจะต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงใดเพื่อให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่องและกลับไปทำงานในแบบเดิมได้ในอนาคต

         เนื่องจากงานชาติพันธุ์วิทยาดิจิทัลถือเป็นหนทางเดียวในข้อจำกัดของการแพร่ระบาดนี้ ภายใต้คำว่า 'มานุษยวิทยาจากบ้าน'  สถานการณ์ของการระบาดใหญ่ทำให้ชีวิตของผู้คนกลับหัวกลับหาง ไม่เพียงแต่การส่งผลกระทบหรืออันตรายต่อสุขภาพในเรื่องความเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ทางสังคม การทำงานและสถานการณ์ทางการเงินด้วย แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ว่าการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัสจะกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ ประสบการณ์ใหม่ที่ส่งผ่านระหว่างรุ่นต่อรุ่นจริงหรือไม่ บางคนคาดการณ์ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น หลายสิ่งหลายอย่างจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน 

           ในฐานะนักมานุษยวิทยา ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีความเหมาะสมอย่างมากเช่นเดียวกับนักสังคมศาสตร์อื่นๆ ที่จะศึกษาและเก็บข้อมูลในเชิงลึกเกี่ยวกับโรคระบาดนี้ บางคนอาจกล่าวว่าถือเป็นจรรยาบรรณทางวิชาการของพวกเราในการดำเนินการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและมีส่วนทำให้เกิดความเข้าใจถึงผลที่ตามมาอย่างกว้างขวาง แต่ในสถานการณ์นี้ เราไม่ได้ยืนอยู่บนโอกาสที่เคยมีมาก่อนในการเก็บข้อมูล การบันทึกและการวิเคราะห์กลุ่มชาติพันธุ์ที่เราศึกษา ภายใต้ระเบียบวิธีการวิจัยของเราที่เคยทำมา... คำถามคือ แล้วทำไมเราถึงไม่ควรออนไลน์และทำชาติพันธุ์วิทยาดิจิทัล เนื่องจากมีคนจำนวนมากติดอยู่ที่บ้านเหมือนเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำสนามที่บ้าน..

    นักมานุษยวิทยา นักชาติพันธุ์วิทยา นักขาติพันธุ์วรรณนา ไม่ใช่ทุกคนที่ติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด บางคนพบว่าตัวเองไม่สามารถสร้างสรรค์งานได้ในช่วงล็อกดาวน์ แม้ว่าหรืออาจเป็นเพราะสัปดาห์ที่กำลังผ่านไป บางคนมีลูกเล็กหรือพ่อแม่ที่อายุมากกว่าที่ต้องดูแล บางส่วนหยุดชะงักในกิจกรรมภาคสนาม ไม่สามารถดำเนินการวิจัยได้ พวกเขาต้องอยู่คนเดียว เนื่องจากพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์กับผู้เข้าร่วมการวิจัยที่ใกล้ชิดพอที่จะขอความช่วยเหลือหรือสร้างความเป็นเพื่อนจากพวกเขาได้ บางคนต้องเผชิญกับการเป็นปรปักษ์เมื่อความแปลกปลอมเริ่มที่จะสร้างความกลัวว่าเป็นแหล่งหรือพาหะของโรค เราทุกคนมีสิทธิ์ที่จะกลัวและรู้สึกสับสนเหมือนคนอื่นๆ ผลที่ตามมาจากปรากฏการณ์ coronavirus ที่ระบาดทั่วโลกจะยังคงดำรงอยู่กับเราในทุกพื้นที่ ไม่ว่างานภาคสนามของเราจะอยู่ที่ใดก็ตาม  ปัญหาที่นักมานุษยวิทยาต้องเจอคือการปรับตัวกับสนามที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังเช่น สิ่งที่ผู้เขียนบทความชิ้นนี้ บรรยายว่า

       “เมื่อดวงอาทิตย์สาดส่องบนหน้าจอแล็ปท็อปของฉันที่ดับไปนานแล้ว ฉันนั่งตัวแข็งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นเป็นเวลาสามชั่วโมงติดต่อกัน ถูกสะกดจิตด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นทางออนไลน์ ร่างกายของฉันเริ่มแข็งทื่อไม่สบาย ฉันหมกมุ่นอยู่กับโทรศัพท์มากเกินไป ฉันกำลังติดตามการสนทนาบน Facebook เกี่ยวกับการใช้การฉีดยาวิตามิน ฉันถ่ายภาพและบันทึกย่อ มันเป็นงานภาคสนามของฉัน แต่ผู้สังเกตการณ์ที่ไม่รู้ตัวอาจจะคิดว่าฉันก็แค่เสียเวลาก่อนนอนเหมือนกับที่มนุษย์คนอื่นๆ ซึ่งมักจะทำในช่วงเวลานี้ของวัน ช่วงค่ำมีบทบาทอย่างเด่นชัดในการวิจัยของฉันเกี่ยวกับกลุ่มคนที่ให้คำแนะนำด้านสุขภาพบน Facebook ของโปแลนด์ เวลาว่างของผู้อื่นเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุดสำหรับฉัน เนื่องจากสมาชิกในกลุ่มจะโพสต์คำถามระหว่างทางกลับบ้านหรือหลังจากนั้น เมื่อลูกๆ ของพวกเขาผล็อยหลับไปแล้วที่จะทำให้พวกเขาก็มีเวลาคิด เวลาพูด ...ไม่ใช่แค่ในตอนเย็นเท่านั้นที่เห็นฉันใช้เวลากับการใช้ใบหน้าจ้องมองลงไปที่โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ฉันต้องทำงานภาคสนามตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน นั่นคือ ถ้าฉันไปตามลิงก์ที่ทำให้ฉันเดินทางทันเวลาไปยังที่ตั้งทางภูมิศาสตร์อื่นซึ่งประชากรบางสังคมยังไม่เข้านอนหรือตื่นนอนกันแล้ว ในอดีตฉันก็มักจะเน้นย้ำเสมอว่างานภาคสนามของฉันยังรวมถึงการไปในที่ต่างๆ และการพบปะผู้คนด้วย เช่น การพบปะพวกเขาจริงๆ ทางร่างกาย  การคุยกัน จับมือกัน การสัมผัสกันและอื่น ๆ แต่ในตอนนี้ความจริงก็คือ ฉันกำลังเลื่อนดู Facebook และท่องเว็บเพื่อทำงานภาคสนามส่วนใหญ่ ซึ่งมีลักษณะเหมือนเครือข่ายและเป็นแบบปลายเปิด และฉันไม่จำเป็นต้องพบกับผู้ให้สัมภาษณ์ของฉันทางร่างกายอีกต่อไป” (Magdalena Goralska,2013  )

        คำถามสำคัญคือมานุษยวิทยาหลังการระบาดของโรคจะเป็นอย่างไร ภายใต้แนวคิดเรื่องการ 'อยู่ในสนาม' ดูเหมือนจะเป็นประเด็นสำคัญเริ่มแรกที่จะได้รับผลกระทบ สำหรับนักชาติพันธุ์วรรณนา การไปสถานที่ต่างๆ (การเดินทาง) เพื่อพูดคุยกับผู้คน (มีส่วนร่วมในปฏิสัมพันธ์ทางสังคม) ไม่เพียงแต่ถูกมองว่ามีความสำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญอีกด้วย แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันของที่ตั้งในงานภาคสนามในสถานการณ์โควิดเป็นเพียงการปรับที่จำเป็น แต่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ที่ใหญ่ขึ้นซึ่งจะท้าทายยิ่งขึ้นไปอีก กับประเด็นปัญหาในเรื่องการงานภาคสนามที่อยู่ห่างไกลออกไป ซึ่งเป็นการยากที่จะประเมินถึงข้อจำกัดใดในระยะยาวเกี่ยวกับการเดินทางในท้องถิ่น ภูมิภาค และระหว่างประเทศ ที่ทำให้เรามีโอกาสค้นพบความสำคัญของงานที่เรียกว่า “มานุษยวิทยาที่บ้าน” อีกครั้ง ในขณะที่ “การออนไลน์” ก็เป็น “การเดินทางท่องโลก” เพื่อทำงานภาคสนาม การทำ “มานุษยวิทยาจากที่บ้าน” และการยอมรับชาติพันธุ์วิทยาดิจิทัลควรเป็นทางเลือกที่จำเป็นและสำคัญ




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...