วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

ชนพื้นเมือง ภาษาของปัญหาและการต่อสู้ของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

 คำว่า ชนพื้นเมืองในประเทศไทย ถือเป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและสร้างความสับสนสำหรับใครหลายๆคน ..

ในด้านหนึ่งประเทศไทยเป็นผู้ลงนามในปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนพื้นเมือง (UNDRIP) ซึ่งเป็นเอกสารรับรองสำคัญขององค์การสหประชาชาติสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก นอกจากนี้เรายังเห็นขบวนการชนเผ่าพื้นเมืองที่เข้มแข็งในประเทศไทย นับตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1980 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้เป็นฐานขององค์การสนับสนุนและสนับสนุนชนเผ่าพื้นเมืองในภูมิภาคที่สำคัญที่สุดในเอเชีย ที่เรียกว่ากลุ่มชนพื้นเมืองเอเชีย ( Indigenous Peoples ความหมายทางการเมืองของคำนี้จะหมายถึงกลุ่มชาติพันธุ์ที่ง่ายต่อการถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกกดขี่โดยรัฐชาติ ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการกำหนดสิทธิพิเศษในทางการเมืองให้กับชนพื้นเมืองโดยองค์การนานาชาติ)
ในทางกลับกัน ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้าของประเทศไทย หรือกฎหมายไทยฉบับใดที่ยอมรับหรือแม้แต่กล่าวถึง Indigenous Peoples ที่ในภาษาไทยคือชนพื้นเมือง หรือ ชนเผ่าพื้นเมือง ดังที่พวกเรารับรู้กันดีว่าเรามี ethnic groups (กลุ่มชาติพันธุ์หรือชาติพันธุ์)ในประเทศไทย แต่ก็ไม่มีการแบ่งแยกพวกเขาในด้านสิทธิและความรับผิดชอบแต่อย่างใด...
ดังนั้นจึงเป็นไปได้อย่างไรที่ประเทศไทยสามารถลงนามใน UNDRIP ในเมื่อไม่รู้จักชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศของตัวเอง?
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่า จุดยืนของไทยสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนที่เป็นทางการเช่นเดียวกับรัฐบาลส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชีย และมีรัฐบาลเอเชียเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่ยอมรับอย่างชัดเจนถึงการดำรงอยู่ของ 'ชนเผ่าพื้นเมือง' ในประเทศของตน ได้แก่ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ไต้หวัน ญี่ปุ่น และเนปาล เป็นต้น
บางประเทศมีวิธีคิดที่แตกต่างกันมากเกี่ยวกับการมองชนกลุ่มน้อย ตัวอย่างเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) ที่ยอมรับในเรื่อง เชื้อชาติแห่งชาติ (Ethnic Nationalities ) และในขณะที่อินเดียยอมรับสิ่งที่เรียกว่า Scheduled Tribes (เผ่าตามกำหนด)หรือ 'adivasi' (ผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม) ก็ปฏิเสธที่จะใช้แนวคิดของ 'Indigenous Peoples' อย่างเป็นทางการ ในอินโดนีเซีย คำว่า 'ชนพื้นเมือง' ไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐ แต่แนวคิดของ 'adat' หรือ กฎหมายจารีตประเพณีดั้งเดิมของชนพื้นเมืองแถบมลายูซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างมาก
โดยผู้ที่ยอมรับแนวคิดดังกล่าวนี้มักจะเชื่อว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีอยู่จริง และสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองควรได้รับการยอมรับและเคารพ แต่สิ่งที่เราสามารถวิพากษ์หรือขบคิดต่อได้ก็คือชนเผ่าพื้นเมืองที่ดำรงอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก มักจะมีพื้นฐานเชื่อมโยงกับการล่าอาณานิคมของผู้ตั้งถิ่นฐานในทวีปยุโรปขนาดใหญ่เท่านั้น..
ด้วยความคิดแบบนี้จึงมีความเกี่ยวข้องกับการพิจารณาชนพื้นเมืองที่ปรากฏในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ตลอดจนอเมริกากลางและอเมริกาใต้ นอกจากนี้ยังใช้กับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ประเทศทั้งหมดเหล่านี้เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับกับการล่าอาณานิคมของผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปอย่างกว้างขวาง ที่ทำให้ชาวพื้นเมืองดั้งเดิมของดินแดนแถบนี้ที่ถูกทำให้เป็นประชากรส่วนน้อในประเทศเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายคนโต้แย้งว่าในเอเชีย แนวคิดเรื่องชนพื้นเมืองไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกเขา เนื่องจากคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในเอเชียเป็นชาวเอเชีย เนื่องจากลัทธิล่าอาณานิคมของผู้ตั้งถิ่นฐานจากยุโรปแพร่หลายในเอเชียน้อยกว่าในอเมริกา ออสเตรเลีย แอฟริกา หรือนิวซีแลนด์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือรัฐบาลเอเชียหลายแห่งมีจุดยืนว่า เนื่องจากประชาชนในอาณาเขตของตนมีเชื้อสายเอเชียเกือบทั้งหมด แนวคิดเรื่องชนเผ่าพื้นเมืองจึงไม่เกี่ยวข้องและใช้กับเอเชียไม่ได้ ไม่ว่าทุกคนจะถือเป็นชนพื้นเมืองหรือไม่ใช่ชนพื้นเมืองก็ตาม ดังนั้นจึงทำให้คำศัพท์คำนี้ ถูกทำให้ไม่เกี่ยวข้องในบริบทของเอเชีย
ในบริบทของสังคมไทย พลเมืองไทยหลายคนไม่เห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการยอมรับของรัฐมีความสำคัญต่อการทำให้เกิดการยอมรับอย่างกว้างขวางในแนวความคิดทางการเมืองที่สำคัญ ซึ่งรวมถึงแนวคิดเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองด้วย
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็เป็นตัวอย่างที่ดีของภาพสะท้อนเกี่ยวกับประเทศ ที่ผู้คนจำนวนหนึ่งรู้จักตนเองว่าพวกเขาเป็นชนพื้นเมือง และประกาศถึงการมีอยู่ของพวกเขา แม้ว่ารัฐบาลจะไม่ให้การยอมรับความเป็นชนพื้นเมืองของพวกเขาก็ตาม
ประสิทธิ์ ลีปรีชา นักวิชาการชาวม้งและนักเคลื่อนไหวเรื่องชาติพันธุ์ ที่ระบุว่าเขาเป็นชนพื้นเมือง ได้เขียนไว้ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ปี 2019 ว่า การเป็นชนพื้นเมืองในประเทศไทย...ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับขบวนการของชนพื้นเมืองเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการดำรงไว้ซึ่งตำแหน่งแห่งที่ของชนกลุ่มเล็กๆโดยใช้แนวคิดเรื่องชนพื้นเมืองและการเรียกร้องต่อสู้ให้เกิดการยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานของพวกเขาด้วย..
อิทธิพลของวาทกรรมและกระบวนการระหว่างประเทศ ตั้งตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ได้เสริมสร้างขบวนการชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ดังเช่นในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการก่อตั้งเครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศไทย (NIPT) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มีการใช้คำว่า 'ชนเผ่าพื้นเมือง' อย่างชัดเจนในนามขององค์กรภาคประชาสังคมไทย ในขณะเดียวกันหน่วยงานของรัฐบางแห่งได้สนับสนุนแนวคิดเรื่องชนพื้นเมืองในประเทศไทย เช่น สถาบันชาติพันธุ์ สังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
แม้ว่ารัฐบาลกลางของประเทศไทยจะยังไม่ยอมรับอย่างเป็นทางการถึงการมีอยู่ของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย หรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของชนเผ่าพื้นเมืองและการตัดสินใจของตนเองเกี่ยวกับชนเผ่าพื้นเมืองก็ตาม
ในหลายอย่างภาคประชาชนไปไกลกว่ารัฐมาก การเชื่อถึงการมีอยู่จริง โดยไม่มีอคติ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก...ความไม่เท่าเทียมมีอยู่จริง ชาติพันธุ์ก็มีอยู่จริง ชนเผ่าพื้นเมืองก็มีอยู่จริง ธรรมชาติมีอยู่จริง วัฒนธรรม(ทั้งที่จับต้องได้ จับต้องไม่ได้ ) ก็มีอยู่จริง อย่าแยกวัฒนธรรม กับธรรมชาติออกจากกัน เพราะคุณจะไม่เห็นความเป็นมนุษย์ทั้งในธรรมชาติและในตัวคุณเอง
#มรดกโลก มรดกไทย มรดกใคร ?
# ชาติพันธุ์ ก็คือคน
เราก็คงต้องรอดูหลังจากได้มรดกโลกแล้ว รัฐจะมีแนวทางในการแก้ปัญหาให้กับพี่น้องกะเหรี่ยงบางกลอยอย่างไร เพื่อไม่ให้เป็นมรดกโลก เป็นมรดกเลือด
อ้างอิงจาก
1.Dr. Ian G. Baird is an Associate Professor in the Department of Geography at the University of Wisconsin-Madison. ใน Indigenous Peoples in Thailand: A contradictory interpretation.
2. Baird, Ian, Prasit Leepreecha, and Urai Yangcheepsutjarit. (2017) “Who should be considered ‘Indigenous’? A survey of ethnic groups in northern Thailand,” Asian
Ethnicity 18(4): 543-562.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...