ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Sex and Repression in Savage Society ของ Malinowski

วิชามานุษยวิทยาว่าด้วยเพศและเพศวิถี (Anthropology of Sex and Sexuality ) เตรียมเนื้อหาจะสอนอะไรในเทอมนี้ิ เลือกงานคลาสสิค และงานร่วมสมัยให้นักศึกษาอ่าน และถกเถียงกันในประเด็น Sex, Gender และ Sexuality 1 เล่มคลาสสิคที่ผมเลือกคือ หนังสือ Sex and Repression in Savage Society (1937) เขียนโดย Bronisław Malinowski นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียง และเป็นงานวิจัยคลาสสิคทางมานุษยวิทยาที่สำคัญและทรงอิทธิพลที่นำเสนอการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเพศและการกดขี่ในสังคมป่าดิบในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ (Trobriand Islands) สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่ผมคิดว่าน่าสนใจประกอบด้วย 1. การวิเคราะห์โครงสร้างครอบครัวและความสัมพันธ์ทางเพศ โดยมาลินอฟสกี้สำรวจและอธิบายโครงสร้างครอบครัว ความสัมพันธ์ทางเพศ และการแต่งงานในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ โดยชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่สังคมเหล่านี้จัดการกับเรื่องเพศและการสร้างครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกอย่างสิ้นเชิง 2. การวิจารณ์ทฤษฎีของฟรอยด์ โดยมาลินอฟสกี้วิจารณ์ทฤษฎีของซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เกี่ยวกับปมเอดิปัส (Oedipus complex) โดยเสนอว่าปมเอดิปัสไม่เป็นสากล และวิธีการที่ผู้คนจัดการกับความรู้สึกทางเพศและความกดดันในครอบครัวนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกัน 3 การเน้นความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและวัฒนธรรม โดยมาลินอฟสกี้เน้นว่าความสัมพันธ์ทางเพศและการกดขี่ไม่ได้เป็นผลมาจากธรรมชาติของมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่ถูกกำหนดโดยสังคมและวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง เขาใช้การวิจัยภาคสนามในหมู่เกาะโทรเบรียนด์เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในวิธีการจัดการกับเรื่องเพศระหว่างวัฒนธรรม 4. การสำรวจการควบคุมทางสังคม ในหนังสือเล่มนี้วิเคราะห์การควบคุมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ โดยมาลินอฟสกี้อธิบายว่ามีการควบคุมและกดดันทางสังคมที่กำหนดพฤติกรรมทางเพศของบุคคลอย่างไร และวิธีการที่สังคมจัดการกับการเบี่ยงเบนจากมาตรฐานทางเพศ 5. การเชื่อมโยงกับทฤษฎีทางมานุษยวิทยา มาลินอฟสกี้ใช้ผลการวิจัยของเขาในการสนับสนุนทฤษฎีหน้าที่นิยม (functionalism) โดยเสนอว่าทุกแง่มุมของวัฒนธรรมมีหน้าที่และบทบาทที่สำคัญต่อการทำงานของสังคม ดังนั้น หนังสือ Sex and Repression in Savage Society จึงเป็นงานที่ท้าทายความเชื่อเดิมเกี่ยวกับธรรมชาติของความสัมพันธ์ทางเพศและการกดขี่ในสังคม และเสนอว่าเรื่องเพศเป็นปรากฏการณ์ที่ถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมและสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นงานที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของมานุษยวิทยา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจมีหลายเรื่องที่แสดงถึงวิธีการจัดการกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ทางสังคมในหมู่เกาะโทรเบรียนด์ ตัวอย่างที่สำคัญ อาทิเช่น 1. โครงสร้างครอบครัวและความสัมพันธ์แม่-ลูกชาย โดย มาลินอฟสกี้พบว่าความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกชายในหมู่เกาะโทรเบรียนด์นั้นใกล้ชิดและอบอุ่นมาก ต่างจากทฤษฎีปมเอดิปัสของฟรอยด์ที่เน้นความขัดแย้งและแรงกดดันทางเพศระหว่างแม่และลูกชายในวัยเด็ก โดยเฉพาะเรื่องเพศ แต่ในสังคมโทรเบรียนด์ วัฒนธรรมให้ความสำคัญกับความใกล้ชิดระหว่างแม่และลูกชายโดยไม่มีแรงกดดันทางเพศเหมือนที่ฟรอยด์เสนอ ความสัมพันธ์นี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งธรรมดาและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก 2. การแต่งงานและการเลือกคู่ครอง การเลือกคู่ครองในโทรเบรียนด์ไม่ถูกกำหนดโดยพ่อแม่หรือตระกูล แต่มักเป็นการตัดสินใจร่วมกันระหว่างชายและหญิง ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกที่มักมีการควบคุมจากผู้ใหญ่ รวมทั้งความสัมพันธ์ก่อนแต่งงานได้รับการยอมรับและไม่ถูกตีตรา การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานถือเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ถูกมองว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากมาตรฐานทางสังคม 3.บทบาทของแม่และพี่น้องผู้หญิงในครอบครัว มาลินอฟสกี้พบว่าในสังคมโทรเบรียนด์ ผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในครอบครัว โดยเฉพาะในเรื่องการดูแลและการสอนลูกๆ ทัังเรื่องเพศและการเข้าสังคม โดยพี่สาวมักมีบทบาทในการแนะนำและสอนน้องชายเกี่ยวกับเรื่องเพศและการปฏิบัติตัวในสังคม การเรียนรู้เรื่องเพศจึงเป็นกระบวนการที่เปิดเผยและไม่ถูกกดดันมากนัก 4.การควบคุมและกฎเกณฑ์ทางเพศ ในสังคมโทรเบรียนด์ มีกฎเกณฑ์และการควบคุมทางเพศที่ชัดเจนแต่ไม่ได้เข้มงวดมาก การมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงานไม่ถูกมองว่าเป็นการละเมิดร้ายแรง ซึ่งมาลินอฟสกี้พบว่าการควบคุมทางเพศในโทรเบรียนด์เน้นการรักษาความสมดุลและความสามัคคีในชุมชนมากกว่าการกดขี่และลงโทษ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดการกับเรื่องเพศและความสัมพันธ์ในสังคมโทรเบรียนด์ ซึ่งมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมตะวันตกอย่างสิ้นเชิง มาลินอฟสกี้ใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อวิจารณ์และท้าทายทฤษฎีปมเอดิปัสของฟรอยด์ และเสนอว่าความสัมพันธ์ทางเพศและการกดดันในครอบครัวขึ้นอยู่กับบริบททางวัฒนธรรมและสังคม หนังสือเล่มนี้ใช้แนวคิดหน้าที่นิยมของมาลินอฟสกี้มาใช้เชื่อมโยงกับตัวอย่าง โดยมีองค์ประกอบหลักๆ ดังนี้ 1. บทบาทและหน้าที่ของสังคม มาลินอฟสกี้เชื่อว่าสังคมมีการแบ่งหน้าที่และบทบาทที่ชัดเจนสำหรับสมาชิกแต่ละคน ซึ่งบทบาทเหล่านี้มีความสำคัญในการรักษาสมดุลและความสัมพันธ์ภายในสังคม 2. การมองเห็นสังคมเป็นระบบ ซึ่งมาลินอฟสกี้เห็นว่าสังคมมีโครงสร้างและระบบที่เชื่อมโยงกันอย่างสมบูรณ์ และการทำงานของสังคมเป็นการทำงานที่มีลักษณะเชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกันทั้งหมด 3. การมองเห็นการเปลี่ยนแปลงในสังคม มาลินอฟสกี้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในสังคมเกิดขึ้นเพื่อรักษาสมดุลและการทำงานของสังคม และมักเป็นผลมาจากการปรับตัวของสมาชิกในสังคมต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม 4. การศึกษาชุดข้อมูลและการสังเกตการณ์ โดยมาลินอฟสกี้ให้ความสำคัญกับการสังเกตการณ์และการศึกษาชุดข้อมูลเพื่อให้เข้าใจการดำเนินการและการทำงานของสังคมอย่างลึกซึ้ง 5. การศึกษาการทำงานของบทบาททางสังคม มาลินอฟสกี้เน้นการศึกษาการทำงานของบทบาททางสังคมและการแบ่งหน้าที่ในสังคม เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาและการรักษาสมดุลในสังคม 6.แนวทางของการวิจัย มาลินอฟสกี้เสนอเส้นแนวทางการวิจัยที่เน้นการสร้างข้อมูลจากสถานการณ์ที่เป็นธรรมชาติและการสังเกตการณ์โดยตรง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นฐานที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และการอธิบายปรากฏการณ์ในสังคม แนวคิดหน้าที่นิยมของมาลินอฟสกี้นำเสนอภาพรวมของสังคมที่มีโครงสร้างและระบบที่สมบูรณ์ ซึ่งการใช้แนวคิดนี้ช่วยในการเข้าใจและการศึกษาเกี่ยวกับประสบการณ์และพฤติกรรมในสังคมได้อย่างลึกซึ้งและรวบรวม ดังนั้นในงาน เรื่อง Sex and Repression in Savage Society ของบรอนิสลาฟ มาลินอฟสกี้ แนวคิดทฤษฎีหน้าที่นิยม (functionalism) ถูกใช้เพื่อให้เข้าใจบทบาทและหน้าที่ของเรื่องเพศในสังคมโทรเบรียนด์ โดยพยายามตีความและอธิบายพฤติกรรมทางเพศและการกดดันทางเพศในบทบาทของสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มชนพื้นเมืองนี้ อาทิ บทบาททางสังคมและการดำเนินการของสังคม โดยทฤษฎีหน้าที่นิยมเน้นการศึกษาการทำงานและการดำเนินการของสังคม เชื่อว่าทุกสิ่งในสังคมมีบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน การศึกษาการมีเพศสัมพันธ์และการกดดันทางเพศในสังคมโทรเบรียนด์ มีเป้าหมายที่จะหาคำตอบเกี่ยวกับเหตุผลและหน้าที่ของพวกเขาในการรักษาความสมดุลและสัมพันธภาพของสังคม การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบทบาทและการทำงาน ทฤษฎีหน้าที่นิยมให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบทบาททางสังคมและการทำงานขององค์กรหรือสังคม เชื่อว่าทุกสิ่งในสังคมมีหน้าที่ในการรักษาความสมดุลและสมดุลภายใน การสำรวจโครงสร้างของสังคม โดยทฤษฎีหน้าที่นิยมใช้เครื่องมือทางสังคมศาสตร์เพื่อสำรวจโครงสร้างของสังคม การศึกษาเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์และการกดดันทางเพศในสังคมโทรเบรียนด์ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแบ่งงานและความสัมพันธ์ระหว่างบทบาททางเพศและการทำงาน การเสริมสร้างความสมดุลและสัมพันธภาพของสังคมซึ่ง ทฤษฎีหน้าที่นิยมเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์และการกดดันทางเพศในสังคมมีบทบาทในการรักษาความสมดุลและสมดุลภายในสังคม โดยการทำงานของทุกส่วนส่วนมีเป้าหมายที่จะสร้างความสมดุลและสัมพันธภาพ ดังนั้น ทฤษฎีหน้าที่นิยมได้ถูกนำเสนอในงานนี้เพื่อช่วยในการเข้าใจและการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทและการทำงานของเรื่องเพศในสังคมโทรเบรียนด์ โดยการใช้เครื่องมือทางสังคมศาสตร์เพื่อสำรวจโครงสร้างของสังคมและการทำงานของบทบาททางสังคมและการทำงานในการรักษาความสมดุลและสมดุลภายในสังคม หากพิจารณาเปรียบเทียบสังคมของเกาะโทรเบรียนด์ (Trobriand) ที่บรอนิสลาฟ มาลินอฟสกี้ศึกษา ก็จะมีความแตกต่างในเรื่องเพศจากสังคมอื่นๆมาก เช่นในสังคมตะวันตกของมาลินอฟสกี้ ในหลายประเด็นเช่น 1. ความสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน ในสังคมโทรเบรียนด์ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาและได้รับการยอมรับจากสังคม ผู้ชายและผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศได้อย่างอิสระก่อนการแต่งงาน ซึ่งแตกต่างจากค่านิยมของสังคมตะวันตกที่มักมองว่าการมีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงานเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมและถูกตีตรา 2. การเลือกคู่ครอง การเลือกคู่ครองในสังคมโทรเบรียนด์เป็นกระบวนการที่เปิดเผยและยุติธรรม ชายและหญิงสามารถเลือกคู่ครองของตนเองได้โดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากพ่อแม่หรือตระกูล ขณะที่ในสังคมตะวันตกโดยเฉพาะในอดีต การแต่งงานมักถูกควบคุมโดยครอบครัวและสังคม 3. บทบาทของพี่น้องผู้หญิง ในสังคมโทรเบรียนด์ พี่สาวมักมีบทบาทในการสอนน้องชายเกี่ยวกับเรื่องเพศและการเข้าสังคม ขณะที่ในสังคมตะวันตก การสอนเรื่องเพศมักถูกจำกัดให้อยู่ในบทบาทของพ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนอื่นๆ 4. การปฏิบัติต่อเด็กและการเรียนรู้เรื่องเพศ ตัวอย่าง เด็กในสังคมโทรเบรียนด์ได้รับการสอนเรื่องเพศอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องเพศผ่านการสังเกตและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของผู้ใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตกที่การสอนเรื่องเพศมักถูกควบคุมและจำกัด 5. การกดขี่ทางเพศและปมเอดิปัส มาลินอฟสกี้พบว่าในสังคมโทรเบรียนด์ ไม่มีการกดขี่ทางเพศในรูปแบบที่ฟรอยด์เสนอในทฤษฎีปมเอดิปัส ความสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูกชายในโทรเบรียนด์เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นและใกล้ชิดโดยไม่มีแรงกดดันทางเพศ ขณะที่ฟรอยด์เชื่อว่าความสัมพันธ์เช่นนี้ในวัฒนธรรมตะวันตกมักเป็นเรื่องของความขัดแย้งและความกดดันทางเพศ 6. การควบคุมและกฎเกณฑ์ทางเพศ ในสังคมโทรเบรียนด์มีกฎเกณฑ์ทางเพศที่ยืดหยุ่นและมุ่งเน้นการรักษาความสามัคคีในชุมชนมากกว่าการลงโทษหรือการกดขี่ การมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงานไม่ถูกมองว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเป็นการละเมิดร้ายแรง ขณะที่สังคมตะวันตกมักมีการควบคุมและกดขี่ทางเพศที่เข้มงวดกว่า ความแตกต่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสังคมโทรเบรียนด์มีการจัดการเรื่องเพศในแบบที่แตกต่างจากสังคมตะวันตกอย่างสิ้นเชิง โดยเน้นความยืดหยุ่น ความเปิดเผย และการยอมรับทางสังคมมากกว่า ในขณะเดียวกัน การใช้ทฤษฎีหน้าที่นิยม (functionalism) ในการศึกษาเรื่องเพศในสังคมโทรเบรียนด์ในงานของบรอนิสลาฟ มาลินอฟสกี้ ได้รับการวิจารณ์จากบางคนเนื่องจากข้อจำกัดและข้อวิจารณ์ที่น่าคิดต่างๆ ดังนี้ 1. การกำหนดบทบาทแบบสมบูรณ์ ในทฤษฎีหน้าที่นิยมมักมองว่าสังคมมีโครงสร้างและบทบาทที่แน่นอนสำหรับแต่ละส่วน แต่การใช้ทฤษฎีนี้อาจทำให้มองข้ามความซับซ้อนและความหลากหลายของประสบการณ์ที่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบทั่วไป 2. ข้อจำกัดในการอธิบายความแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยการใช้ทฤษฎีหน้าที่นิยมอาจทำให้ละเมิดความหลากหลายและความแตกต่างในวัฒนธรรมระหว่างสังคม การที่มีการกล่าวถึงแค่ส่วนของสังคมหนึ่งโดยไม่พิจารณาถึงความแตกต่างในวัฒนธรรมอื่นๆ อาจทำให้เสียความสำคัญของประสบการณ์ที่ไม่เข้ากันหรือแตกต่างกันได้ 3. ข้อบกพร่องในการตีความการเปลี่ยนแปลง โดยทฤษฎีหน้าที่นิยมมักมองการเปลี่ยนแปลงในสังคมเป็นสิ่งที่แสดงถึงความสมดุลหรือความไมีผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้มองข้าม ความขัดแย้ง หรือการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเป็นไปได้และสร้างการพัฒนาให้กับสังคม การใช้ทฤษฎีหน้าที่นิยมในงานนี้อาจมีข้อจำกัดและข้อวิจารณ์ต่างๆ แต่ก็มีคุณค่าในการให้มองเห็นโครงสร้างและบทบาททางสังคมที่มีผลต่อเรื่องเพศในสังคมเกาะโทรเบรียนด์ การวิจารณ์นี้อาจช่วยกระตุ้นการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งและการคิดเป็นระบบอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจและสร้างแนวทางในการศึกษาเรื่องเพศและสังคมในมุมมองที่หลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...