ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Arthur Kleiman และงานสำคัญของเขา

ผมรู้จัก Arthur Kleinman ครั้งแรกจากการอ่านงานตอนปริญญาเอกในวิชามานุษยวิทยาการแพทย์ เพราะผมจบป.เอกด้านสังคมศาสตร์สุขภาพจากมหิดล งานของอาจารย์เปิดโลกผมมาก Arthur Kleinman เป็นนักมานุษยวิทยาและจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลงานของเขามีความสำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างมานุษยวิทยาและการแพทย์ โดยเฉพาะในเรื่องของสุขภาพจิตและวัฒนธรรม ผลงานสำคัญของเขามีดังนี้ 1. Patients and Healers in the Context of Culture (1980) หนังสือเล่มนี้เป็นงานสำคัญที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษาในบริบทของวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งได้กลายเป็นงานคลาสสิกในด้านมานุษยวิทยาการแพทย์ที่นักเรียนมานุษยวิทยาที่สนใจความเจ็บป่วยและสุขภาพต้องอ่าน 2. The Illness Narratives: Suffering, Healing, and the Human Condition" (1988) Kleinman วิเคราะห์ประสบการณ์ของผู้ป่วยที่มีความทุกข์ทรมานทางจิตและร่างกาย รวมถึงวิธีการที่พวกเขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนเอง งานนี้เน้นความสำคัญของการเข้าใจประสบการณ์ส่วนบุคคลและวัฒนธรรมในการรักษาพยาบาล อันนี้ก็เป็นงานชิ้นสำคัญที่ทำให้เราเห็น การตีความ การให้ความหมาย และการอธิบายเกี่ยวกับความเจ็บป่วย ที่แตกต่างกันของหมอ คนไข้ และญาติผู้ป่วย ที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการดูแบรักษาโรค (เดี๋ยวเล่มนี้ผมจะมารีวิวอีกครั้ง) 3. Rethinking Psychiatry: From Cultural Category to Personal Experience (1988) โดยหนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดใหม่เกี่ยวกับจิตเวชศาสตร์ โดยเน้นความสำคัญของการพิจารณาประสบการณ์ส่วนบุคคลและวัฒนธรรมในการวินิจฉัยและรักษา 4. What Really Matters: Living a Moral Life amidst Uncertainty and Danger (2006) หนังสือเล่มนี้พูดถึงวิธีการที่ผู้คนพยายามมีชีวิตอย่างมีคุณธรรมแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและมีอันตราย Arthur Kleinman ได้สร้างผลงานที่มีอิทธิพลอย่างมากในวงการมานุษยวิทยาการแพทย์และจิตเวชศาสตร์ ด้วยการผสมผสานแนวคิดทางวัฒนธรรมและสุขภาพจิตในการศึกษาของเขา ในวันนี้ผมจะหยิบยกงานเล่มหนึ่งที่น่าสนใจของเขาคือ What Really Matters: Living a Moral Life amidst Uncertainty and Danger (2006) สาระสำคัญของหนังสือ What Really Matters: Living a Moral Life amidst Uncertainty and Danger โดย Arthur Kleinman เน้นที่การสำรวจว่าผู้คนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมได้อย่างไรท่ามกลางความไม่แน่นอนและอันตรายทางสังคมและการเมือง โดย Kleinman ใช้ประสบการณ์ส่วนตัวและการวิจัยทางมานุษยวิทยาของเขาในการเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ความเอื้ออาทร และการดูแลกันและกันในสังคม สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ที่พอจับได้คือ 1. การดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม โดย Kleinman เน้นว่าในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและความเสี่ยง การดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมต้องอาศัยความเห็นอกเห็นใจ ความรับผิดชอบ และความสามารถในการเผชิญหน้ากับความทุกข์ทรมาน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล Kleinman เน้นว่าความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและการดูแลกันและกันเป็นหัวใจสำคัญของการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม โดยการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนสามารถช่วยให้บุคคลสามารถเผชิญกับความยากลำบากได้ 3. ประสบการณ์ส่วนบุคคลของความทุกข์ทรมาน โดย Kleinman ใช้ตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเอง รวมถึงการดูแลภรรยาที่ป่วยหนัก เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่ผู้คนสามารถมีชีวิตที่มีความหมายแม้จะต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาน เป็นต้น โดยใช้เรื่องราวของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยและความยากลำบาก หนังสือยังมีเรื่องราวของผู้ป่วยหลายคนที่ Kleinman เคยทำงานด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีที่พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมผ่านการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมานในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือที่น่าสนใจ อาทิเช่น 1. การดูแลภรรยาที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ โดยKleinman เล่าเรื่องราวการดูแลภรรยาของเขาที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งเป็นตัวอย่างของการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมผ่านการแสดงความรัก ความอดทน และความเอื้ออาทรในการดูแลผู้ที่เขารักท่ามกลางความยากลำบากและความท้าทาย 2. ประสบการณ์ในประเทศจีน โดย Kleinman ใช้ประสบการณ์ของเขาในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตในประเทศจีนเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้คนในวัฒนธรรมที่แตกต่างกันสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมได้อย่างไร แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอนและความเสี่ยงสูง Kleinman Kleinman ใช้ประสบการณ์ของเขาในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพจิตในประเทศจีน เพื่อเล่าเรื่องราวของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยทางจิตใจและการต่อสู้กับการตีตราทางสังคม Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยจิตเวชในชนบทจีนที่ต้องเผชิญกับการตีตราทางสังคมและการขาดแคลนทรัพยากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะถูกมองว่าเป็นภาระและถูกละเลยจากครอบครัวและชุมชน Kleinman เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวจีน ซึ่งมีการเน้นถึงความสำคัญของความกตัญญูและความรับผิดชอบต่อพ่อแม่และผู้สูงอายุ การดูแลผู้สูงอายุถือเป็นหน้าที่และเกียรติของลูกหลาน ความหมายเชิงคุณธรรม คือการดูแลผู้สูงอายุเป็นการแสดงความเคารพและความกตัญญูต่อผู้ที่มีพระคุณ การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและการสนับสนุนทางอารมณ์ช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุและสร้างความผูกพันในครอบครัว นอกจากนี้ Kleinman เล่าเรื่องราวของการจัดการกับความเจ็บป่วยในสังคมจีน ซึ่งผู้ป่วยมักจะพึ่งพาครอบครัวในการดูแลและการตัดสินใจทางการแพทย์ การรักษามักจะต้องได้รับความเห็นชอบจากครอบครัวและมีการสนับสนุนทางการเงินและอารมณ์จากสมาชิกในครอบครัว การพึ่งพาครอบครัวและการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการแพทย์แสดงถึงความสำคัญของความสัมพันธ์และการดูแลกันและกันในครอบครัว การให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์และการเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญของการดูแล. รวมถึงการเผชิญหน้ากับความตายและการจัดการกับความทุกข์ทรมาน โดย Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยและครอบครัวที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายและความทุกข์ทรมานในบริบททางวัฒนธรรมจีน ผู้ป่วยและครอบครัวมักจะใช้วิธีการทางวัฒนธรรมและศาสนาในการจัดการกับความทุกข์ทรมานและความสูญเสีย ซึ่งเชื่อมโยงกับความหมายเชิงคุณธรรม ในการให้ความเคารพต่อประเพณีและความเชื่อทางศาสนาเป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญหน้ากับความตายและความทุกข์ทรมาน การสนับสนุนทางจิตใจและอารมณ์จากครอบครัวและชุมชนสามารถช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัวมีความเข้มแข็งและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ผู้คนในสังคมจีนดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมท่ามกลางความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน โดยใช้ความสัมพันธ์ ความเอื้ออาทร และการสนับสนุนทางวัฒนธรรมในการเผชิญหน้ากับความท้าทายของชีวิต ความหมายเชิงคุณธรรมที่เชื่อมโยงในวัฒนธรรมที่มีการตีตราผู้ป่วยทางจิตใจ การแสดงความเห็นอกเห็นใจและการให้การสนับสนุนเป็นสิ่งสำคัญ การทำงานร่วมกันในชุมชนและการให้ความเคารพต่อผู้ป่วยสามารถช่วยให้พวกเขามีชีวิตที่มีคุณภาพมากขึ้น 3. เรื่องราวของผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง โดย Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญหน้ากับโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็งหรือโรคหัวใจ ที่ต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยอย่างต่อเนื่องและไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด สิ่งเหล่านี้สะท้อนความหมายเชิงคุณธรรม การรับมือกับความเจ็บป่วยในลักษณะที่ต้องอาศัยความอดทน ความเชื่อมั่น และการดูแลกันและกันระหว่างผู้ป่วยกับครอบครัวและชุมชนเป็นสิ่งสำคัญในคุณภาพชีวิตและความมีชีวิตยืนยาว 5.เรื่องราวประสบการณ์ของภรรยา Kleinman ที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ โดย Kleinman เล่าเรื่องราวการดูแล Joan ภรรยาของเขาที่ป่วยด้วยโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งต้องการการดูแลที่ใกล้ชิดและการสนับสนุนตลอดเวลา ซึ่งความหมายเชิงคุณธรรมก็คือการดูแลผู้ป่วยที่มีโรคอัลไซเมอร์ที่ต้องใช้ความรัก ความอดทน และความเอื้ออาทรในระดับสูง Kleinman แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีความเห็นอกเห็นใจและการดูแลกันในสถานการณ์ที่ยากลำบาก 4. ผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยในสังคมที่มีความไม่แน่นอน โดย Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน เช่น ในสถานการณ์สงครามหรือการย้ายถิ่นฐาน โดยมีความหมายเชิงคุณธรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ป่วยในสถานการณ์เหล่านี้ต้องใช้ความกล้าหาญ ความยืดหยุ่นต่อสถานการณ์ และการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชนในการดำเนินชีวิต การเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมานในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยเน้นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและการดูแลกัน เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมท่ามกลางความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน โดยเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์ ความเอื้ออาทร และการดูแลกันและกันในสังคม 5. ผู้ป่วยมะเร็งที่เผชิญกับความเจ็บปวดและความกลัว โดย Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทางร่างกายและความกลัวต่อความตาย ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องต่อสู้กับความทุกข์ทรมานอย่างต่อเนื่อง โดย ความหมายเชิงคุณธรรมคือความกล้าหาญและการยอมรับความจริงเป็นสิ่งสำคัญในการเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วย นอกจากนี้ การได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูงช่วยให้ผู้ป่วยมีความเข้มแข็งและสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดีขึ้น 6. ผู้ป่วยโรคเอดส์ในชุมชนที่มีการตีตรา Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยโรคเอดส์ในชุมชนที่มีการตีตราและมีภาวะของการรังเกียจค่อนข้างสูง ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องเผชิญกับการถูกเหยียดหยามและการแยกตัวออกจากสังคมภายใต้ความหมายเชิงคุณธรรมที่เกี่ยวโยงกับความเห็นอกเห็นใจและการสนับสนุนทางสังคมเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยเหลือผู้ป่วยเหล่านี้ การสร้างความตระหนักรู้และการยอมรับในชุมชนสามารถช่วยลดการตีตราและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้ 7. ผู้สูงอายุที่เผชิญกับความเจ็บป่วยและความเหงา Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญกับความเจ็บป่วยเรื้อรังและความเหงา ผู้สูงอายุเหล่านี้มักจะถูกละเลยและขาดการสนับสนุนจากครอบครัวและสังคม โดยมีความหมายเชิงคุณธรรมคือการดูแลผู้สูงอายุและการให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ของพวกเขาเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและการให้การสนับสนุนทางอารมณ์สามารถช่วยลดความเหงาและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุได้ 8.ผู้ป่วยจิตเวชที่เผชิญกับความท้าทายในการรักษาโดย Kleinman เล่าเรื่องราวของผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาและการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะเผชิญกับการตีตราและการขาดการสนับสนุนจากสังคม ภายใต้ความหมายเชิงคุณธรรม คือความเข้าใจและการให้การสนับสนุนทางจิตใจเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ผู้ป่วยจิตเวชสามารถฟื้นฟูและดำเนินชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ การให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์และการเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ป่วยเป็นหัวใจสำคัญของการดูแล ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรมและการดูแลกันและกันในสังคม ท่ามกลางความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน Kleinman ใช้เรื่องราวเหล่านี้เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ ความเอื้ออาทร และการสนับสนุนทางสังคมในการเผชิญกับความท้าทายของชีวิต ผมชอบมุมมองหลายๆอย่างไคน์แมน เพราะมันทำให้เราหันมาใส่ใจเรื่องของการดูแลกันและกันในยามทุกข์ยาก งานประชุมประจำปีของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร เป็นโอกาสดีมากที่ผมจะได้ฟังไคน์แมนมาบรรยาย เล่าประสบการณ์การวิจัย นอกจากแค่อ่านหนังสือของเขา ..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...