ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนะนำหนังสือ Sex at down

หนังสืออีกเล่มหนึ่งที่ผมจะแนะนำให้นักศึกษาวิชา Anthropology of sex and sexuality ลองอ่านและถกเถียงในประเด็นเรื่องเพศภาวะและเพศวิถีในสังคมในเทอมนี้ ที่จะเชื่อมโยงต่อเนื่องกับเพศวิถีนอกขนบในสังคมไทยคือ หนังสือ Sex at Dawn: How We Mate, Why We Stray, and What It Means for Modern Relationships เขียนโดย Christopher Ryan และ Cacilda Jethá มีเนื้อหาที่สำรวจเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศและพฤติกรรมการจับคู่ของมนุษย์ในแง่ของวิวัฒนาการ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ให้ความสำคัญกับลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ กับวิวัฒนาการที่เกี่ยสโยงกับวัฒนธรรม สาระสำคัญของหนังสือที่น่าสนใจและมีประเด็นให้ถกเถียงกันต่อไปมีดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์เชิงวิวัฒนาการ โดยในหนังสือมีการนำเสนอว่าการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว (monogamy) ไม่ใช่พฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นผลมาจากวิวัฒนาการทางวัฒนธรรมและการตั้งถิ่นฐานถาวร การเลี้ยงดูและเก็บเกี่ยวทรัพยากรเพื่อความอยู่รอดทำให้เกิดพฤติกรรมทางเพศที่เปลี่ยนไป เช่น ข้อจำกัดของทรัพยากร การเปลี่ยน แปลงของเครื่องจักรและเทคโนโลยี ที่ทำให้การขยายพื้นที่เพาะปลูกไม่จำเป็นต้องใช้แรงงานมากมาย ในอดีต สังคมบางสังคมเน้นการมีลูกมาเพื่อมาช่วยงาน หรือเป็นสังคมแบบพหุสามีหรือภรรยา ที่ต้องการแต่งงานเข้ามาเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมด้านการเพาะปลูกและการดำรงชีพของครอบครัว 2. พฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ในอดีต ผู้เขียนอ้างถึงหลักฐานทางมานุษยวิทยาและโบราณคดีที่บ่งชี้ว่าบรรพบุรุษของมนุษย์มีพฤติกรรมทางเพศที่เป็นกลุ่ม (promiscuity) มากกว่าการจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวดังเช่นมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ พฤติกรรมนี้ช่วยเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ในอดีต 3. ความสำคัญของการมีส่วนร่วมของสังคม หนังสือชี้ให้เห็นว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการสืบพันธุ์ แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์และการเชื่อมโยงทางสังคมในกลุ่มด้วย ดังนั้นเรื่องเพศสัมพันธ์จึงไม่ใช่แค่เรื่องรสนิยมและความพึงพอใจในระดับปัจเจก แต่มีเงื่อนไขทางสังคมวัฒนธรรมกำกับด้วยเช่นกัน 4. ผลกระทบของวิถีชีวิตสมัยใหม่ ผู้เขียนวิจารณ์ว่าวิถีชีวิตสมัยใหม่และการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวอาจทำให้เกิดความตึงเครียดและปัญหาในความสัมพันธ์ เนื่องจากไม่สอดคล้องกับธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ ประเด็นนี้ก็สามารถถกเถียงกันได้ต่อว่า ทำไมสังคมปัจจุบันจึงให้ความสำคัญกับเรื่องของศีลธรรม 5. ข้อเสนอแนะนำสำหรับความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หนังสือแนะนำว่าความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับธรรมชาติทางเพศและวิวัฒนาการของมนุษย์สามารถนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและมีความเข้าใจมากขึ้น หนังสือ "Sex at Dawn: How We Mate, Why We Stray, and What It Means for Modern Relationships" ได้นำเสนอหลายตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากการศึกษาทางมานุษยวิทยา จิตวิทยาและวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศและการจับคู่ของมนุษย์ ซึ่งมีความน่าสนใจและเป็นการสนับสนุนทฤษฎีของผู้เขียน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากการศึกษามนุษย์ในอดีตและปัจจุบันที่น่าสนใจที่ถูกหยิบยกในหนังสือ ที่มีตัวอย่างที่น่าสนใจ ซึ่งแสดงถึงการมีความสัมพันธ์และพฤติกรรมทางเพศในรูปแบบที่ต่างจากการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวในวัฒนธรรมต่างๆมีดังนี้ 1. กลุ่มชนพื้นเมืองและชนเผ่า 1.1 ชนพื้นเมือง Hadza ของแทนซาเนีย โดยชนเผ่า Hadza ที่ใช้ชีวิตแบบนักล่า-เก็บของแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการแบ่งปันทรัพยากรและมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ผูกพัน พวกเขามักมีการเปลี่ยนคู่ครองและไม่ยึดติดกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว 1.2 ชนเผ่า Pirahã ของอเมซอน โดยชนเผ่า Pirahã ในอเมซอนมีวัฒนธรรมที่เปิดกว้างต่อการมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงาน พวกเขาไม่ได้มีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งงานแบบตะวันตกและไม่ถือว่าการมีความสัมพันธ์ ทางเพศหลายคู่เป็นเรื่องผิด 1.3 ชนเผ่า Mosuo ของจีน โดยชนเผ่า Mosuo ในจีนมีระบบความสัมพันธ์แบบ "เดินกลางคืน" (walking marriage) ซึ่งหมายความว่าผู้ชายและผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศโดยไม่ต้องมีการแต่งงานอย่างเป็นทางการ พวกเขาสามารถมีคู่ครองหลายคนได้และความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ผูกพันกันในระยะยาว 1.4 ชนเผ่า Tiwi ของออสเตรเลีย โดยชนเผ่า Tiwi ในออสเตรเลียมีระบบการแต่งงานที่ผู้หญิงสามารถมีสามีหลายคนในช่วงชีวิตของพวกเธอ การแต่งงานใหม่หลังจากการหย่าร้างหรือการเสียชีวิตของสามีเป็นเรื่องปกติ 1.5 ชนเผ่า Canela ของบราซิล โดยชนเผ่า Canela ในบราซิลมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "พันธมิตรแห่งเพศสัมพันธ์" (ritualized sexual alliances) ซึ่งผู้หญิงสามารถมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายหลายคนในชุมชน ผู้ชายที่มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงเดียวกันจะรับผิดชอบในการเลี้ยงดูบุตรของเธอร่วมกัน 1.6 ชนเผ่า Mehinaku ของบราซิล ในหมู่ชนเผ่า Mehinaku ผู้หญิงสามารถเลือกมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้ชายหลายคนและผู้ชายที่เป็นคู่ครองจะไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิด นี่แสดงให้เห็นถึงการมีระบบความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่ผูกพันกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว 1.7 ระบบครอบครัวในสังคมล่าสัตว์-เก็บของป่า ในสังคมล่าสัตว์-เก็บของเช่น Kung ของแอฟริกาแสดงให้เห็นถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่เปิดกว้างและไม่ผูกพันกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว พวกเขามีระบบครอบครัวที่ยืดหยุ่นและการเลี้ยงดูบุตรที่ได้รับการช่วยเหลือจากชุมชนทั้งหมด 2. สัตว์ที่มีพฤติกรรมคล้ายคลึงกับมนุษย์ 2.1 ลิงโบโนโบ (Bonobo) แบะลิงชิมแปนซี โดยโบโนโบแบะชิมแปนซีซึ่งเป็นลิงสายพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์มากที่สุดมีพฤติกรรมทางเพศที่เปิดกว้างและใช้เพศสัมพันธ์เป็นวิธีการสร้างความสัมพันธ์และแก้ไขความขัดแย้งในกลุ่ม โบโนโบมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่หลายคู่ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมที่อาจพบในมนุษย์ยุคแรก แต่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวก็อาจเป็นการเปรียบเทียบที่ต้องการข้อมูลและหลักฐานข้อมูลในการสนับสนุนที่เพียงพอ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ได้มีการวิเคราะห์ทางสรีรวิทยาและชีวภาพ ในการอธิบายพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ ดังนี้ 1. โครงสร้างของอวัยวะเพศชายและปริมาณน้ำเชื้อ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá เสนอว่ารูปทรงของอวัยวะเพศชายมนุษย์ออกแบบมาเพื่อขจัดน้ำเชื้อของคู่แข่งในช่องคลอดของผู้หญิง ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์ที่ไม่ผูกพันของมนุษย์ รวมทั้งปริมาณน้ำเชื้อที่สูงของมนุษย์เทียบกับสัตว์ที่มีระบบการผสมพันธุ์แบบผัวเดียวเมียเดียวแสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการเพื่อการผสมพันธุ์กับคู่หลายคน เพื่อเพิ่มโอกาสในการสืบพันธุ์ 2. ความต้องการทางเพศของผู้หญิง Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างอิงการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้หลายชิ้นพบว่าผู้หญิงมีความต้องการทางเพศที่สูงในช่วงที่ไม่ใช่ช่วงตกไข่ ซึ่งแตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ ที่การผสมพันธุ์จะเกิดขึ้นเฉพาะช่วงตกไข่เท่านั้น การมีความต้องการทางเพศที่สูงนอกช่วงตกไข่นี้ช่วยส่งเสริมสนับสนุนการมีเพศสัมพันธ์กับคู่หลายคน ซึ่งแนวความคิดดังกล่าวก็ดูเหมือนจะละเลยและตัดขาดมิติทางสังคมวัฒนธรรมที่มีผลต่อการควบคุมและการสอดส่องพฤติกรรมในทางเพศ รวมทั้งการมองว่าความต้องการทางเพศไม่ได้มีเฉพาะผู้หญิงแต่มีในผู้ชายและเพศอื่นๆด้วย Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ได้ใช้ข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการวิจารณ์สังคมสมัยใหม่ อาทิเช่น 1. อัตราการหย่าร้าง Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ชี้ให้เห็นว่าอัตราการหย่าร้างสูงในหลายประเทศเป็นหลักฐานที่แสดงว่าการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวอาจไม่สอดคล้องกับธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ถูกควบคุมและถูกต่อต้าน 2. การนอกใจ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ชี้ว่าการนอกใจเป็นปรากฏการณ์ที่พบได้ทั่วไปในทุกวัฒนธรรม หนังสือเสนอว่าการนอกใจอาจเป็นผลมาจากการพยายามรักษาธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์ในการมีความสัมพันธ์ทางเพศที่เปิดกว้าง และความขัดแย้งกับระบบสังคมวัฒนธรรมที่พยามควบคุมสิ่งเหล่านี้ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า ระบบศีลธรรม หนังสือ "Sex at Dawn" ใช้ตัวอย่างเหล่านี้เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่าการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวไม่ใช่พฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์และการเข้าใจธรรมชาติทางวิวัฒนาการนี้จะช่วยให้เรามีมุมมองที่เปิดกว้างมากขึ้นต่อเรื่องความสัมพันธ์และการมีคู่ครองในสังคมสมัยใหม่ การศึกษาเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และชีววิทยาคือข้อมูลที่ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำมาสนับสนุน และพบประเด็นที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น 1. การทำงานของฮอร์โมนและระบบประสาท Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำเสนอการวิจัยที่แสดงว่าฮอร์โมนเช่นออกซิโทซินและโดพามีนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความรู้สึกผูกพันและความสุขในการมีเพศสัมพันธ์ แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องผูกพันกับคู่ครองเพียงคนเดียวเท่านั้น 2. การศึกษาเกี่ยวกับการสำเร็จความใคร่ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างอิงผลงานการวิจัยพบว่าผู้หญิงมีการสำเร็จความใคร่ได้ง่ายขึ้นและบ่อยขึ้นเมื่อมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่หลายคนในช่วงเวลาสั้นๆ ซึ่งสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีความโน้มเอียงทางธรรมชาติที่จะมีคู่ครองหลายคน อันนี้อาจเป็นเพราะผู้เขียนเป็นผู้ชายหรือเปล่า ที่พุ่งเน้นพฤติกรรมแบบนี้ไปที่ผู้หญิงฝ่ายเดียว แต่ในความเป็นจริงสิ่งเหล่านี้ก็เกิดกับผู้ชายได้เช่นเดียวกัน 3.การศึกษาเกี่ยวกับขนาดของอัณฑะและปริมาณน้ำเชื้อ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างถึงการวิจัยต่างๆที่พบว่าขนาดของอัณฑะและปริมาณน้ำเชื้อของมนุษย์อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับสัตว์ที่มีระบบการผสมพันธุ์แบบคู่หลายคู่ (multi-male mating systems) ซึ่งเป็นการสนับสนุนทฤษฎีที่ว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการเพื่อการผสมพันธุ์กับคู่หลายคน อีกด้านหนึ่ง Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ได้ใช้การวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ สังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มาอธิบายพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์เช่นกัน 1. ประวัติศาสตร์ของการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อ้างถึงประวัติศาสตร์ของการพัฒนาเกษตรกรรมและการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคลที่นำไปสู่การพัฒนาการมีคู่แบบผัวเดียวเมียเดียวเพื่อควบคุมทรัพยากรและสืบทอดทรัพย์สินให้แก่ลูกหลาน 2. ความพึงพอใจในความสัมพันธ์ การศึกษาของ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá แสดงให้เห็นว่าความพึงพอใจในความสัมพันธ์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีคู่ครองเพียงคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์และการสื่อสารที่ดีระหว่างคู่ครองด้วยเช่นกันเป็นเงื่อนไขสำคัญ การเปิดกว้างและยืดหยุ่นในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศสามารถนำไปสู่ความสุขและความพึงพอใจมากขึ้น 3.ความหลากหลายในระบบครอบครัว Christopher Ryan และ Cacilda Jethá นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับระบบครอบครัวที่หลากหลายในสังคมต่างๆ ทั่วโลก ที่ไม่ได้ยึดติดกับการมีคู่ครองเพียงคนเดียวหรือครอบครัวเดี่ยวเท่านั้น เช่น ครอบครัวแบบขยายที่มีการดูแลเด็กโดยชุมชนทั้งหมด หนังสือ "Sex at Dawn" ใช้ตัวอย่างเหล่านี้เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ว่ามนุษย์มีธรรมชาติที่ซับซ้อนและหลากหลายในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ และการเข้าใจธรรมชาติทางวิวัฒนาการของมนุษย์จะช่วยให้เรามีมุมมองที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากขึ้นในการจัดการความสัมพันธ์ในชีวิตจริง ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือ 1. การท้าทายมุมมองแบบดั้งเดิม Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ท้าทายความเชื่อที่ว่ามนุษย์มีความโน้มเอียงทางธรรมชาติที่จะมีคู่ครองเพียงคนเดียว โดยใช้หลักฐานจากการศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณและปัจจุบัน รวมถึงสัตว์ที่ใกล้เคียงกับมนุษย์ 2. การนำเสนอข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์และมานุษยวิทยา Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ มานุษยวิทยา และชีววิทยาเพื่อสนับสนุนทฤษฎีของผู้เขียน ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและให้ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับวิวัฒนาการและพฤติกรรมของมนุษย์ 3. การเขียนที่น่าสนใจและเข้าใจง่าย Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ใช้ภาษาที่ชัดเจนและมีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ ทำให้ผู้อ่านทั่วไปสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายและรู้สึกสนุกกับการอ่าน 4. การกระตุ้นให้เกิดการสนทนาและวิจารณ์ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá กระตุ้นให้ผู้อ่านคิดและวิจารณ์เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศในมุมมองใหม่ๆ ซึ่งสามารถนำไปสู่การอภิปรายและการวิจัยเพิ่มเติมในหัวข้อนี้เพิ่มเติม รวมทั้งถกเถียงกับเพศวิถีของตัวเอง ในขณะเดียวกันสิ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดอ่อนของหนังสือเล่มนี้คือ 1. การเลือกใช้หลักฐานบางอย่างและตัดหลักฐานบางอย่างออกไป Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อาจเลือกใช้หลักฐานที่สนับสนุนทฤษฎีของตนเองมากเกินไป โดยไม่ให้ความสำคัญกับหลักฐานที่ขัดแย้งกับทฤษฎี ซึ่งอาจทำให้การวิเคราะห์มีความเอนเอียงและมีอคติทางเพศ หรือมุมมองแบบผู้ชายเป็นศูนย์กลาง 2. การสรุปแบบทั่วไปและเป็นสากล ในบางครั้ง Christopher Ryan และ Cacilda Jethá อาจสรุปแบบทั่วไปเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคมที่มีอยู่ ซึ่งอาจทำให้ข้อสรุปบางอย่างไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในทุกกรณี 3. การโต้เถียงกับทฤษฎีที่มีอยู่ในปัจจุบัน ทฤษฎีและแนวคิดของ Christopher Ryan และ Cacilda Jethá ในหนังสือเล่มนี้อาจขัดแย้งกับทฤษฎีและการวิจัยที่มีอยู่มากมาย ทำให้เกิดการโต้เถียงและการวิจารณ์จากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆได้ อย่างไรก็ตาม หนังสือ Sex at Dawn: How We Mate, Why We Stray, and What It Means for Modern Relationships ก็เป็นหนังสือที่มีประเด็นและแนวคิดที่น่าสนใจ โดยนำเสนอหลักฐานและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิวัฒนาการและพฤติกรรมทางเพศของมนุษย์ แม้ว่าจะมีข้อเสียบางประการเกี่ยวกับการเลือกใช้หลักฐานและการสรุปแบบทั่วไป แต่หนังสือเล่มนี้ก็ยังคงเป็นการอ่านที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่สนใจในเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศและวิวัฒนาการของมนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...