มานุษยวิทยาเมือง : ภูมิทัศน์ของผัสสะ (sensescapes)
เวลาเราได้ลงพื้นที่จริง เราไม่ได้สัมผัสแค่พื้นที่กายภาพ เรายังเห็นชีวิตของผู้คนที่เชื่อมโยงกับพื้นที่และวัตถุ เราได้ใช้ผัสสะ ทั้งเสียง (เสียงคน เสียงสัตว์ เสียงรถ เสียงก่อสร้างและอื่นๆ) กลิ่น ( อาหาร กลิ่นควันรถ กลิ่นน้ำและอื่นๆ) ภาพ ได้สัมผัสกับอารมณ์ ความรู้สึก ความทรงจำของผู้คนต่อพื้นที่ ที่สำคัญเราได้สัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน ได้ยิน ได้ฟัง ผ่านเรื่องเล่า ความทุกข์ ความสุข เรื่องราวเหล่านี้มันปลุกเร้าพลัง สร้างความเข้าใจ การต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมที่ไม่เท่าเทียม เราได้มองเห็นการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้พื้นที่เหล่านี้มีชีวิต ชีวา มองเห็นชีวิตของผู้คน คนไทย คนต่างประเทศ แรงงานข้ามชาติ สัตว์ และพืช ในเมือง รวมถึงการมองเห็นคุณค่าของผู้คน วัตถุ สิ่งของ สัตว์ ที่ดำรงอยู่ร่วมกันในสังคมและสร้างอัตลักษณ์ของเมืองแห่งความหลากหลาย องค์ประกอบเหล่านี้ของเมือง เชื่อมโยงกับผัสสะของผู้คนที่อยู่ในเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หนังสือ Sense and the City: An interdisciplinary approach to urban sensescapes (2011) ซึ่งเป็นหนังสือที่สำรวจประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในชีวิตเมือง หนังสือเล่มนี้มีบรรณาธิการคือMădălina Diaconu, Eva Heuberger, Ruth Mateus-Berr และ Lukas Marcel Vosicky ซึ่งรวบรวมผลงานจากนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับมิติทางประสาทสัมผัสของเมือง
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
1. ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในเมือง
หนังสือเล่มนี้ตรวจสอบว่าประสาทสัมผัสต่างๆ (การมองเห็น, การได้ยิน, การได้กลิ่น, การได้ลิ้มรส และการสัมผัส) มีผลต่อประสบการณ์และการรับรู้ของเราต่อสภาพแวดล้อมในเมืองอย่างไร
2. แนวทางการศึกษาผัสสะแบบสหวิทยาการ
ผลงานศึกษาจากสาขาต่างๆ เช่น มานุษยวิทยา, การศึกษาเมือง, สถาปัตยกรรม และศิลปะ นำเสนอทัศนะที่หลากหลายเกี่ยวกับการรับรู้ทางประสาทสัมผัสในเมือง
3. การใช้กรณีศึกษาในที่ต่างๆ
หนังสือเล่มนี้รวมกรณีศึกษาจากเมืองต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งให้ตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่ประสบการณ์ทาประสาทสัมผัสถูกผนวกเข้ากับชีวิตเมือง
4. การออกแบบประสาทสัมผัสให้กับเมือง
หนังสือมีการอภิปรายเกี่ยวกับวิธีที่นักวางแผนและนักออกแบบเมืองสามารถผนวกองค์ประกอบทางประสาทสัมผัสเข้ากับการออกแบบพื้นที่สาธารณะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมือง
5. มิติทางวัฒนธรรมและสังคม
หนังสือเล่มนี้สำรวจแง่มุมทางวัฒนธรรมและสังคมของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส รวมถึงวิธีที่ชุมชนต่างๆ รับรู้และมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในเมือง
ความเชื่อมโยงอื่นๆ เช่น การวางแผนและการออกแบบเมือง ในหนังสือ"Sense and the City มีคุณค่าสำหรับนักวางแผนและนักออกแบบเมืองที่มุ่งสร้างเมืองที่มีความน่าสนใจและน่าอยู่มากขึ้นโดยพิจารณาถึงมิติทางประสาทสัมผัส
การวิจัยทางวิชาการ หนังสือเล่มนี้เป็นทรัพยากรที่ครอบคลุมสำหรับนักวิจัยที่ศึกษาการเชื่อมโยงระหว่างการรับรู้ทางประสาทสัมผัสและสภาพแวดล้อมในเมือง
ความเข้าใจทางวัฒนธรรม โดยการเน้นถึงวิธีการที่หลากหลายที่ผู้คนรับรู้เกี่ยวกับเมือง หนังสือเล่มนี้ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความแตกต่างทางวัฒนธรรมและพลวัตทางสังคมในสภาพแวดล้อมเมือง
หนังสือ Sense and the City: An interdisciplinary approach to urban sensescapes เป็นการสำรวจที่กระตุ้นความคิดและมีความรู้เชิงลึกที่เกี่ยวกับมิติทางประสาทสัมผัสของชีวิตเมือง หนังสือเล่มนี้ชวนผู้อ่านให้พิจารณาถึงวิธีที่สภาพแวดล้อมทางประสาทสัมผัสมีผลต่อการปฏิสัมพันธ์กับและภายในเมือง ทำให้เป็นส่วนเสริมที่มีคุณค่าสำหรับสาขาการศึกษาเมือง มานุษยวิทยา และการออกแบบ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมบางส่วนจากหนังสือ Sense and the City: An interdisciplinary approach to urban sensescapes มีดังนี้คือ
1. การออกแบบเสียงในพื้นที่สาธารณะ
ในเมืองใหญ่หลายแห่ง มีการออกแบบพื้นที่สาธารณะเพื่อสร้างบรรยากาศเสียงที่พึงประสงค์ เช่น การติดตั้งน้ำพุในสวนสาธารณะเพื่อสร้างเสียงน้ำไหลที่ช่วยให้ผ่อนคลาย หรือการจัดการเสียงจากการจราจรเพื่อลดมลพิษทางเสียง ตัวอย่างเช่น สวนสาธารณะ Bryant Park ในนิวยอร์กซิตี้ ใช้เสียงน้ำพุและการวางตำแหน่งต้นไม้เพื่อบรรเทาเสียงรบกวนจากการจราจรรอบข้าง ทำให้เป็นพื้นที่เงียบสงบสำหรับพักผ่อน
2. การจัดแสงในเมือง
การใช้แสงไฟในการออกแบบเมืองมีผลต่อการรับรู้และความรู้สึกปลอดภัยของผู้คน เช่น การใช้ไฟส่องสว่างในซอยหรือถนนคนเดินที่มืดเพื่อเพิ่มความปลอดภัย และสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร ตัวอย่างเช่น การใช้แสงไฟสีในบางย่านของเมืองเพื่อสร้างบรรยากาศเฉพาะ เช่น การใช้ไฟสีฟ้าและม่วงในย่านช็อปปิ้งเพื่อสร้างบรรยากาศที่ทันสมัยและน่าสนใจ
3. ประสบการณ์กลิ่นในเมือง
กลิ่นมีบทบาทสำคัญในการสร้างความทรงจำและความรู้สึก เช่น กลิ่นอาหารที่ลอยมาในตลาดนัดกลางคืน หรือกลิ่นดอกไม้ในสวนสาธารณะ ตัวอย่างเช่น ตลาด La Boqueria ในบาร์เซโลนา มีการจัดเรียงสินค้าและอาหารที่มีความหลากหลายของกลิ่น เช่น ผลไม้สด ขนมปังอบใหม่ และอาหารทะเล ทำให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ที่หลากหลายทางประสาทสัมผัส
4.ประสบการณ์ของการสัมผัสในพื้นที่เมือง
การใช้วัสดุที่มีพื้นผิวต่างกันในพื้นที่สาธารณะ เช่น ทางเดินที่มีพื้นผิวเรียบและหยาบสลับกัน ทำให้ผู้คนมีประสบการณ์สัมผัสที่หลากหลายขณะเดิน ตัวอย่างเช่น การใช้พื้นผิวหินธรรมชาติในสวนสาธารณะเพื่อสร้างความรู้สึกใกล้ชิดกับธรรมชาติ หรือการใช้พื้นผิวไม้ในทางเดินริมน้ำเพื่อสร้างความอบอุ่นและเป็นธรรมชาติ
5.ประสบการณ์การมองเห็นในเมือง
ตัวอย่างเช่น การออกแบบสถาปัตยกรรมและการจัดวางองค์ประกอบในเมืองให้มีความสวยงามและน่าสนใจ เช่น การใช้สีสันสดใสในการตกแต่งอาคาร หรือการวางแผนพื้นที่สีเขียวในเมือง ตัวอย่างเช่น เมืองเบอร์ลินมีการออกแบบสวนสาธารณะที่มีการจัดวางต้นไม้และดอกไม้ในลักษณะที่สร้างสรรค์ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของสีสันตลอดปี ซึ่งดึงดูดผู้คนให้มาเยี่ยมชมสถานที่แห่งนี้
การนำเสนอตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสมีบทบาทอย่างไรในการสร้างและปรับปรุงชีวิตเมือง ที่สามารถเทียบเคียงกับบ้านเรา หรือตัวอย่างพื้นที่กรุงเทพฯ
ประสบการณ์เสียงในกรุงเทพฯ พบว่า กรุงเทพฯมีการใช้พื้นที่สาธารณะเช่น สวนลุมพินีและสวนจตุจักรที่มีการจัดการเสียงจากการจราจรโดยการปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อลดเสียงรบกวน นอกจากนี้ยังมีการใช้น้ำพุและเสียงจากธรรมชาติเพื่อสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบในสวนสาธารณะ หรือบริเวณรอบเสาชิงช้ามีเสียงจากกิจกรรมต่างๆ เช่น เสียงผู้คนที่เดินผ่าน เสียงจากการจราจร และเสียงจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในวัดสุทัศน์ที่อยู่ใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีเสียงดนตรีและกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่จัดขึ้นบริเวณนี้เป็นครั้งคราว
การจัดแสงในกรุงเทพฯ ในย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน เช่น ถนนข้าวสารและย่านสีลม มีการใช้ไฟส่องสว่างเพื่อสร้างบรรยากาศที่ครึกครื้นและปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการประดับไฟในช่วงเทศกาลต่างๆ เช่น ปีใหม่และสงกรานต์ เพื่อสร้างบรรยากาศที่มีสีสันและน่าตื่นตาตื่นใจ
ประสบการณ์กลิ่นในกรุงเทพฯ เช่น ร้านอาหาร ตลาดนัดกลางคืนเช่น ตลาดนัดจตุจักรและตลาดนัดรถไฟ รัชดา มีการผสมผสานของกลิ่นจากอาหารไทยหลากหลายชนิด เช่น ส้มตำ ผัดไทย และขนมไทย ทำให้ผู้เยี่ยมชมมีประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสที่หลากหลาย
ประสบการณ์สัมผัสในกรุงเทพฯ พื้นที่สาธารณะเช่น สวนสาธารณะเบญจกิติและสวนรถไฟ มีการใช้พื้นผิวหินและไม้ในการออกแบบทางเดิน ทำให้ผู้เดินเล่นมีประสบการณ์สัมผัสที่หลากหลายขณะเดินเล่นในสวน
ประสบการณ์การมองเห็นในกรุงเทพฯ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีการออกแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลายและน่าสนใจ เช่น วัดพระแก้วที่มีการตกแต่งด้วยสีทองและลวดลายที่ประณีต หรือย่านการค้าเช่น สยามสแควร์ที่มีการตกแต่งอาคารและการจัดวางพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างบรรยากาศที่สดชื่นและทันสมัย หรือบริเวณเสาชิงช้าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพฯ ที่มีการออกแบบและการตกแต่งที่โดดเด่น ทำจากไม้ที่มีลวดลายสวยงามและมีสีแดงเข้ม นอกจากนี้ บริเวณรอบๆ ยังมีวัดสุทัศน์และอาคารเก่าแก่ที่มีสถาปัตยกรรมไทยดั้งเดิม ทำให้บริเวณนี้เป็นจุดถ่ายภาพยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยว
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น