การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการบริโภคในสังคมสมัยใหม่ ที่เคลื่อนตัวจากการบริโภคสิ่งต่างๆเพื่อประโยชน์ใช้สอย เช่น กินอาหารเพื่ออิ่มท้อง สวนเสื้อผ้าเพื่อให้ความอบอุ่น เป็นต้น แต่ในสังคมปัจจุบันการบริโภคมีความหมายมากกว่าการบริโภคเพื่อคุณค่าเชิงใช้สอย (Use Value) แต่เป็นการบริโภคเพื่อสร้างและสื่อความหมายบางสิ่งบางอย่าง เช่น สถานะของเรา ตัวตนของเรา รสนิยม ความชอบของเรา ภาพพจน์ของเราที่เรียกว่าการบริโภคเชิงสัญญะ(Sign value)
นักคิดชาวฝรั่งเศสอย่างJeans Baudrillard ตั้งคำถามเกี่ยวกับการวิเคราะห์และหาคำตอบแบบเดิมที่อยู่ภายใต้อิทธพลของความรู้ ความคิด ภาษาแบบมาร์กซิสต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการผลิตของสังคม การมองปัญหาเรื่องของการผลิตในสังคม ที่เริ่มวิตกและหวาดกลัวเกี่ยวกับกระบวนการผลิตที่จะไม่เพียงพอกับกาารบริโภคในช่วงศตวรรษที่18-19 จนกระทั่งศตวรรษที่20-21 ที่ความกลัวของมาร์กซ์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงอีกต่อไป เพราะพลังของระบบทุนนิยมและการผลิตก้าวหน้าอย่างสูงสุด จนนำไปสู่การผลิตที่เหลือกินเหลือใช้ เกินความต้องการบริโภค ปัญหาจึงเคลื่อนจากการผลิตมาสู่การบริโภค ที่มองว่าแล้วจะบริโภคสินค้าที่ผลิตขึ้นมาอย่างมากมายอย่างไร การกระตุ้นให้คนต้องการบริโภคอย่างมากมายและรวดเร็ว รวมถึงการพยายามสร้างมูลค่าให้กับสินค้าที่บริโภค ผ่านการสร้างความแตกต่าง ระดับของสินค้า คุณภาพของสินค้า ของแท้ ของเทียม ของพรีเมี่ยม ของที่มีจำนวนจำกัด ของหายาก ของสะสมเป็นต้น
สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของการพยายามสร้างตัวสินค้า(วัตถุ)เชื่อมโยงกับสัญญะของสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องของความหมาย คุณค่า สัญญะของสินค้าทำหน้าที่กำกับ กำหนด นำทางของเขตหรือพื้นที่ทางวัฒนธรรม (ชนชั้น รสนิยม คุณลักษณะและคุณภาพของผู้ใช้ ) ของการบริโภคสินค้า เช่น การถอดกางเกงยีนส์ขาบานมิ่้งไป ไม่ช่เพราะว่ามันไม่สามารถสวมใส่หรือขาดคุณค่าในเชิงใช้สอย แต่เนื่องจากว่ามูลค่าเชิงสัญลักษณ์ได้สิ้นสุดหรือหมดไป เพราะความล้าสมัย ตกยุค ดังนั้นเราจึงพบเห็นปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงของแวดวงแฟชั้นที่รวดเร็วมากจนกระทั่งเราตามไม่ทัน ดังนั้นการบริโภคความหมายหรือการบริโภคเชิงสัญญะจึงเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในระบบทุนนิยมที่พยายามแก้ปัญหาสินค้าที่ถูกผลิตออกมาอย่างมากมายเหลือคณานับ
แนวคิดในการวิเคราะห์แบบแผนหรือรุปแบบการบริโภคของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน ที่เป็นเรื่องของการบริโภคเชิงสัญญะ ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับสินค้าในรูปแบบของการใช้สอยและความพึงพอใจ โดยสินค้าเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนใหป็นสัญญะก่อนที่จะถูกบริโภค ภาวใต้การใส่รหัสต่างๆทางวัฒนธรรม เช่น ความเชื่อ ลำดับชั้น เกรดของสินค้า สินค้าส่งออกนำเข้า สินค้าเหล่านี้เชื่อมโยงกับศักดิ์ศรี เกียรติยศและสถานภาพ เช่นเดียวกับการจัดโครงสร้างทางสังคมของมนุษย์
การบริโภคในยุคปัจจุบันจึงไม่ใช่การบริโภคความเหมือนแต่เป็นการบริโภคความแตกต่าง (Logic of difference) ที่การบริโภคสินคา ทำใหู้้บริโภคมีเอกลักษณ์แตกต่างจากคนอื่นๆ ความหมายและหลากหลายของสัญญะนำไปสู่การบริโภคที่ไม่สิ้นสุดของมนุษย์
วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
มานุษยวิทยากับการศึกษาสัญญะ และสัญลักษณ์
มานุษยวิทยากับการศึกษาสัญญะ
และสัญลักษณ์
Sign[1] and
Symbol in Anthropology study
นัฐวุฒิ สิงห์กุล
มานุษยวิทยา(Anthropology)
เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ในทุกๆด้านที่สัมพันธ์กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในสังคม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ศาสนา พิธีกรรม
ที่สะท้อนผ่านโลกทัศน์ ความเชื่อ ความคิด
วัตถุสิ่งของ ภาษา พฤติกรรม บุคลิกภาพและการแสดงออกของมนุษย์ ความพยายามอย่างสำคัญของนักมานุษยวิทยา
ในช่วงปี1960-1970 ในการศึกษาทำความเข้าใจและวิเคราะห์วัฒนธรรม
เช่นเดียวกับระบบของสัญลักษณ์ และระบบการสื่อความหมายในสังคม ได้นำนักมานุษยวิทยา
ก้าวเข้าไปสู่สนามใหม่ทางมานุษยวิทยา
ที่เป็นการเผชิญหน้ากันอย่างท้าทายของมานุษยวิทยาสายโครงสร้าง(Structural
Anthropology) และมานุษยวิทยาทางปรัชญา(Philosophy
Anthropology) อันได้รับอิทธิพลมาจากนักภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง
ชาวสวิสเซอร์แลนด์ อย่างเฟอร์ดิน็องต์ เดอ โซซูร์ (Ferdinane de Saussure) และนักปรัชญาชาวอเมริกัน อย่างชาร์ล แซนเดอร์ เพิร์ซ (Charles
Sander Pierce) ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับสนามทางมานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม
ดังที่Singer Milton (1968) ได้กล่าวถึงสนามใหม่ทางมานุษยวิทยาในช่วงเวลานั้นว่า
“ ในช่วงทศวรรษหน้าของปี1968-1978 ฉันวางแผนกับภาพที่ต่อเนื่องในงานวิจัยของฉัน
และการสอนที่น่าสนใจในอินเดีย รวมทั้งการศึกษาเปรียบเทียบเกี่ยวกับอารยะธรรม
อย่างไรก็ตาม ฉันยังใช้เวลาจำนวนมากกับสนามทางมานุษยวิทยา ซึ่งฉันหมายถึง การพรรณา
การวิเคราะห์ ระบบคุณค่า การให้ความหมายและระบบความเชื่อของวัฒนธรรมที่เฉพาะเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในระบบและความสัมพันธ์ของพวกเขา(คนที่ถูกศึกษา)กับโครงสร้างสังคม
สิ่งแวดล้อมและบุคลิกภาพ นี่คือการปรากฎขึ้นของสนามใหม่ทางมานุษยวิทยา
และความสนใจที่ถูกชักชวนและดึงดูดอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เนื่องมาจากการทำงานของเลวี่ สเตร๊าท์
ในการวิเคราะห์โครงสร้างของนิทานปรัมปรา(Myth) และนำวิธีการทางภาษาศาสตร์ไปใช้เกี่ยวกับการวิเคราะห์
ส่วนประกอบของนิทานพื้นบ้าน การจำแนก แยกแยะ การจัดประเภทของเครือญาติ การจำแนกสี
โรคภัยไข้เจ็บ การแบ่งแยกพืช และสัตว์ รวมถึงลักษณะสำคัญอื่นๆ ทางวัฒนธรรม....ในการทำงานของตัวฉันเอง ฉันตั้งใจกับการวางรูปแบบและการฝึกฝนที่เฉพาะในตรรกะเชิงสัญลักษณ์
ทางปรัชญา และจิตวิทยาสังคม สำหรับการช่วยวางรากฐานทางทฤษฎีของระบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม(Cultural
Symbol System)” (Singer 1984;preface 8 )
ดังนั้น
การประยุกต์ใช้แนวคิดและทฤษฎีของสาขาอื่นๆในทางมานุษยวิทยา ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป้าหมาย
วิธีการ และประเด็นสำคัญ ในสนามย่อยทางมานุษยวิทยา
และนำไปสู่วิธีการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่เรียกชื่อกันแตกต่าง เช่น เลวี่ สเตร๊าท์(Levi-Strauss
) ที่เรียกว่า มนุษยวิทยาโครงสร้างหรือสัญวิทยา (Structural
Anthropology or Semiology) ,เกียร์ซ คลิฟฟอร์ด (Clifford
Greezt) ที่เรียกว่า มานุษยวิทยาของการตีความ (Interpretive
Anthropology) ,ชไนเดอร์ (Schneider) ที่เรียกสนามของเขาว่า
คำอธิบายหรือเรื่องเล่าทางวัฒนธรรม(Culture account) , พีค็อซ(Peacock)
และเพื่อนร่วมงานของเขา ได้ออกแบบสนามใหม่ของพวกเขาทางมานุษยวิทยา
ว่าเป็นมานุษยวิทยาเชิงสัญลักษณ์(Symbolism Anthropology),วิกเตอร์
เทอร์นเนอร์(victor Turner)และ แมรี่ ดักลัส(Mary
Douglas) ที่อ้างเกี่ยวกับ สัญลักษณ์วิทยาเชิงเปรียบเทียบ(Comparative
Symbology) ที่เขาได้เน้นย้ำถึงความสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการวิเคราะห์เชิงสัญลักษณ์
ในบริบทที่เกี่ยวกับชีวิตทางสังคมที่เป็นรูปธรรม และรูปแบบเชิงสัญลักษณ์ ที่เป็นเป็นเหมือนสูตรทางคณิตศาสตร์และเหตุผลเชิงตรรกศาสตร์
หรือระบบการระลึกรู้เข้าใจ(Cognitive System) ดังเช่นที่เทอร์นเนอร์ ได้สังเกตบนลักษณะของสัญวิทยา(Semiology)
สัญศาสตร์(Semiotic)และภาษาศาสตร์(Linguistic)
ในทัศนะทางความคิดของนักวิชาการภาษาศาสตร์อย่างโซซูร์( Ferdinance
de Saussure) และเพิร์ส (Charles Sander Pierce) ได้นำไปสู่การแนะนำทิศทางที่แตกต่างในการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสัญลักษณ์และสัญญะ
ในการศึกษาทางมานุษยวิทยาของนักมานุษยวิทยา ออกเป็น 2 ลักษณะคือ
1) นักมานุษยวิทยาเชิงสัญวิทยา (The Semiological Anthropologist) ซึ่งสนใจเกี่ยวกับการอธิบาย พรรณนาและวิเคราะห์ระบบสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม (Cultural
symbol system) การนับถือระบบสัญลักษณ์ของสัตว์ประจำเผ่าหรือตระกูล(Totemism)
นิยายปรัมปรา(Myth) พิธีกรรม(Ritual) พิธีเฉลิมฉลอง(ceremonies) ระบบเครือญาติ(Kinship
system) อันมาจากงานชาติพันธุ์วรรณาของพวกเขา
ในบริบทความสัมพันธ์ทางสังคม และการกระทำของปัจเจกบุคคลและความรู้สึกนึกคิด
2)
นักมานุษยวิทยาเชิงสัญศาสตร์ (The semiotic Anthropology) ซึ่งสนใจศึกษาระบบสัญลักษณ์เช่นเดียวกัน แต่อยู่ในอีกด้านหนึ่ง
ที่คล้ายคลึงกับงานศึกษาทางชาติพันธุ์วรรณาในระบบของความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลและความรู้สึก
อารมณ์ของปัจเจกบุคคล(Emotion individual)รวมทั้งกิจกรรม(Activity)ต่างๆที่เกิดขึ้น
ลักษณะทั้งสองนี้อยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ของแนวคิด
ทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในสายหน้าที่นิยม (Functionalism) โครงสร้างนิยม(Structuralism)
และสัญลักษณ์นิยม(Symbolism) ที่ถูกนำมาประยุกต์ใช้โดยนักมานุษยวิทยาสังคม
วัฒนธรรม ในอังกฤษ อเมริกาและฝรั่งเศส ดังที่ Singer Milton (1984) กล่าวว่า ความนิยมและกระบวนการสร้างลักษณะในทิศทางของการศึกษาวิจัยของพวก Saussurean
เช่นเดียวกับพวก โครงสร้าง (Structuralist) การระลึกรู้
(Cognitive) และมนุษยนิยม (humanistic) ซึ่งทั้งสามประเภทมีจุดเน้นอยู่บนเรื่องของภาษา ในขณะที่พวกนิยมแนวคิดของเพิร์ส
(Piercean) ถูกพิจารณาเช่นเดียวกับพวก หน้าที่นิยม(Functionalist)
อรรถประโยชน์นิยม(Utilitarian) และธรรมชาตินิยม(Naturalist)
ที่มีจุดเน้นที่ปัจเจกบุคคล ประสบการณ์ การสังเกต
การรับรู้เข้าใจและการกระทำต่อโลกและสังคม
การผสานแนวคิดและทฤษฎีมานุษยวิทยาเข้ากับวิธีการศึกษาเชิงสัญลักษณ์และสัญญะ
ไม่ว่าจะเป็นมนุษยวิทยาโครงสร้างนิยม(Structuralism) มนุษยวิทยาหน้าที่นิยม(Functionalism)
มนุษยวิทยาโครงสร้าง-หน้าที่นิยม(Structural-Functionalism)
มนุษยวิทยาการระลึกรู้(cognitive) มนุษยวิทยาสัญลักษณ์นิยม(Symbolism)
มนุษยวิทยาภาพรวมทางวัฒนธรรม(Cultural Configuration) ในตัวของทฤษฎีต่างๆเหล่านี้มีการถูกเชื่อมโยงเข้ากัน
เช่นโครงสร้างนิยม กับสัญลักษณ์นิยม
ที่ความคิดในเรื่องของโครงสร้างสามารถประยุกต์ใช้ได้กับการวิเคราะห์ปรากฎการณ์เชิงสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบสัญลักษณ์สัตว์(Totemism) นิทานปรัมปรา(Myth) และพิธีกรรม (Ritual) โดยเฉพาะในช่วงปี1950-1960
ที่นักมานุษยวิทยาชาวฝรั่งเศส ที่ชื่อClaude
Levi-Strauss(1908-1968) ได้ทำให้วิชาทางมานุษยวิทยามีสนามใหม่ภายใต้ชื่อโครงสร้างนิยมและสัญวิทยา
ในคำประกาศของเขาเมื่อรับตำแหน่งที่ College de France ว่า “มนุษ์ติดต่อสื่อสารโดยความหมายของสัญลักษณ์และสัญญะ”
สิ่งที่น่าสนใจก็คือความแตกต่างของหัวข้อเนื้อหาที่สำคัญและวิธีการศึกษาที่มีความแตกต่างกันระหว่างสัญศาสตร์และสัญวิทยา
สามารถเป็นสิ่งที่ถูกสรุปในชุดของความแตกต่างที่สำคัญ โดยสัญวิทยาเป็นสิ่งที่เน้นภาษาเป็นศูนย์กลาง
ที่มีพื้นฐานอยู่บน 3 ข้อสมมตติฐานคือ
1)ภาษาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดของระบบสัญญะทั้งหมด
2)ข้อสมมติฐานของระบบสัญญะอื่นๆทั้งหมด
เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการใช้ประโยชน์ของภาษา
3)ภาษาศาสตร์ เช่นเดียวกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ในการศึกษาเกี่ยวกับภาษาที่ได้ให้รูปแบบที่ดีที่สุด
สำหรับการศึกษเกี่ยวกับระบบสัญญะอื่นๆทั้งหมด
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสัญวิทยา เป็นการศึกษาชนิดประเภทของระบบสัญญะ
รวมทั้งวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับรูปแบบทางภาษา หรืออาจจะเรียกว่าเป็นกระบวนการตีความหมายทางภาษาศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรม
ในขณะที่สัญศาสตร์เป็นสิ่งที่สนใจในกระบวนการของการติดต่อสื่อสาร
และเน้นการเอาตรรกะเป็นศูนย์กลาง ที่สนใจประเภทชนิดของสัญญะที่เป็นภาพเหมือน ดัชนี
สัญลักษณ์ และความสัมพันธ์กับวัตถุของพวกเขา
ในการตีความหมายของพวกเขา ที่เป็นการเปรียบเทียบเกี่ยวกับภาษาศาสตร์
ในรูปแบบทางภาษาที่แตกต่าง ซึ่งเป็นสมการ แผนภาพและไดอะแกรม
และแนวคิดในเรื่องของความหมายสัญญะหรือการกำหนดวัตถุ
เช่นเดียวกับสิ่งที่ไม่สำคัญจำเป็น เหมือนเปลือกนอก แต่มันก็เป็นสิ่งที่สำคัญในแง่ของการนำไปสู่การแสดงออกที่เป็นไปได้
ในผู้แปลหรือตีความหมายมัน นี่เองที่เป็นจุดต่างสำคัญ กับความคิดของโซซูร์
ที่ปฎิเสธเรื่องของตำแหน่งแห่งที่ ในการกำหนดวัตถุ สิ่งของ เนื้อหาสาระ
ซึ่งถูกรักษาไว้เช่นเดียวกับจุดที่แตกต่างทางภาษาศาสตร์
ที่เป็นเหมือนกับการสร้างข้อผูกมัดหรือพันธนาการในรากฐานทางวัตถุ
หรือความเชื่อในการมีอยู่จริงเริ่มต้นของวัตถุสิ่งของในการกำหนดการตัดสินใจของเรา
ในขณะที่โซซูร์ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างภาพประทับของจินตนาการ
ภาพประทับของเสียง และความคิด ที่เรียกว่า การกำหนดให้เป็นของรูปสัญญะและความหมายสัญญะ
ที่โซซูร์ให้ความสำคัญกับตัวความคิด (Concept)และระบบกฎเกณฑ์(Langue) มากกว่ารูปสัญญะ
การกำหนดเนื้อหา ขอบเขตและวิธีการ ที่แตกต่างของสัญวิทยาและสัญศาสตร์
อันมีรากฐานมาจากโซซูร์และเพิร์ซ ทำให้มีผู้ติดตามที่มากมาย
ในการประยุกต์ใช้วิธีการดังกล่าวในการศึกษาเชิงสัญญะ
ดังเช่นสัญศาสตร์ของความไร้สำนึกของลากอง(Jacques-Lacan)
สัญศาสตร์ในรหัสเกี่ยวกับเครือญาติและนิทานปรัมปราของเลวี่-สเตร๊าท์(Levi-Strauss) สัญศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์และความขัดแย้งในสังคมของออทุสแซร์(Louis
Authusser) สัญศาสตร์ทางวรรณคดีของบาร์ธ(Roland Barthes) และสัญศาสตร์เกี่ยวกับวาทกรรมทางประวัติศาสตร์และเอกสารหลักฐานของฟูโก(Micheal
Foucault) และอัมเบอร์โต้ อีโก้(Umbeto Eco) ในสัญศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมยุคAvant-garde
โรล็องต์ บาร์ธ(Roland Barthes1915-1980) นักวรรณคดีวิจารณ์และนักสัญวิทยาชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ติดตามอย่างใกล้ชิดกับโซซูร์
ในคู่ของความสัมพันธ์ที่เรียกว่า รูปสัญญะและความหมายสัญญะ
ที่ได้ก้าวข้ามขอบเขตทางภาษาไปสู่การศึกษารหัสทางวัฒนธรรม
ที่มีโครงสร้างเหมือนภาษา
การก้าวข้ามในการศึกษาสัญญะ จากการเริ่มต้นมองไปที่วัตถุ การให้ความหมายหรือการตีความหมาย
ไปสู่เรื่องของภาษา รหัสทางวัฒนธรรม
เพื่อค้นหาโครงสร้างกฎเกณฑ์ที่เป็นตัวกำหนดความคิด คุณค่า ค่านิยม
มาเป็นการศึกษาตัวบท โดยให้ความสำคัญกับงานเขียน
ที่กลุ่มพวกโครงสร้างนิยมและภาษาศาสตร์เชิงโครงสร้าง อย่างโซซูร์และเลวี่ สเตร๊าท์
ได้ละเลย โดยให้ความสำคัญของภาษาพูดมากกว่า การเขียน ที่ถูกมองว่า
เป็นทรราชหรือกบฎ
ที่มีความร้ายกาจหรือเชื้อโรคที่ทำให้ธรรมชาติของการพูดการใช้ภาษาเสื่อมโทรม ดังนั้นการที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับสัญญะ
จึงควรที่จะแสดงให้เห็นความเป็นสัญญะที่หลากหลายภายใต้วัตถุ บทสนทนา ตัวบท
ที่เกี่ยวกับสัญญะนั้นๆ
เพื่อให้เราสามารถมองเห็นความสัมพันธ์ในลำดับชั้นในความสลับซับซ้อนของสัญญะที่เป็นเรื่องของวัตถุ
บทสนทนา และตัวบทอันหลากหลาย
ซึ่งถูกใช้โดยบุคคลหลายกลุ่ม
“แนวความคิดของวัฒนธรรม เป็นสัญศาสตร์อย่างหนึ่งที่สำคัญ ที่สอดคล้องกับความคิดของแม๊กซ์
เวเบอร์ ที่มองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ที่ถูกแขวนไว้ในเครือข่ายของการสร้างความหมาย
ที่ตัวเขาเองมีการเรียบเรียง ฉันยึดจับวัฒนธรรมกับการเป็นเครือข่ายเหล่านั้น
และวิเคราะห์เกี่ยวกับมัน...มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ในเชิงการทดลองในการวิจัย/ค้นหาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ แต่มันเป็นการตีความหมายหนึ่ง
ในการค้นหาเกี่ยวกับความหมาย”(Greezt,1973)
แนวความคิดของเกียร์ซ
เป็นแนวความคิดที่วางอยู่บนบุคคลและการสร้างความหมาย
เขาได้ใช้ทฤษฎีเชิงปรากฎการณ์วิทยา ในการวิเคราะห์เกี่ยวกับบุคคล
เวลาและการปฎิบัติการ ดังเช่นการศึกษาของเขาที่บาหลี
ไม่ว่าจะเป็นConduction
of Bali ในปี1966 หรือ Deep play:Note
on the balinese cockfight ในปี1973 ที่เกี่ยวกับการตีความสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรม
เช่นการชนไก่ของผู้ชายบาหลี ที่ไก่เป็นสัญลักษณ์ของผู้ชายและวัฒนธรรมของชาวบาหลี
ในการเปรียบเทียบ คำว่า Sabange ที่ใช้สำหรับไก่ชน
ถูกใช้ในความหมายถึง วีรบุรุษ นักรบ ผู้ชนะ ผู้ชายเจ้าชู้ เสือผู้หญิง
หรือความแข็งแรงบึกบึน หรือแม้แต่เรื่องของการแต่งงาน การทำสงคราม
การทะเลาะวิวาทในเรื่องสมบัติมรดก ก็จะถูกเปรียบเทียบกับไก่ชน
ที่แสดงให้เห็นอัตลักษณ์เฉพาะตัว องค์กรทางสังคมและการจัดช่วงชั้นทางสังคม
ที่คนบาหลีบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขาเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง
นักมานุษยวิทยาอีกท่านหนึ่งที่มีความพยายามที่จะศึกษาสัญลักษณ์ในพิธีกรรม
ที่สัมพันธ์กับกระบวนการทางสังคมคือ วิกเตอร์ เทอร์เนอร์(Victor
Turner) ที่วิเคราะห์รูปแบบทางวัฒนธรรม
พิธีกรรม ผ่านการวิเคราะห์โดยมองไปที่โครงสร้างทางสังคม
ที่เป็นความสัมพันธ์ของสถานภาพ บทบาท กับโครงสร้างทางสังคมหน่วยต่างๆ
การเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ในพิธีกรรมนั้นจะนำเราเข้าไปสู่ความเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในโครงสร้างทางสังคม
โดยเขามองไปที่สภาวะคุณสมบัติของโครงสร้าง 2 แบบคือ
คุณสมบัติทางโครงสร้างและคุณสมบัติที่ไร้โครงสร้าง หรือStructureกับ Communitas ซึ่งสภาวะทั้งสองมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตลอดเวลา
วิกเตอร์ เทอร์เนอร์
ได้เข้าร่วมประชุมนานาชาติเกี่ยวกับเรื่องศาสนาและพิธีกรรมในแอฟริกา
เขาได้ชี้จุดที่แตกต่างระหว่างวิธีการของพวกมนุษยวิทยาอังกฤษและฝรั่งเศส
ในเรื่องของพิธีกรรมและสัญลักษณ์
ซึ่งเขาได้แนะนำในรายงานของเขาในการประชุมนี้ โดยแบ่งออกเป็น3ส่วน คือ 1) ปฎิบัติการทางความหมาย(Operational
meaning) 2) การศึกษาการอธิบายความหมาย(exegetical meaning)
3)การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของความหมาย(positional meaning) ที่เป็นเหมือนหนทางของการเชื่อมโยงสำหรับสองสำนักทางมานุษยวิทยานี้ นี่คือสิ่งที่เทอร์เนอร์
ได้ใช้ในการศึกษาพิธีกรรม ที่เป็นรูปแบบทางวัฒนธรรม เทอร์เนอร์
ได้ศึกษาการแสดงความหมายเชิงสัญลักษณ์ กระบวนการทางพิธีกรรม
ที่เป็นการเปลี่ยนผ่านจากสถานะหนึงไปสู่อีกสถานะหนึ่ง
สภาวะที่อยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านก็คือสภาวะคุณสมบัติที่ไร้โครงสร้าง
หรือช่วงเวลาที่เรียกว่าช่วงชายขอบ(Liminal period/Liminality) ที่สร้างความหมายสัญลักษณ์ในพิธีกรรม เพราะคุณสมบัติแห่งช่วงชายขอบ
เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เกิด วรรณกรรมปรัมปรา สัญลักษณ์ทางพิธีกรรม
รวมทั้งศิลปะและระบบปรัชญาด้วย(Turner,1970;p.128-130)
แมรี่
ดักลาส(Mary
Douglas) ก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่สนใจเกี่ยวกับการศึกษาทางสัญลักษณ์
พิธีกรรมและกิจกรรมทั้งหมด ในการสร้างเกี่ยวกับความจริงทางสังคมในทุกๆวัน
โดยเฉพาะความจริงที่เกี่ยวกับชีวิตทางสังคม
ความสกปรก ร่างกาย อาหาร
การครอบครองวัตถุ คำพูดตลกและถ้อยคำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องทาง โภชนศาสตร์ หรือเรื่องทางการแแพทย์ เรื่องความรวย ความเสี่ยง
แต่มันเป็นปัญหาเรื่องวัฒนธรรม เมื่อเขาศึกษา เรื่องความบริสุทธิ์(Purity)และมลทิน(Pollution) ความสกปรก ความสะอาด
ที่เป็นเรื่องของการจัดระเบียบ และเป็นเรื่องของโครงสร้างทางความคิด คล้ายคลึงกับการจำแนกระบบวรรณะในอินเดีย ดักลาส
ได้ขีดร่างธรรมเนียมทางวัฒนธรรมไปยังการอธิบายกระบวนการที่เฉพาะทั่วไป ในกฎเกณฑ์
กฎระเบียบ ของชีวิตทางสังคมของมนุษย์ ที่เรียกว่า Moral Order ซึ่งความสกปรก ความเบี่ยงเบน ความผิดปกติ
และวัตถุอื่นก็ถูกสังเกตเช่นเดียวกับมลทิน/มลภาวะ(Pollution)
ที่เปิดเผยให้เห็นความสำคัญของวัตถุสิ่งของ
กับระเบียบกฎเกณฑ์ของการจำแนกแยกประเภท โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับขอบเขตทางสัญลักษณ์
ที่แบ่งแยกสังคม กลุ่มคนและปัจเจกบุคคล
แมรี่
ดักลาสค่อนข้างสนใจ กับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และการอธิบายทางสุขวิทยา(Hygienie) ในแนวทางเดียวกับรูปแบบธรรมเนียมความเชื่อในพระเจ้าและวิญญาณ ที่สังคมไม่ใช่รูปภาพของความจริง ที่ถูกปกป้องไว้
ไม่ใช่โดยการมีอยู่ของมันที่เรามองเห็นมันเช่นเดียวกับความศักดิ์สิทธิ์และอันตรายเท่านั้น
แต่เป็นการดำรงอยู่ของความจริงด้วย ดักลาสต้องการยืนยันถึงพื้นฐาน ศีลธรรม
จรรยามารยาทของสังคม ที่เป็นความสัมพันธ์ทางสังคมและความรู้สึกร่วมกัน ที่ถูกสร้างขึ้น ผ่านความสะอาด
สกปรกของวัตถุ
วัตถุเป็นสิ่งที่ไม่ได้สะอาด สกปรกในตัวของมันเอง มันเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่ผิดที่ผิดทาง (Out
of Place) ที่สร้างบางสิ่งให้สกปรก
ถ้าสิ่งที่ปกติมันวางอยู่บนโต๊ะหรือในอาหาร
หรือถ้ามันวางอยู่บนพื้นดินและมูลสัตว์ ดังที่ดักลาสบอกว่า
“ พวกเราเป็นสิ่งที่ออกไปจาก คำจำกัดความที่เก่าแก่ของความสกปรก
เช่นเดียวกับสสารที่วางอยู่ผิดที่ผิดตำแหน่ง(Out of Place) นี่คือความเกี่ยวข้องกับสภาพเงื่อนไข
2 อย่าง
ในชุดของความสัมพันธ์ที่เป็นระเบียบกฎเกณฑ์และความขัดแย้งของระเบียบกฎเกณฑ์
ความสกปรก(Dirth) เป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกแยกออกจากเหตุการณ์
ซึ่งความสกปรกเป็นระบบ ความสกปรกเป็นผลผลิต เป็นผลพลอยได้ ของการวางกฎเกณฑ์ของระบบ
และการจำแนกแยกแยะประเภทของสสาร
ในกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่ปฎิเสธความไม่เหมาะสมของส่วนประกอบ...”
ดักลาส
เชื่อมโยงความคิดเกี่ยวกับความสกปรกนี้กับสัญลักษณ์ที่เห็นได้ชัดเจน
เกี่ยวกับความคิดเรื่องความบริสุทธิ์ ศาสนาและความศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับคำอธิบายทางศีลธรรม
ในแต่ละระบบของการจำแนกแยกแยะ การจัดประเภทของความสกปรก ความสะอาด
ที่เป็นเรื่องของกฎเกณฑ์และการจัดประเภททางความคิด โดยผ่านระบบสัญลักษณ์
ความสัมพันธ์ระหว่างนักมานุษยวิทยาสายต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่นิยม โครงสร้างหน้าที่นิยม
สัญลักษณ์นิยมและแนวความคิดเรื่องวัฒนธรรม ที่สัมพันธ์กับเรื่องของปัจเจกบุคคล
กลุ่มและสังคม ที่สร้างสัญลักษณ์
ความหมายทางสัญลักษณ์และการติดต่อสื่อสารระหว่างกันที่นำไปสู่สัญลักษณ์ทางภาษา
ในการพัฒนาทางวัฒนธรรมที่มีความเฉพาะ
ภายใต้ความสัมพันธ์ ระหว่างปัจเจกบุคคล สังคม ความคิด
วัตถุและการสร้างความหมาย โดยศึกษาและสังเกตผ่านตัวพิธีกรรม ประเพณีทางศาสนา พิธีเฉลิมฉลอง
และปรากฎการณ์ทางสังคมอื่นๆ ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ หรือสัญญะ ผ่านวัตถุ
สิ่งของในพิธีกรรม หรือการใช้ภาษา ผ่านการเล่านิทานปรัมปรา บทสนทนา
คำเรียกเครือญาติ ภาษาพื้นเมือง บทสวดมนต์ขับไล่วิญญาณความชั่วร้าย
หรือการบวงสรวงเทพเจ้าของชนเผ่า
ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนผ่านจากเรื่องของวัฒนธรรม ไปสู่เรื่องของภาษา
ที่สอดคล้องกับวัตถุ(Object)
และความคิด(Subject)ในการให้ความหมาย(meaning)
ที่เป็นเรื่องของสัญลักษณ์และสัญญะ
ภาษากลายเป็นเครื่องมือให้เราสามารถศึกษาและทำความเข้าใจวัฒนธรรมได้
การศึกษาความคิด ที่สัมพันธ์กับเรื่องของภาษา
ได้รับการพัฒนาโดยนักมานุษยวิทยาสายโครงสร้างนิยม อย่างเลวี่ สเตร๊าท์
ที่เป็นการพยายามค้นหากฎเกณฑ์ภายใต้จิตใต้สำนึกของมนุษย์
โซซูร์
ได้พัฒนาแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์สองด้าน (Dyadic) ในชุดของ
รูปสัญญะ(signifiant/signifier) กับความหมายสัญญะ(signifie/signified)
ระบบกฎเกณฑ์(langue)กับการเปล่งเสียง(speech/parole)
นามธรรม(abstract)กับรูปธรรม(concrete)
สังคม(Social)กับปัจเจกบุคคล(individual) ความคิด(concept)กับจินตภาพแห่งเสียง(sound-image/acoustic-image) ที่เป็นเสมือนกับสองด้านของความสัมพันธ์ซี่งสามารถทำการแยกศึกษาได้
โดยที่Langue เป็นผลผลิตทางสังคม ในความสามารถทางถ้อยคำ คำพูด และการรวบรวมสะสม
ธรรมเนียม แบบแผน กฎเกณฑ์สำคัญ
ซึ่งเป็นที่ยอมรับโดยกลุ่มทางสังคมหรือชุมชนทางภาษากับการยินยอม
อนุญาตของแต่ละปัจเจกบุคคล ที่เกี่ยวกับการใช้
ที่เป็นความสามารถที่ติดตัวมาของมนุษย์
ส่วน
Parole
หรือด้านของปัจเจกบุคคล ที่เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำ ที่ไม่ได้ดำรงอยู่อย่างเป็นรูปธรรมในตัวของมันเองแต่อยู่ภายใต้ข้อกำหนดของระบบไวยกรณ์ทางภาษา รูปแบบความสัมพันธ์ที่เป็นคู่ระหว่างรูปสัญญะและความหมายสัญญะ
มันค่อนข้างจะเป็นความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นธรรมชาติน้อยมาก
เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งที่มาจากการกำหนดให้เป็น(Arbitrary) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างจิตภาพของเสียง
(Sound-image) และความคิด(Concept) เช่นเดียวกับรูปสัญญะ(Signifier)
และความหมายสัญญะ(Signified) เช่นคำศัพท์ว่า TREE
(ต้นไม้) ที่เป็นตัวอย่างของโซซูร์
ซึ่งเป็นรูปสัญญะ และเป็นความหมายสัญญะในเรื่องของความคิดเกี่ยวกับต้นไม้
ลักษณะความจริงทางกายภาพของต้นไม้ที่เจริญเติบโตในพื้นดิน คำศัพท์คำว่า “TREEหรือต้นไม้” ไม่ได้เป็นธรรมชาติหรือคุณสมบัติที่เท่าเทียมกันกับต้นไม้จริงๆ
ซึ่งโซซูร์ก็ไม่ได้สนใจกับความจริงที่อยู่พ้นขอบเขตหรือนอกเหนือเรื่องของภาษา
ที่อยู่ภายใต้การรับรองเกี่ยวกับมันเท่านั้น
การถูกกำหนดให้เป็น
จึงไม่ใช่เหตุผลหรือธรรมชาติ ที่เชื่อมโยงระหว่าง2ส่วนของสัญญะ
ที่ถูกทำให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้รูปแบบกฎเกณฑ์ที่ยอมรับร่วมกันในชุมชนทางภาษา
ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องภายในตัวของปัจเจกบุคคล
รูปสัญญะที่แตกต่างหลากหลายของคำศัพท์
เกี่ยวกับต้นไม้ Arbre ,Baum Arbor และTree ไม่มีอะไรเลยที่จะเหมาะสมกว่าหรือมีเหตุผลกว่าสิ่งอื่นๆ
แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้การรักษาและการันตี จากโครงสร้าง
ธรรมชาติของระบบที่เกิดขึ้นในชุดคำที่แน่นอน คำศัพท์ของต้นไม้ จึงมีความหมายถึงลักษณะทางกายภาพเกี่ยวกับใบ
สิ่งที่เจริญเติบโตในดิน
เพราะว่าโครงสร้างของภาษาได้สร้างความหมายของมันและทำให้มันถูกต้อง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นอิทธิพลทางภาษาในการสร้างความเข้าใจของมนุษย์
เกี่ยวกับโลกและสิ่งต่างๆรอบตัว
ในสัญศาสตร์เกี่ยวกับวัฒนธรรมยุคAvant-garde โรล็องต์ บาร์ธ(Roland
Barthes1915-1980) นักวรรณคดีวิจารณ์และนักสัญวิทยาชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ติดตามอย่างใกล้ชิดกับโซซูร์
ในคู่ของความสัมพันธ์ที่เรียกว่า รูปสัญญะและความหมายสัญญะ
ที่ได้ก้าวข้ามขอบเขตทางภาษาไปสู่การศึกษารหัสทางวัฒนธรรม
ที่มีโครงสร้างเหมือนภาษา บาร์ธ
ได้ทำการศึกษาสัญญะ เช่นเดียวกับรหัสทางวัฒนธรรม
หรือหน่วยของการสื่อความหมายที่มีความแตกต่างหลากหลาย ผ่านการวิเคราะห์ วัตถุ
สิ่งของ และเหตุการณ์ทางวัฒนธรรม เช่น
เสื้อผ้า อาหาร สบู่ ผงซักฟอก ไวน์ ของเล่น หอไอเฟล เหตุการณ์น้ำท่วมในฝรั่งเศส
นิตยาสาร โบชัวร์ท่องเที่ยว และอื่นๆ
ซึ่งทุกๆสิ่งในสังคมในชีวิตประจำวันของมนุษย์ล้วนเป็นสัญญะทั้งสิ้น
ภายใต้กฎเกณฑ์และรหัสในระบบวัฒนธรรม ที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของมายาคติ(Myth)
ที่คนในสังคมยอมรับอย่างไม่ตั้งคำถาม
บาร์ธ ให้ความสำคัญกับเรื่องของรหัส(Code) ที่กำหนดความคิดประสบการณ์ของมนุษย์
โดยการสร้างรหัสผ่านภาษา
ซึ่งรหัสกลายเป็นสิ่งที่ถูกคิดค้นและเป็นเสมือนพันธะสัญญาร่วมกันในสังคม ภาษาจึงบรรจุด้วยรหัสที่มากมาย
รหัสจึงไม่ใช่สิ่งที่สมบูรณ์หรือมีความหมายในตัวของมันเอง แต่ความหมายของมันเกิดจากความสัมพันธ์ที่ประกอบสร้างภายใต้กฎเกกณฑ์ชุดหนึ่งในลักษณะทางภาษา ดังที่บาร์ธ
กล่าวว่ารูปสัญญะและความหมายสัญญะถูกประกอบสร้างโดยสัญญะ ดังเช่น ช่อกุหลาบ
ที่เป็นเหมือนรูปสัญญะ กับความรู้สึกหลงใหลรักใคร่ ที่เป็นความหมายสัญญะ
ที่ถูกผลิตโดยสัญญะของความเป็นช่อกุหลาบ รูปสัญญะจึงเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า
และมันเป็นสิ่งที่จะต้องถูกเติมเต็ม โดยความคิดว่าอะไรที่ควรจะเติม(Hawkes:1977,หน้า...)
กระบวนการสร้างความหมาย
ที่ไม่สิ้นสุดนี่เองที่บาร์ธ ได้เคลื่อนย้ายไปสู่การพิจารณาเรื่องมายาคติ
ที่บ่งชี้หรือแสดงให้เห็นในสังคม ในความสลับซับซ้อนและการสร้างความจริง
ความน่าเชื่อถื่อ และสิทธิในการดำรงอยู่ของมัน
มายาคติ จึงเป็นผลผลิตลำดับที่สองที่เกิดขึ้นจากสัญญะก่อนหน้ามัน
ในระดับที่1 ที่ตวามหมายสัญญะในระดับที่1
มันกลายเป็นรูปสัญญะในระดับที่2 ที่สามารถต่อเติมความหมายได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่เขาเรียกว่า รูปสัญญะที่ว่างเปล่า (Empty Signifier) ดังที่บาร์ธได้แสดงให้เห็นว่า
“ฉันอยู่ที่ร้านตัดผม
ที่ซึ่งเขาได้ถ่ายเอกสารหน้าปกนิตยาสาร Paris-Match ให้กับฉัน
บนหน้าปก ภาพเด็กนิโกรหนุ่ม ในชุดเครื่องแบบทหารฝรั่งเศส
กำลังทำความเคารพพร้อมกับระดับของสายตาที่มองขึ้นไป
และถูกจัดวางอย่างค่อนข้างเหมาะสม อยู่บนแถบสีของธงชาติฝรั่งเศส
ทั้งหมดนี้เป็นความหมายของรูปภาพ แต่ดูจะไร้เดียงสาหรือบริสุทธิ์ไม่
ฉันเห็นได้อย่างดีมาก ว่าอะไรที่มันบ่งชี้แสดงกับฉัน นั่นคือประเทศฝรั่งเศส
ที่เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือทั้งหมดของความเป็นพี่น้อง/บุตรชาตแห่งฝรั่งเศส (Her son)โดยปราศจากการแบ่งแยกเลือกปฎิบัติทางสีผิว
สิ่งที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา เก็บรักษาอยู่ภายใต้ธงชาติฝรั่งเศส(Her
Flag) นี่อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีกว่า
การหันกลับไปยืนยันเกี่ยวกับลัทธิอาณานิคม การแสดงให้เห็นความกระตือรือร้นโดยนิโกรหนุ่มผู้นี้
ในการเก็บรักษาความเป็นผู้ถูกกดขี่ของเขา ฉันเผชิญหน้าอีกครั้ง
กับระบบสัญวิทยาที่ใหญ่กว่า นี่คือสิ่งที่เป็นรูปสัญญะ
ที่ทำให้เป็นรูปแบบของตัวมันเองอย่างเรียบร้อย พร้อมกับระบบที่มีอยู่ก่อนหน้า(ทหารผิวดำเป็นสิ่งที่ให้ความเคารพธงชาติฝรั่งเศส) นี่คือความหมายสัญญะ
มันเป็นสิ่งที่เต็มไปด้วยเป้าหมายที่ผสมผสานเกี่ยวกับ ความเป็นฝรั่งเศส(Frenchness)
และความเป็นทหาร(Malitariness) นี่เป็นสิ่งที่ปรากฎเกี่ยวกับความหมายสัญญะที่นำไปสู่รูปสัญญะ”(อ้างจากHawkes:1977)
ดังนั้น สิ่งที่บาร์ธ ได้รับอิทธิพลมาจากโซซูร์
ก็คงเป็นความคิดในเรื่องของระบบกฎเกณฑ์(Langue) ซึ่งเป็นสิ่งที่นำไปถึงการพูด
แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับถ้อยคำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกันกับสถาบันทางสังคม (Social
Institution) และระบบของคุณค่า (System of Value) เป็นส่วนที่ปัจเจกบุคคล
ไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วยตัวเอง เพราะมีพันธะข้อตกลงของกลุ่ม
ที่มีความสำคัญจำเป็นและเป็นที่ยอมรับของทุกๆคนในความสมบูรณ์ของมัน
เช่นเดียวกับเกมส์ที่มีกฎเกณฑ์มนตัวของมันเอง
และสมามารถเป็นสิ่งที่ถูกจับยึดหรือใช้ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์และคุณค่า
ดังที่บาร์ธ ได้กล่าวถึงในElementary of Semiology เกี่ยวกับระบบของเสื้อผ้า ระบบของรถยนต์ ระบบของเฟอร์นิเจอร์
ระบบที่ซับซ้อนซึ่งเป็นเรื่องของสื่อในการติดต่อสื่อสาร วิทยุ โทรทัศน์ โฆษณา
ระบบของอาหาร ที่เป็นเหมือนระบบของภาษา และเกี่ยวข้องกับเรื่องของภาษา
เมื่อเราอ่านเมนูอาหาร หรืออ่านนิตยาสาร ตำราทำอาหาร ที่ความแตกต่างหลายหลายของประเภทชนิด
วัตถุดิบที่ใช้ทำอาหาร อยู่ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์ทางโภชนาการ
ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของการกีดกัน ที่เกี่ยวกับข้อห้ามเกี่ยวกับอาหาร ความแตกต่างที่ถูกบ่งชี้โดยรสชาติ หวาน เผ็ด
เค็ม หรือความสัมพันธ์ที่เป็นลำดับต่อเนื่อง ที่จัดเรียงในตารางเมนูอาหาร หรือความแตกต่างทางเชื้อชาติ ภูมิภาคและสังคม
ภายใต้ระบบวัฒนธรรมของการปรุงอาหารที่อยู่เหนือส่วนของปัจเจกบุคคล(Parole)หรือครอบครัว ในเรื่องของการจัดเตรียมวัตถุดิบ
เครื่องมือหรือกลวิธีศิลปะในการปรุงอาหารที่หลากหลาย(Barthes:1967,P.27-28)
สิ่งที่เราเห็นได้จากความคิดของบาร์ธ
ที่สะท้อนผ่านการศึกษาระบบทางวัฒนธรรมเหล่านี้ก็คือ เรื่องของระบบคุณค่า ค่านิยม
ทัศนคติ การพิจารณากำหนด ที่พึ่งพาอยู่บนตำแหน่งแห่งที่ทางสังคม เศรษฐกิจ ที่เป็นการให้คุณค่ากับมนุษย์
ซึ่งเป็นผู้บริโภคหรือใช้สัญญะเหล่านี้ ดังเช่น
ที่เขาเริ่มต้นตั้งคำถามกับการตายของผู้ประพันธ์ และการเกิดขึ้นของผู้อ่าน
ที่เริ่มต้นเรียนรู้กับการสร้างโลกใหม่ในหนทางที่แตกต่างภายใต้หนทางของกระบวนการสร้างความหมายที่เกิดขึ้นระหว่างผู้อ่านและตัวบท
ในบริบทที่แตกต่างหลากหลายที่เกิดจากสภาวะของการไม่มีบริบทที่ชัดเจน
บริบททางความหมายสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและผลิตบริบทใหม่ๆได้เสมอ
จนไม่สามารถที่จะควบคุมผูกขาด ความสมบูรณ์ทางความหมายได้
โดยเฉพาะภาษาเขียนที่มีความเป็นตัวเอง มีบริบทของตัวเอง
ภาษาพูดก็เช่นเดียวกันกับภาษาเขียนที่มันสามารถถูกสร้างและอ้างถึงตลอดเวลา
เพื่อสร้างบริบทใหม่ให้เกิดขึ้น
นี่เองที่เป็นสิ่งที่นักทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า
รูปสัญญะ มากกว่าความหมาย สัญญะ ที่เป็นเรื่องของโครงสร้าง กฎเกณฑ์ รหัส
ที่พวกโครงสร้างนิยมให้ความสำคัญ
บาร์ธ ได้หันเหจากการวิเคราะห์รหัสทางวัฒนธรรม
เข้าสู่การศึกษาเกี่ยวกับตัวบทความ(Text) ในความคิดที่ว่า มนุษย์ใส่รหัส(Encode) สำหรับตัวพวกเขาเอง
ดังนั้นบทความหรือตัวText จึงเป็นเหมือนสถานที่
ตำแหน่งสำหรับการอ่าน ที่เราสามารถถอดรหัสได้เช่นเดียวกับวัฒนธรรมอื่นๆ
ซึ่งเป็นรากฐานแนวคิดที่พัฒนามาจากพวกโครงสร้างนิยม
ที่ต้องการสลายลดทอนความเป็นองค์ประธานของมนุษย์ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์
ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นสัญญะภายใต้โครงสร้างกฎเกณฑ์ทางภาษาที่หยุดนิ่งตายตัว
กำลังถูกทำลายด้วยแนวคิดแบบหลังโครงสร้าง
ที่ต้องการหักล้างความเป็นศูนย์กลางทางภาษาหรือการยึดเอาวจนะเป็นศูนย์กลาง(Logocentricism)
[1]
Sign ในความหมายนี้หมายถึงการศึกษาเกี่ยวกับสัญญะ
ไม่ว่าจะเป็นสัญศาสตร์ (Semiotic) และ สัญวิทยา (Semiology)
วันเสาร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558
แนวคิดเรื่องเพศวิถี (Sexuality)ในกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)และการข้ามพรมแดน (Transnational) โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล
แนวคิดเรื่องเพศวิถี (Sexuality)ในกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)และการข้ามพรมแดน
(Transnational)
เพศวิถีมีความสัมพันธ์กับเพศสรีระ (Sex) และเพศสภาวะ (Gender)ในแง่ของการอธิบายความสัมพันธ์ระว่างลักษณะทางกายภาพชีวภาพ
หรือลักษณะทางร่างกายที่เป็นธรรมชาติซึ่งปรากฏให้เห็นภายนอก สุชาดา (2550)อธิบายว่าความหมายของเพศวิถีที่ใช้กันในทางมานุษยวิทยามีนิยามกว้างขวางกว่าประเด็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศและแรงขับทางเพศของคนในสังคม
เพศวิถีเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมากกว่าประเด็นเรื่องชีววิทยามีคุณสมบัติเหมือนเพศสภาวะกล่าวคือมีความหลากหลายและลื่นไหล
เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจและการเมือง สอดคล้องกับพิมพวัลย์ (2551)
ที่ให้ความหมายของเพศวิถีในการศึกษาทางมานุษยวิทยาหมายถึงการที่บุคคลให้ความหมายเรื่องเพศของตนเอง
ระบบความเชื่อ ค่านิยมของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องเพศ
ความรู้สึกและความปรารถนาหรือแรงขับทางเพศ ความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ
รสนิยมทางเพศ การแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศ
คู่ความสัมพันธ์ทางเพศและการให้ความหมายกับคู่ความสัมพันธ์ทางเพศต่างๆ
พฤติกรรมทางเพศแบบแผนพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ที่หลากหลาย ความสัมพันธ์หญิงชาย
สิ่งที่น่าสนใจคือ เพศวิถีเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
และเป็นเรื่องของการนิยามและให้ความหมายเกี่ยวกับเพศวิถีของตัวเองรวมทั้งเพศวิถีเป็นเรื่องของวัฒนธรรม
นิยามของเพศวิถีมีความหลากหลายและซับซ้อนซึ่งไม่สามารถระบุชัดเจนอย่างเด็ดขาดว่าเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เฉพาะ โดยนิยามอย่างกว้างๆอาจกล่าวได้ว่าเพศวิถีสัมพันธ์กับการแสดงออกถึงลักษณะโดยภาพรวมของบุคคล การระบุหรือบอกเล่าว่าตัวเองเป็นใคร
มีความเชื่อและความรู้สึกอย่างไร และตอบสนองต่อสิ่งต่างๆอย่างไรทั้งในแง่ของคำพูด
การแสดงกริยาท่าทาง การแต่งตัว การแสดงความรู้สึกรวมทั้งลักษณะของความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบุคคลต่าง
จากนิยามอย่างกว้างๆสะท้อนลักษณะของเพศวิถีใน 3 ประเด็นคือ อัตลักษณ์ทางเพศ
ความพึงพอใจทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ
โดยเพศวิถีในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเกี่ยวโยงกับมิติต่างๆของเพศวิถีในปัจจุบันที่มีความครอบคลุมลักษณะ
5 อย่างคือ 1.เพศวิถีกับความปรารถนาทางเพศ
ที่สัมพันธ์กับการรับรู้และความรู้สึกเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองและผู้อื่นที่นำไปสู่การปฏิบัติต่อร่างกายตัวเองและพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลและคู่สัมพันธ์
2.ความผูกพันทางเพศ คือ
ความรู้สึกของบุคคลว่าตัวเองมีความผูกพันใกล้ชิดกับคนอื่นได้
ซึ่งสัมพันธ์กับความจริงใจและการเปิดเผยต่อกันที่สะท้อนผ่าน การดูแลเอาใจใส่
การเข้าถึงความสุขและความทุกข์ 3.อัตลักษณ์ทางเพศ คือ ความเข้าใจว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร เป็นชายเป็นหญิงหรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
อาจเป็นเกย์ เสลเบี้ยนทอม กระเทยและอื่นๆ
ซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับเพศที่ปรากฏทางชีวภาพ
แต่สิ่งที่สำคัญคืออัตลักษณ์ทางเพศจะเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าคนนั้นมีบทบาทอย่างไร
นอกจากนี้อัตลักษณ์ทางเพศยังแสดงให้เห็นทิศทางทางเพศของคนคนนั้นด้วย 4.อนามัยเจริญพันธุ์และอนามัยทางเพศ
ที่สะท้อนความสัมพันธ์กับพฤติกรรม ทัศนคติและความสัมพันธ์ทางเพศ เช่น ความสุข
ความปลอดภัย ในเรื่องเพศสมพันธ์และการเจริญพันธุ์ 5.การนำเรื่องเพศมาควบคุมความสัมพันธ์
ที่สะท้อนให้เห็นว่าเพศวิถีเป็นสถานการณ์ที่บุคคลแสดงออกทางเพศที่คุกคาม
ควบคุมหรือสร้างอิทธิพลต่อคนอื่น
ซึ่งการนำเรื่องเพศมาควบคุมความสัมพันธ์อาจนำไปสู่ทั้งความปลอดภัยและอันตราย เช่น
การสร้างความเจ็บปวดและความรุนแรงทางเพศ
เป็นต้นดังนั้นนิยามของเพศวิถีจึงไม่ได้แค่เพียงบอกว่าหมายถึงอะไรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่ามันถูกสร้างได้อย่างไรและสะท้อนให้เห็นการจำแนกและจัดประเภทของเพศวิถีที่ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติและผิดปกติ
อันส่งผลต่อความพึงพอใจ ความสุขและคุณภาพชีวิตของคนต่อเรื่องเพศวิถีในสังคม
ในสังคมสมัยใหม่เทคนิควิทยาการในการจัดแบ่งเพศวิถี
มีความสัมพันธ์กับความเชื่อและความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ที่อยู่บนฐานของความรู้เชิงวัตถุวิสัยที่นำไปสู่การทำนาย
อธิบายสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องแม่นยำ
และความรู้ดังกล่าวยึดโยงอยู่บนความรู้ความจริงที่เป็นสากลและใช้ได้ในทุกสถานการณ์
ความรู้ในเรื่องเพศศาสตร์ (Sexology) ก็เกิดขึ้นภายใต้การมองว่าเพศเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและดำรงอยู่ในลักษณะทางชีภาพของมนุษย์
ที่อธิบายและทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างศัพท์เทคนิคในเรื่องเพศ
การจัดโครงสร้างความรู้ในเรื่องเพศ การจัดแบ่งประเภท ดังเช่นการจัดแบ่งเรื่องเพศออกเป็นเรื่องของชายและหญิงผ่านความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ที่เชื่อมโยงปัจจัยทางด้านชีววิทยา เช่น ฮอร์โมน โครโมโซม ยีนส์ แรงขับทางเพศ
ที่แฝงฝังและติดยึดกับตัวบุคคลมาตั้งแต่กำเนิด
สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงกำหนดลักษณะของเพศเท่านั้นแต่ยังเป็นตัวกำหนดทิศทางเพศ (Sex
Orientation) เพศจึงสัมพันธ์กับอวัยวะเพศ
แรงขับทางเพศที่ยึดโยงกับเรื่องของการสืบพันธุ์ ความสัมพันธ์แบบสอดใส่
รุกและรับระหว่างชายกับหญิง
รวมทั้งบทบาทของการตั้งครรภ์ความเป็นแม่และการเลี้ยงดูลูก
ซึ่งการจัดแบ่งประเภทบุคคลให้เป็นชายหญิงตามเพศวิถีที่เป็นเรื่องของธรรมชาติและเชื่อมโยงกับสรีระทางเพศเป็นสิ่งที่เรียกว่าเพศสภาพ
(Gender)ของความเป็นหญิงเป็นชายให้กับบุคคลและมีความคิดและพฤติกรรมไปตามเพศสภาพที่ถูกกำหนด
ประเด็นดังกล่าว
จึงนำไปสู่มุมมองที่ว่าเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงและเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของการสืบพันธุ์
การมีลูกและการผลิตสมาชิกให้กับสังคมเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติเป็นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ
ซึ่งแตกต่างจากรักต่างเพศที่เป็นภาวะธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติ
รวมทั้งกลุ่มคนที่มีเพศวิถีที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเป็นคนกลุ่มน้อยที่เบี่ยงเบนและจะต้องถูกลงโทษ
ถูกกีดกัน ถูกตีตรา เลือกปฏิบัติและถูกบขับออกจากสังคม
ดังนั้นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้นำไปสู่การสืบพันธุ์ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติ
ผิดธรรมชาติ
โดยเฉพาะการขายบริการทางเพศที่เป็นเรื่องของการซื้อขายบริการและเป็นเพศสัมพันธ์แบบพาณิชย์และใช้วิธีการควบคุมการเกิดจึงกลายเป็นเรื่องที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานของสังคม
รวมทั้งการขายบริการทางเพศระหว่างชายกับชายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าผิดปติและเบี่ยงเบนมากที่สุด
เพราะเป็นความสัมพันธ์ของการรักเพศเดียวกันและการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่สืบพันธุ์และถูกมองว่าผิดธรรมชาติ
เทคนิคกล่าวจึงเป็นการแบ่งแยกและจัดแบ่งในเรื่องของเพศวิถี
โดยการสร้างบรรทัดฐานและกรอบทางศีลธรรมทางสังคมมากำกับความถูกผิดและพฤติกรรมทางเพศที่เหมะสมเป็นไปตามความคาดหวังที่สังคมกำหนด
เพศวิถีตามลักษณะดังกล่าวจึงถูกควบคุมผ่านกรอบความคิดหลักหรือวาทกรรมกระแสหลักที่ได้สร้างความรู้เกี่ยวกับเพศวิถีให้กับผู้คนในสังคม
ในขณะเดียวกันผู้คนในสังคมบางกลุ่มก็พยายามต่อรองหรือต่อต้านวาทกรรมกระแสหลักโดยสร้างความรู้ย่อยๆ
วาทกรรมรองขึ้นมาเพื่อตอบโต้หรือแสดงตัวตนอัตลักษณ์ของพวกเขาในพื้นที่ทางสังคม
ความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับการเชื่อมโยงความคิดเรื่องของความรู้และอำนาจที่สัมพันธ์กับเรื่องเพศวิถี
ดังที่มิเชล ฟูโกเสนอว่า
การผลิตเพศวิถีก็สะท้อนให้เห็นบทบาทของอำนาจในแง่ที่ผู้คนต่างๆก็สามารถกำหนดเพศวิถีของตัวเองได้
แน่นอนว่าแนวความคิดดังกล่าวมีความสัมพันธ์โยงใยกับเรื่องของอำนาจ
การผลิตและการประกอบสร้างความรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องของเพศวิถี
โดยเฉพาะเพศวิถีในสังคมสมัยใหม่ที่สัมพันธ์กับผลกระทบอันเนื่องมาจากระบบทุนนิยมและกระแสการบริโภคนิยม
ที่ทำให้ความหมายหรือการนิยามความหมายเกี่ยวกับเพศและร่างกายของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นสินค้าเพิ่มมากขึ้น
(ยศ ,2548:22) โดยเฉพาะการทำร่างกายเป็นสินค้า
การผลิตสินค้าเกี่ยวกับร่างกาย และการเติบโตของเพศพาณิชย์และเซ็กส์ทัวร์
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในระบบทุนนิยม
ที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงชีวิตทางสังคมของมนุษย์
การเปลี่ยนแปลงของระบบทุนนิยมคือ การเปลี่ยนแปลงจากการสะสมทุน
มาสู่การกระจายทุนและจากการผลิตสู่การบริโภค (Week,1985:22)
วัฒนธรรมบริโภคในสังคมปัจจุบันสะท้อนผ่านสินค้าที่ไหลเวียนอยู่ในตลาดและในสังคม
และการแลกเปลี่ยนอย่างเสรี ทำให้ปัจเจกบุคคลมีอำนาจในตัวเอง
มีเหตุผลมีอิสระที่จะตัดสินใจและกระทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนา วัฒนธรรมบริโภคสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสินค้า ร่างกายของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสินค้า
และสะท้อนให้เห็นความหมายทางวัฒนธรรม
โครงสร้างของระบบสังคมที่มองร่างกายเป็นสินค้า
ร่างกายผู้หญิงภายใต้ระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่ ที่สัมพันธ์กับภาพลักษณ์ทางเพศที่ถูกสร้างขึ้นผ่านโฆษณาและสื่อสารมวลชนต่างๆ
ร่างกายของผู้หญิงเป็นที่ปรารถนาหรือต้องการของผู้ชายที่สามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายเป็นเงินและนำเงินนั้นกลับมาจับจ่ายซื้อสินค้าในกระแสบริโภคนิยมเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นความมีอิสระในการเลือกเพศวิถีหรือเพศสถานะของผู้ขายบริการในส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นทางเลือกและอิสระในเพศวิถีแบบที่ตัวเองเลือกแต่ในอีกด้านหนึ่งมันได้กลายวัตถุ
สินค้าและความแปลกใหม่ของอารมณ์และความสุขความหฤหรรษ์ทางเพศ เช่น
เซ็กส์ผ่านอินเตอร์เน็ต แคมฟร็อกซ์เซ็กส์โฟนเซ็กส์กับผู้ชาย หรือกระเทย หรือธุรกิจทิฟฟานีโชว์ที่กระตุ้นให้ชาวต่างชาติและผู้ชายทั่วไปสนใจ
Ladyboyหรือมีเซ็กส์กับผู้หญิงข้ามชาติ เป็นต้น
และสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาดและระบบทุนนิยมที่สะท้อนผ่านธุรกิจเซ็กส์ทัวร์และเพศเชิงพาณิชย์ที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น
การเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศวิถีมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของระบบทุนนิยม
เพศสัมพันธ์ที่เป็นหน้าที่ในแง่ของการสร้างครอบครัวและการผลิตสมาชิก
กลายเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ตามท้องตลาด ไม่ใช่แค่รูปแบบของการค้าประเวณี
แต่ยังมีความหลากหลายของการสร้างจินตนาการละความฝัน ผ่านหนังสือ อินเตอร์เน็ตแคมฟร็อก
ทีวี และภาพยนตร์
รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เรื่องเพศมีความหฤหรรษ์และมีหน้าที่เพื่อการสร้างความบันเทิงมากกว่าการผลิตสมาชิก
เพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน
ภายใต้เทคนิคหรือรูปแบบการคุมกำเนิดต่างๆ ทำให้เรื่องของเพศสัมพันธ์ได้กลายเป็นสินค้าของความพึงพอใจทางเพศ
ทำให้เพศวิถีเป็นมากกว่าพฤติกรรมตามธรรมชาติหรือสัญชาตญาณของมนุษย์แต่มีนัยของอำนาจ
การควบคุม การต่อสู้ ต่อรอง การแสดงตัวตน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว ชุมชน
สังคมและประเทศชาติเป็นต้น
การมองเพศวิถีในลักษณะดังกล่าวข้างต้นจึงมีคุณูปการที่สำคัญจากแนวคิดของมิเชล
ฟูโก ที่มองว่าเพศวิถีเป็นผลผลิตของการแบ่งประเภท การจัดระเบียบ การกำหนดกฏเกณฑ์
กติกา และการควบคุมกำกับเรื่องเพศ
ทั้งกระบวนการปกปิดและการไม่ถูกพูดถึงในเรื่องเพศต่างๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นการควบคุมทางเพศ
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจรูปแบบหนึ่ง
เพศสัมพันธ์หรือบทบาททางเพศแบบไหนที่เหมาะสมไม่เหมาะสม เพศวิถีแบบไหนถูกต้อง
ปลอดภัย เพศสัมพันธ์แบบไหนเป็นความเสี่ยงเป็นสิ่งสกปรกไม่พึงปรารถนาของสังคม
ทำให้เกิดการควบคุมร่างกายตัวเองให้สอดคล้องกับวาทกรรมที่กำหนดซึ่งสะท้อนให้เห็นกระบวนการของอำนาจในระดับจุลภาค
(Micro-power)ที่เข้ามาจัดการกับร่างกายของมนุษย์
เพศวิถีของผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ
จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องของความรู้และอำนาจ การต่อสู้ ต่อรอง
ที่สร้างตัวตนและเพศวิถีของผู้หญิงลาวเหล่านี้ทั้งที่เข้ามาโดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ
ภายใต้ความสัมพันธ์กับการเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาด ระบบทุนนิยม
โลกาภิวัฒน์ที่เชื่อมโยง ท้องถิ่นกับโลกภายใต้อุตสาหกรรมทางเพศ (Sex industries)การเป็นเหยื่อของการพัฒนาทางเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศและระหว่างประเทศ
การเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการค้ามนุษย์ ความต้องการโอกาสในการทำงาน
การรับผิดชอบต่อครอบครัวหรือความต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นต้น
ดังนั้นเพศวิถีของผู้หญิงขายบริการข้ามชาติลาวจึงสัมพันธ์กับจินตนาการ
ที่เชื่อมโยงร่างกายอัตลักษณ์ตัวตนของพวกพวกเธอเข้ากับระบบทุนนิยม
ความทันสมัยและการบริโภคนิยมเพื่อเติมเต็มความปรารถนาและความพึงพอใจของตัวเอง
ร่างกายของพวกเธอไม่เพียงแต่สัมพันธ์กับระบบโลก โลกาภิวัตน์ ระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมเท่านั้น
แต่ยังซ้อนทับกับความเป็นรัฐชาติระหว่างแผ่นดินที่กำเนิดกับแผ่นดินใหม่ที่อพยพเข้าไปด้วย
เช่น
ความมีอิสระเสรีในการตัดสินใจการใช้ชีวิตของตัวเอง
การจินตนาการถึงความเจริญความทันสมัยที่อยู่ห่างไกลจากสังคมแบบจารีตที่ตัวเองเคยอยู่ หรือความสุขสบายที่ดีกว่าความยากจนแร้นแค้น
รวมถึงเพศวิถีในแบบที่ตัวเองพึงพอใจ และทำหน้าที่หลากหลายไม่ผูกติดแค่การสืบพันธุ์หรือผลิตสมาชิกกับสังคม
แต่เป็นทั้งความพึงพอใจ ความสุข เป็นสินค้าแลกเปลี่ยน เป็นการซื้อขาย เป็นต้น
เพศวิถีดังกล่าวจึงเป็นปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กับกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้การข้ามพรมแดนของผู้หญิงเหล่านี้มีมากขึ้นและสะดวกรวดเร็วมากกว่าเดิม
โลกาภิวัตน์มีความสัมพันธ์กับพื้นที่และกระบวนการข้ามพรมแดน
ในแง่ที่โลกาภิวัฒน์ลดทอนความสำคัญของพื้นที่และขยายความสัมพันธ์ทางสังคมในมติทางภูมิศาสตร์
ซึ่งพรมแดนของภูมิศาสตร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ทางสังคมโลกาภิวัตน์
ซึ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หรือพรมแดนหดแคบลงภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่แผ่กว้างและรวดเร็ว
ความสำนึกร่วมของผู้คนในการเป็นส่วนหนึ่งของโลก
ผ่านการรับรู้เหตุการณ์อย่างรวดเร็วฉับพลันในทุกมุมโลกซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม ดังนั้นโลกาภิวัตน์จึงสัมพันธ์กับ
มิติของพื้นที่และเวลาที่หดแคบลงและรวดเร็วขึ้น ทั้งการเคลื่อนย้ายของทุน คน เงินตรา อุดมการณ์ เทคโนโลยีและสื่อ
รวมทั้งการขยายพื้นที่ของจินตนาการของผู้คน ที่เชื่อมโยง ท้องถิ่น
รัฐชาติและโลกเข้าด้วยกัน ที่สำคัญก็คือจินตนาการเหล่านี้กลายเป็นความจริงและปฏิบัติการทางสังคม
ที่สะท้อนผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวัน การต่อสู้ดิ้นรน
ความทุกข์ทรมานโดยเฉพาะของผู้คนที่ข้ามพรมแดน
การอพยพข้ามแดน
เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ของการแผ่ขยายของกระแสโลกาภิวัตน์
การข้ามพรมแดนทำให้เกิดการสลายไปของพรมแดนและบทบาทของรัฐชาติและรัฐชาติถูกแปรสภาพให้กลายเป็นกลจักรหนึ่งของการค้าของโลกยุคโลกาภิวัฒน์
(Michael Burawoy ,2001:148)
สิ่งที่น่าสนใจคือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กลายเป็นสังคมข้ามพรมแดน(Transnationalism)
เป็นพื้นที่ทางสังคมที่มีความหลากหลาย ทั้งตัวตนทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง
เศรษฐกิจและปฏิบัติการทางสังคมต่างๆ ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์กระบวนการเหล่านี้อาจเรียกว่า
เป็นปฏิบัติการข้ามพรมแดน
ที่สะท้อนให้เห็นการเคลื่อนย้าย อัตลักษณ์ตัวตน
การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินแม่กับประเทศที่อพยพเข้าไป
ประสบการณ์การข้ามพรมแดนของผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่น แรงงานข้ามชาติ ดังนั้น ตามแนวทางของ
Glick Schiller มองว่า
สังคมข้ามแดนเกิดภายใต้เงื่อนไขของระบบทุนนิยมและต้องถูกวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขบริบทความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงานในระดับโลก
รวมทั้งสังคมข้ามแดน เป็นกระบวนการที่ผู้อพยพสร้างสนามทางสังคมพาดผ่าน เชื่อมโยง
หรือตัดข้ามพรมแดนรัฐ-ชาติ ทั้งกิจกรมในชีวิตประจำวัน
กิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม
ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคนกับคน คนกับแนวคิด
คนกับสิ่งของและคนกับทุนและเน้นความสำคัญของมนุษย์ในฐานะผู้กระทำการ
ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติลาวจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกาภิวัตน์
ระบบทุนนิยม และกระแสบริโภคนิยมโดยการเดินทางข้ามพรมแดน
ในฐานะของแรงงานที่เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทย จากท้องถิ่นประเทศแม่ของตัวเอง
พร้อมกับจินตนาการเกี่ยวกับความทันสมัย ความเจริญก้าวหน้า
เพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทั้งของตัวเองและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง
โดยผนวกตัวเองเข้ากับระบบทุนนิยม การเปลี่ยนร่างกายให้เป็นสินค้าในฐานะของทุน
ที่เชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจเพศเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเซ็กส์ทัวร์
ในอีกด้านหนึ่งตัวตนของแม่หญิงแรงงานข้ามชาติลาวเหลานี้ยังผูกโยงกับอัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์
สถานภาพในแผ่นดินเกิดที่จากมา
ทั้งความเป็นแม่เป็นลูกสาวหรือเป็นภรรยาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในพรมแดนของประเทศปลายทางที่เป็นพื้นที่ที่แตกต่าง
และมีการซ้อนทับของอำนาจของรัฐชาติไทยที่เข้ามาจัดการและควบคุมแรงงานเหล่านี้ภายใต้กฏหมาย
เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย เป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง เป็นผู้ค้าประเวณี
เป็นอาชญากร เป็นต้น
พื้นที่พรมแดนเหล่านี้จึงเป็นพื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต
ประสบการณ์การข้ามแดน ความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน ทั้งจากความขัดแย้งจากภาวะความทันสมัย
ความไม่ลงรอยกันระหว่างอัตลักษณ์แบบจารีตกับอัตลักษณ์สมัยใหม่
การถูกควบคุมจากอำนาจทั้งอำนาจของจารีต กรอบศีลธรรมทางศาสนา อำนาจของกฎหมาย
กับการมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตหรือเพศวิถีในแบบที่ตัวเองปรารถนาในการเข้ามาสู่อาชีพขายบริการ
รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของพรมแดนทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ในสภาวะของการไร้พรมแดนในกระแสโลกาภิวัตน์
ทำให้การเดินทางระหว่างแผ่นดินต้นทางกับแผ่นดินปลายทางทำได้สะดวกรวดเร็วและง่ายมากขึ้น
ทั้งนโยบายของความเป็นอาเซียน
การค้าเสรีทำให้การเคลื่อนย้ายของผู้คนและทุนมีมากขึ้น
วิถีชีวิตของแม่ญิงลาวจึงไม่ได้ห่างไกลจากวิถีชีวิตแบบเดิมมากนัก
พวกเขาสามารถกลับบ้านในช่วงเทศกาลสำคัญ สงกรานต์ปีใหม่ เพื่อใช้ชีวิตกับครอบครัว
ชุมชนตามแบบจารีตในขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถกลับเข้ามาใช้ชีวิตตามแบบของความทันสมัย
ความมีอิสระเสรีในการใช้ชีวิต การทำงานโดยใช้เนื้อตัวร่างกายแลกเปลี่ยนกับเงินตราโดยไม่ต้องติดกับกรอบทางศีลธรรมหรือจารีต
ดังนั้นในการศึกษาประเด็นผู้หญิงลาวอพยพขายบริการ
ตัวตน ชีวิต ประสบการณ์ ในเรื่องเพศวิถี ความเจ็บป่วยและสุขภาพ
ผู้ศึกษาจึงเลือกใช้มุมมองของโพสต์โมเดิร์น แนวคิดเรื่องตัวตน วาทกรรมและเพศวิถี (Sexuality)ของมิเชล ฟูโก ที่สัมพันธ์กับกระแสโลกาภิวัตน์
(Globalization)และการข้ามพรมแดน (Transnational)ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติผู้หญิงลาวที่อพยพเคลื่อนย้ายมาขายบริการในประเทศไทยมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ศึกษาภายใต้เงื่อนไขปัจจัยต่างๆของการกลายเป็นผู้หญิงขายบริการและการเข้ามาในประเทศไทย
ทั้งอิทธิพลของระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่แผ่ขยายข้ามพรมแดนอย่างกว้างขวางเพื่อสะท้อนให้เห็นประสบการณ์
การใช้ชีวิตและการต่อสู้รวมทั้งความเจ็บป่วยจากการขายบริการในพื้นที่ข้ามแดน
รวมทั้งใช้แนวคิดของมิเชลฟูโก มาทำความเข้าใจความรู้และอำนาจที่ปรกอบสร้างตัวตนและร่างกายของแม่ญิงลาว
ผ่านชุดความรู้ทางประวัติศาสตร์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง
รวมถึงประเด็นเรื่องอัตตาและตัวตนที่มีอิสระในการเลือกและตัดสินใจในเพศวิถีของตัวเองที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตและความเจ็บป่วยทางสุขภาพ
อำนาจที่สัมพันธ์กับร่างกาย: การกลับมามองปัจเจกบุคคล ผ่านศึกษาเรื่องเพศวิถีและอัตตา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
อำนาจที่สัมพันธ์กับร่างกาย: การกลับมามองปัจเจกบุคคล
ผ่านศึกษาเรื่องเพศวิถีและอัตตา
ฟูโกเชื่อมโยงเรื่องของอำนาจเข้ากับร่างกาย
โดยเฉพาะอำนาจที่กระทำกับร่างกายในระดับจุลภาค (Micro-physic
of power หรือ Bio-power)
นอกเหนือจากการมองอำนาจในระดับมหภาคที่เป็นเรื่องของบทบาทของอำนาจในการครอบงำในโดยปัจเจกบุคคลและสถาบันทางสังคม
แต่อำนาจนั้นปฏิบัติการอยู่ทุกหนแห่งในสังคมรวมถึงร่างกายของมนุษย์ด้วย
ความคิดดังกล่าวปรากฏในงานของมิเชลฟูโก ในเรื่อง Discipline and punishment
ในเรื่องของร่างกายที่ว่านอนสอนง่าย (Docile Body)
ที่พยายามโต้แย้งความคิดว่าคนเราสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้
แต่จริงๆแล้วร่างกายของคนเราอาจจะถูกควบคุมโดยไม่รู้ตัวด้วยภายใต้การยอมรับความรู้
ความจริงของวาทกรรมชุดใดชุดหนึ่ง จนตกยู่ภายใต้อำนาจของวาทกรรมชุดนั้น ดังเช่น
วาทกรรมว่าด้วยร่างกายเป็นสินค้าในระบบทุนนิยม ทำให้มนุษย์เชื่อว่า
ร่างกายของตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของทุนหรือระบบเศรษฐกิจ ที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดได้
ดังนั้นร่างกายดังกล่าวต้องยอมสยบยอมต่ออำนาจทุนและอำนาจเงิน
กลายเป็นร่างกายที่ว่านอนสอนง่ายและร่างกายที่ตกอยู่ภายใต้บงการของระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่
ที่การขายเรือนร่างของผู้หญิงกลายเป็นสินค้าและการเคลื่อนตัวจากความเป็นโสเภณี(Prostitute)เข้าสู่การเป็นผู้ประกอบอาชีพการขายบริการทางเพศ (Sex worker)
ดังนั้นกระบวนการกลายเป็นร่างกายใต้บงการ
จึงเป็นการยอมรับความรู้
ความจริงจากวาทกรรมชุดต่างๆที่ได้สร้างความคิดและความหมายเกี่ยวกับร่างกายตัวเองของมนุษย์
และกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายจิตใจของตัวเอง
ซึ่งสะท้อนให้เห็นความซับซ้อนของวาทกรรมชุดต่างๆที่เข้ามาประกอบสร้าง
ผ่านเทคนิควิทยาการของวาทกรรม
ที่ทำให้วาทกรรมต่างๆสามารถประสานสอดคล้องกันเพื่อเป้าหมายบางอย่างและนำไปสู่ปฏิบัติการของวาทกรรมและการจัดการกับร่างกายและตัวตนของตัวเอง
เช่น วาทกรรมที่เกี่ยวกับการขายเรือนร่างให้เป็นสินค้าในระบบทุนนิยม
เมื่อมองผ่านร่างกายของผู้หญิงแรงงานข้ามชาติลาว ก็จะเห็นชุดของวาทกรรมหรือความรู้
ความจริงชุดต่างๆที่ซ้อนทับกันอยู่ เช่น วาทกรรมว่าด้วยความกตัญญู
วาทกรรมว่าด้วยความเป็นลูกสาว
วาทกรรมว่าด้วยความเป็นผู้หญิง วาทกรรมว่าด้วยการพัฒนาและความยากจน
วาทกรรมว่าด้วยทุนนิยม การเป็นส่วนหนึ่งของระบบทุนนิยม ร่างกายคือแรงงาน
คือสิ่งที่สามารถสร้างมูลค่าในระบบตลาด
ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ก้าวเข้ามาสู่อาชีพขายบริการ
งานในช่วงนี้ของฟูโกจึงสะท้อนให้เห็นความคิดของเขาที่มองว่า อำนาจไม่ใช่สมบัติที่ใครสามารถจะผูกขาดเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวได้
แต่อำนาจอยู่ในสายสัมพันธ์ที่สามารถสถาปนาความรู้ ความจริง ตำแหน่งแห่งที่
ปฎิบัติการที่ควบคุมหรือมีอิทธิพลเหนือชีวิตประจำวันของผู้คนที่กระทำผ่านเทคนิคของอำนาจ
(Technology of power) ที่กระทำผ่านร่างกายของมนุษย์ในฐานะของผู้ถูกกระทำ
งานในช่วงต่อมาของมิเชลฟูโก
เริ่มหันมามองสิ่งที่เรียกว่า การปกครองทางชีวญาณ (Govermentality)พร้อมกับการเติบโตของรัฐสมัยใหม่
ที่ไม่ใช่รูปแบบการปกครองโดยใช้กำลังหรืออำนาจบีบบังคับดังเช่นในอดีต
ซึ่งเป็นการใช้อำนาจผ่านสถาบันภายนอกตัวคน แต่ในปัจจุบันอำนาจบังคับดังกล่าวทำงาอยู่ภายในตัวคน
การปกครองที่ทำงานด้วยตัวเอง ผ่านความจริง ความรู้ที่มนุษย์ยอมรับโดยชอบธรรม
ซึ่งแสดงให้เห็นการพยายามแยกความคิดออกจากเรื่องของโครงสร้างและสถาบันและหันกลับมาสู่การให้ความสนใจกับระบอบของความรู้ความจริงกับตัวของอัตบุคคลมากขึ้น
ดังนั้นในแง่มุมนี้ของฟูโก เขายายามที่จะชี้ให้เห็นว่า
อำนาจไม่ได้สมบูรณ์แต่มีความขัดแย้งอยู่ด้วย
มันมีการต่อต้านต่อรองขัดขืนตลอดเวลา
ตัวตนของมนุษย์ไม่ได้ถูกควบคุมกำกับเพียงอย่างเดียว แต่ตัวตนของมนุษย์ยังสามารถสร้างตัวตนของตัวเองแบบใหม่ขึ้นมาได้ด้วยซึ่งตัวตนดังกล่าวที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้ถูกควบคุมกำกับ
ซึ่งฟูโกยเรียกว่า การเป็นนายตัวเอง (Self Mastery) ดังเช่น
อัตลักษณ์และเพศวิถีที่สัมพันธ์กับการนิยามตัวตนของตัวเอง
ซึ่งการเป็นนายตัวเองปรากฏผ่านอัตลักษณ์และเพศวิถีที่ปฏิบัติ ดังเช่น การเข้ามาสู่อาชีพการขายบริการทางเพศของผู้หญิงลาว
อาจจะเป็นการพยายามบอกว่า เขาเลือกที่จะทำอาชีพแบบนี้
ซึ่งคนอาจมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ ไม่สอดคล้องกับศีลธรรมและจริยธรรมของสังคม
พวกเขาไม่ได้ถูกครอบงำด้วยกระแสบริโภคนิยมหรือทุนนิยมแต่พวกเขาสามารถที่จะดำรงตัวตนอยู่ได้โดยไม่ถูกกำกับหรือบังคับอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์แบบ
การขายร่างกายของพวกเขาจึงอาจจะไม่ใช่การเปลี่ยนให้เป็นสินค้า
แต่เป็นสุนทรียะของการดำรงชีวิต
เป็นศิลปะหรือกลยุทธ์ของการใช้ชีวิตการเอาตัวรอดในสังคมแบบทุนนิยมในโลกยุคปัจจุบัน
อาจสรุปได้ว่าฟูโกได้มีการเคลื่อนตัวหรือเปลี่ยนแปลงทางความคิด
จากรากฐานการหาความรู้จากวิธีการโบราณคดีของความรู้ (Archaeology of knowledge)มาสู่สาแหรกหรือวงศาวิทยาของความรู้
(Genealogy) ที่เชื่อมโยงความรู้กับเรื่องของอำนาจ
แล้วสุดท้ายเขาก็กลับมาสู่เรื่องของการต่อต้านขัดขืน และเทคโนโลยีของการสร้างตัวตน
รวมทั้งการวิเคราะห์ความเป็นซับเจ็คหรือตัวตน
ไม่ใช่ตัวตนในฐานะพื้นที่ของปฏิบัติการของการกระทำและกรรมเท่านั้น
แต่ยังเป็นตัวตนที่มีอิสระ ตัวตนที่เป็นนายตัวเอง (mastery)โดยเฉพาะในเรื่องของเพศวิถี
ดังที่ฟูโกบอกว่า เราไม่สามารถปฏิเสธ ประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัย
เพื่อทำความเข้าใจว่า
ในยุคสมัยต่างๆมนุษย์ถูกประกอบสร้างและประกอบสร้างตัวเองอย่างไร
รวมทั้งการปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการ
ดังนั้นวาทกรรม
ความรู้และอำนาจจึงเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดตัวตนหรือซับเจ็ค
ในการศึกษาประเด็นเรื่องแม่ญิงลาวที่เข้ามาขายบริการทางเพศในประเทศไทยจึงต้องทำความเข้าใจกระบวนการการประกอบสร้างให้เกิดตัวตนของผู้หญิงขายบริการข้ามแดนชาวลาว
ที่เชื่อมโยงกับวาทกรรมและความรู้ที่ซ้อนทับระหว่างตัวตนทางชาติพันธุ์ความเป็นคนลาว
ความเป็นคนกลุ่มชาติพันธุ์ในลาว ตัวตนของความเป็นผู้หญิง เป็นแม่หรือเป็นลูกสาว
ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับบริบททางประวัติศาสตร์
ในเชิงพื้นที่และเวลาที่ก่อให้เกิดการปรากฏของความรู้และวาทกรรมที่เกี่ยวกับผู้หญิงและนำไปสู่ปฎิบัติการทางอำนาจที่เข้ามาจัดการกับตัวตนบทบาทหน้าที่ของความเป็นผู้หญิงลาว
ในยุคสมัยต่างๆที่สร้างระบอบของความจริง เช่น ในก่อนยุคสังคมนิยม
ยุคสังคมนิยมและยุคประชาธิปไตย
รวมทั้งวาทกรรมการพัฒนาชุดต่างๆที่เข้ามาประกอบสร้าง
จัดวางตำแหน่งแห่งที่ให้กับผู้ชาย ผู้หญิง ผู้หญิงลาวในเมือง ผู้หญิงลาวในชนบท
ผู้หญิงลาวมีการศึกษา
ผู้หญิงลาวไร้การศึกษาหรือแม้กระทั่งผู้หญิงชาติพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในสังคมลาว
รวมทั้งเชื่อมโยงกับกระบวนการข้ามพรมแดนในกระแสโลกาภิวัตน์
ระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่ประกอบสร้างความเป็นผู้หญิงลาวแบบจารีต
กับผู้หญิงลาวสมัยใหม่อันนำไปสู่การตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจขายบริการทางเพศและการมีเพศวิถีในรูปแบบของตัวเอง
โพสต์โมเดิร์น(Postmodern approach) กับการศึกษาประเด็นว่าด้วยผู้หญิงและการขายบริการทางเพศ (Sex workers) โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล
โพสต์โมเดิร์น(Postmodern approach) กับการศึกษาประเด็นว่าด้วยผู้หญิงและการขายบริการทางเพศ
(Sex workers)
วิธีคิดแบบโพสต์โมเดิร์นในการมองอัตลักษณ์
ตัวตนของผู้หญิงลาวอพยพที่เข้ามาขายบริการ ต้องทำความเข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นถูกประกอบสร้างขึ้นอย่างหลากหลาย
ที่สัมพันธ์กับประสบการณ์ของชีวิต การนำเสนอตัวตนหรือการเปิดเผยความจริงบางส่วนรวมทั้งความจริงที่ไม่ปรากฏหรือไม่เปิดเผย
ที่อยู่ภายใต้การครอบงำของความรู้ อำนาจและวาทกรรมชุดต่างๆที่ไหลเวียนอยู่ในสังคม วาทกรรมเหล่านี้จะถูกประกอบสร้าง
ถูกให้ความหมายและถูกตีความอย่างแตกต่างหลากหลายในบริบททางประวัติศาสตร์
การเมืองและสังคมและสะท้อนผ่านทางภาษา ดังนั้นแนวความคิดแบบโพสต์โมเดิร์นจึงต้องถอดรื้อ
(Deconstruction) วิพากษ์ (Critical) ตัวบท (Text)ภาษา(Language/Dialogue)และวาทกรรม (Discourse)ที่ผลิตความรู้และอำนาจ
ซึ่งกดทับ ปิดปังซ่อนเร้นตัวตนของผู้หญิงเหล่านี้
กระแสแนวคิดสตรีนิยมแบบโมเดิร์น
ให้คำอธิบายว่าทำไมผู้หญิงต้องถูกกดทับ ขูดรีด
มองความสัมพันธ์ของเพศสภาพที่ค่อนข้างมั่นคงซึ่งมองแบบวัตถุวิสัย (Objectivity) สตรีนิยมแบบโพสต์โมเดิร์น
มองความเป็นอัตวิสัย (Subjectivity) ที่ความสัมพันธ์ของเพศสภาพเกี่ยวข้องกับความรู้
อำนาจและการปฏิบัติที่มีความเลื่อนไหล ซับซ้อน ขัดแย้งหรือย้อนแย้งกัน
ตัวตนของ Sex Worker จึงมีสถานะของการเป็นทั้งการเป็นผู้กระทำและถูกกระทำไปพร้อมกัน
ดังเช่นการมอง Sex worker เช่นเดียวกับ ผู้กระทำการ (Agency) ซึ่งเป็นผลลัพธ์และทางเลือกภายใต้การครอบงำของระบบเศรษฐกิจ
การแสวงหาความมั่นคงให้กับตัวเองและครอบครัวผ่านการขายเรือนร่างในระบบตลาดและอุตสาหกรรมการขายบริการที่ทำให้ทุกอย่างเป็นสินค้า
มีมูลค่ามีราคาสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
และมีความหมายที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันภายใต้ปฏิสัมพันธ์ของตัวตนของSex
Worker กับระบบตลาด ระบบทุนนิยมและผู้ซื้อบริการที่มีความต้องการ ที่สร้างความหมายต่อการเป็น
Sex worker คือคนที่ให้บริการทางเพศ (Sexual Services) กับผู้บริโภค (Consumer) อีกทั้ง Sex
worker รวมถึงกลุ่มคนที่ถูกว่าจ้างในเรื่องทางเพศทั้งนักแสดงหนังโป๊
นักระบำเปลื้องผ้า ผู้ให้บริการเซ็กส์โฟนและโสเภณี (Dank,1999)
โดยในประเด้็นที่ผู้เขียนสนใจ คือการใช้คำว่า
Sex Worker ให้เฉพาะเจาะจงลงไปโดยอ้างถึงผู้หญิงผู้ซึ่งมีส่วนร่วมในการติดต่อเกี่ยวข้องกับเรื่องของเพศสัมพันธ์ในรูปแบบของการซื้อขาย(ให้ค่าจ้างตอบแทน)
รวมทั้งSex worker คือ
ผู้หญิงผู้ซึ่งเลือก(Chosses) ที่จะขายบริการทางเพศ (Sell
Sexual Services)กับผู้ชายอย่างฉับพลันทันทีและแลกเปลี่ยนกับเงินโดยตรง
หรือยาเสพติด อาหารหรือสิ่งของในการดำรงชีพอื่นๆ
การสร้างทางเลือกที่วางอยู่บนพื้นฐานทางเศรษฐกิจและสังคมที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจ
Agency ซึ่งหมายถึง
การใช้ทางเลือกภายใต้ตำแหน่งที่อยู่ต่ำกว่า (Subordinate position) ผู้หญิงมีทางเลือกในเรื่องของอาชีพ Sex workerจึงมีลักษณะของ
Agency เพราะว่าพวกเธอเลือกหรือสมัครใจที่จะทำอาชีพนี้ ที่ทำให้ผู้หญิงเลือกอาชีพ
sex work บนพื้นฐานของเหตุผลที่หลากหลายของสภาวการณ์
ความพึงพอใจ เงื่อนไขข้อจำกัดและสภาพแวดล้อมของแต่ละปัจเจกบุคคล
ผู้หญิงเหล่านี้มีประสบการณ์ที่หลากหลายทั้งประสบการณ์ชีวิตความเป็นแม่
ลูกสาว ภรรยา การเข้าสู่การเป็น Sex worker รวมถึงประสบการณ์ทางด้านสุขภาพและความเจ็บป่วยที่สัมพันธ์กับการขายบริการทางเพศ
แม้กระทั่งความเจ็บป่วยดังกล่าวยังสัมพันธ์กับเรื่องของระบบสุขภาพ นโยบายสุขภาพที่ทำให้พวกเขากลายเป็นคนป่วย
หรือร่างกายที่เจ็บป่วย เชื้อโรคที่ต้องควบคุมป้องกัน
วาทกรรมแบบโพสต์โมเดิร์น (Postmodern discourse)
แนวความคิดแบบโพสต์โมเดิร์น
คือความพยายามถอดรื้อ ตั้งคำถาม สงสัย เกี่ยวกับความเชื่อ ที่สัมพันธ์กับความจริง
ความรู้ อำนาจ ตัวตน (The Self) และภาษา โดยเฉพาะสิ่งที่เป็น
Representation ที่อ้างว่าสะท้อนความจริง โดยเฉพาะเสียงจากผู้มีอำนาจที่ผูกขาดความรู้ความจริง
เช่น เสียงของแพทย์ที่ยืนยันอยู่บนหลักการทางวิทยาศาสตร์
เสียงของราชการหรือรัฐที่ผูกโยงกับเรื่องของกฎหมาย การเมือง ความมั่นคง เสียงของนักเศรษฐศาสตร์ที่อ้างถึงระบบตลาดและระบบทุนนิยมที่ครอบงำ
และเสียงที่กดทับอื่นๆ
โดยการเปิดพื้นที่ให้เสียงเล็กเสียงน้อยได้เล็ดลอดและเปิดเผยตัวตนออกมา
เช่นเสียงของผู้หญิง เสียงของคนชายขอบ เสียงของคนดำ เสียงของผู้ถูกกดขี่ เป็นต้น
เสียงของผู้ขายบริการ (Voice of the sex worker)
การสร้างวาทกรรมทางเลือกที่สะท้อนหรือสร้างความหมายที่นำไปสู่การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของภาษา
ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียน ซึ่งแนวคิดแบบโมเดิร์น
ที่มีวิธีคิดแบบคู่ตรงกันข้ามที่แยกอย่างชัดเจนระหว่างความสูงความต่ำ ความดำความขาว
ความดีและความเลว
จนไม่มีพื้นที่ตรงกลางหรือพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่างคู่ตรงกันข้ามดังกล่าว
หรือลักษณะที่เป็นทั้งสองขั้วรวมกัน ในขณะที่วิธีคิดแบบโพสต์โมเดิร์นเป็นการมองพ้นไปจากคู่ตรงกันข้ามดังกล่าว
เช่น คู่ตรงกันข้ามระหว่างตัวเอง (Self ) กับคนอื่น (Other) ที่จัดวางผู้หญิงให้กลายเป็นอื่นกับผู้ชายและสร้างอัตลักษณ์ของผู้หญิงที่ค่อนข้างมั่นคงแข็งตัวไม่ยืดหยุ่น
เช่นความเป็นผู้หญิง, Heterosexual หรือ
ถูกกดทับ รวมถึงมุมมองว่าผู้หญิงอ่อนแอและพาหะนำโรค ดังนั้นวิธีคิดแบบโพสต์โมเดิร์นต้องการถอดรื้อ
ความหมายที่สร้างความเป็นอื่นเหล่านี้
เปิดเผยความซับซ้อนที่คนมองไม่เห็นหรือเสียงที่ไม่เคยได้ยิน ดังนั้นวาทกรรมทางเลือก
การสร้างความหมายที่หลากหลายผ่านภาษา ตัวอย่างเช่น งานของ Laurie Bell (1987) ที่มองกระบวนการกลายเป็นชายขอบของ
Sex worker และ Prostitute ในการสร้างชุดของคู่ตรงกันข้ามหรือความเป็นอื่น
ในความเป็นผู้หญิงเลวซึ่งเป็นคู่ตรงกันข้ามของวาทกรรมผู้หญิงดีและผู้หญิงเลว
(การแบ่งแยกความคิดเรื่อง Self กับ Other)
การประกอบสร้างความหมายของความเป็นผู้หญิงดีและผู้หญิงเลวที่เกี่ยวข้องกับบริบท
เช่น ความเป็นผู้หญิง แม่และภรรยาของเธอที่บ้าน ที่ใช้ชีวิตกับลูกและสามี
ในความสัมพันธ์แบบผัวเดียวเมียเดียว
กับการกลายเป็นผู้หญิงเลวหรือการเป็นอื่นซึ่งเกิดจากความสัมพันธ์แบบขายบริการทางเพศกับผู้ชายแปลกหน้ามากมาย
การถูกครอบงำด้วยวาทกรรมทางศีลธรรมและข้อปฏิบัติของเพศวิถี ภายใต้การหันเหเบี่ยงเบนทางเพศวิถี
การเคลื่อนย้ายความหมายของผู้หญิงไปยัง
sex work กับ การค้ามนุษย์ผู้หญิงไปยัง prostitution
ของผู้หญิงประเทศกำลังพัฒนาที่สะท้อนให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า Agency
และ Victimatization ซึ่งทำให้เห็นความซับซ้อนที่มากกว่าการมองภายใต้ความคิดแบบโมเดิร์นที่มองเรื่องดังกล่าวว่าเป็นผลมาจากระบบทุนนิยมที่ผู้ชายเป็นผู้ครอบงำ
โดยมองความเป็น subjectivity
ที่สามารถปรับเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของทั้ง sex worker และ prostitutes
ที่เลื่อนไหลมากกว่าที่จะคงที่ตายตัว
การวิเคราะห์ผู้หญิงที่เคลื่อนย้ายหรืออพยพจากลาวไปยังประเทศไทยเพื่อมาเป็น
sex work โดยมองจากจุดยืนแบบPostmodernและตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างอำนาจที่สนับสนุนค้ำจุน
ความรู้ที่ประกอบสร้างความจริงของสิ่งเหล่านี้และความหมายที่ผลิตออกมา
งานเขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ของSex worker ที่เน้นย้ำอยู่บนพื้นฐานและอัตลักษณ์ความเป็น
sex worker มากกว่าที่จะมองว่าพวกเธอเป็นผู้หญิง แม่ ลูกสาว
พี่สาว น้องสาว พลเมืองและแรงงานอพยพที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย แนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์น
เปิดพื้นที่ให้กับอัตลักษณ์ที่เลื่อนไหลหลากหลายของผู้หญิงกลุ่มนี้รวมถึงเพศวิถีที่หลากหลายด้วย
รวมทั้งการสร้างและสะสมทุนผ่านร่างกายในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่ทำให้เข้าใจการประกอบสร้างความเป็นหญิงขายบริการที่หลากหลาย
งานเขียนที่เกี่ยวข้องกับการสรุปเหมารวมและการมองประเด็นเรื่องโสเภณีกับการค้ามนุษย์
ได้ถอดหรือเปลื้องความเป็นผู้กระทำการ(Agency)ของผู้หญิงเหล่านี้ออกไป ดังนั้นเราต้องกลับมาฟังเสียงของผู้หญิงเหล่านี้ที่หลากหลาย
(Multi voice มากกว่า Single Voice) ผ่านการสะท้อนประสบการณ์ของพวกเธอเอง
ตัวอย่างเช่น
เสียงของผู้หญิงและSex worker ในประเทศที่พัฒนาแล้ว
ประเทศกำลังพัฒนา เสียงของผู้หญิงผิวดำ ผิวขาว เสียงของผู้หญิงกลุ่มชาติพันธุ์
เสียงของผู้หญิงแรงงานอพยพลาว กัมพูชา พม่า
เสียงของผู้หญิงแรงงานอพยพที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย
ผู้หญิงที่สมัครใจขายและถูกบังคับให้ขาย ซึ่งเป็นเสียงของความพึงพอใจและความเจ็บปวด
(Pleasure and pain) ดังเช่นเสียงของsex workers อาจจะสะท้อนความระทมจากการถูกกดทับภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
โครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง เสียงของ sex workers อาจสะท้อนความต้องการ
ความปรารถนา
ความพึงพอใจที่บ่อยครั้งมักจะไม่ปรากฏในทฤษฎีหรือชุดของวาทกรรมที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาผู้หญิงเหล่านี้
รวมทั้งเสียงของ sex worker เปิดเผยประสบการณ์ อารมณ์
ความรู้สึก ตัวตน ร่างกายและความจริงของพวกเขา
งานศึกษาเกี่ยวกับผู้หญิงขายบริการส่วนใหญ่จะเน้นเปรียบเทียบSex workerในประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศโลกที่สาม
แต่ในความเป็นจริงระหว่างประเทศโลกที่สามหรือประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันก็มีความแตกต่าง
เช่น Sex worker ลาว พม่า กัมพูชา กับ
ไทยที่มีสถานะที่ไม่เท่าเทียมกันก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...
-
(1) อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศต...
-
เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในป...
-
วัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนแบบกูล่าริง ( Kula ring ) ภาพ แผนที่ของหมูาเเกาะโทรเบียนและชุมชนที่อยู่รอบเกาะ ...