ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนะนำหนังสือแนวDeep Ecology

หนังสือแนวพวก Deep Ecology ที่เชื่อมโยงธรรมชาติ สิ่งเหนือธรรมชาติ ผู้คน สัตว์ และป่า มักเน้นการเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและจิตวิญญาณ รวมถึงการยอมรับความสำคัญของธรรมชาติในชีวิตองมนุษย์ มีหนังสือหลายเล่มที่เคยอ่านในช่วงที่ทำวิจัยเกี่ยวกับชุมชนกะเหรี่ยงลัทธิเจ้าวัด ในจังหวัดอุทัยธานี อาทิเช่น 1. หนังสือ The Hidden Life of Trees: What They Feel, How They Communicate – Discoveries from a Secret Worldโดย Peter Wohlleben หนังสือเล่มนี้สำรวจโลกของต้นไม้และแสดงให้เห็นว่าต้นไม้มีความสัมพันธ์ทางสังคมและสามารถสื่อสารกันได้ Wohlleben ใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อเปิดเผยการเชื่อมโยงระหว่างต้นไม้และระบบนิเวศ 2. หนังสือ Braiding Sweetgrass: Indigenous Wisdom, Scientific Knowledge and the Teachings of Plants โดย Robin Wall Kimmerer หนังสือเล่มนี้ผสมผสานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และภูมิปัญญาของชนพื้นเมืองอเมริกันเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ Kimmerer แสดงให้เห็นว่าการรับรู้และเคารพธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรักษาสมดุลของโลก 3. หนังสือ The Spell of the Sensuous: Perception and Language in a More-Than-Human World โดย David Abram Abram สำรวจว่าภาษาและการรับรู้ของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นอย่างไรในบริบทของธรรมชาติ หนังสือเล่มนี้เน้นการเชื่อมโยงระหว่างประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสกับโลกธรรมชาติ และวิธีที่มนุษย์สามารถฟื้นฟูความสัมพันธ์กับธรรมชาติ 4. Earth in Mind: On Education, Environment, and the Human Prospect โดย David W. Orr Orr เน้นความสำคัญของการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ เขาเสนอว่าการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความเข้าใจและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม 5. หนังสือ The Sacred Balance: Rediscovering Our Place in Nature โดย David Suzuki Suzuki เน้นถึงความสำคัญของการรักษาสมดุลระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ โดยใช้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดทางจิตวิญญาณเพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศและต้องทำงานร่วมกับธรรมชาติ 6. Nature and the Human Soul: Cultivating Wholeness and Community in a Fragmented World โดย Bill Plotkin โดย Plotkin นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณที่เชื่อมโยงกับธรรมชาติ และเสนอว่าเราควรพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับธรรมชาติและชุมชนเพื่อสร้างความสมดุลในชีวิต 7. Deep Ecology: Living as if Nature Mattered โดย Bill Devall และ George Sessions หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญในแนวคิด Deep Ecology ซึ่งเสนอให้มนุษย์มองโลกและธรรมชาติด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งและเคารพธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญกับการมีชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติและการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม 9. The Web of Life: A New Scientific Understanding of Living Systems โดย Fritjof Capra Capra นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศและการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งมีชีวิตทั้งหมด โดยเน้นถึงความสำคัญของการเข้าใจโลกในแบบที่เชื่อมโยงและเป็นองค์รวม หนังสือเล่มนี้เชื่อมโยงแนวคิดทางวิทยาศาสตร์กับการรับรู้ถึงความสำคัญของธรรมชาติ 10 . Supernature: The Natural History of the Supernatural โดย Lyall Watson Watson สำรวจปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ยังไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ และเสนอว่ามีโลกของธรรมชาติที่มีความลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าที่เราเข้าใจ หนังสือเล่มนี้เชื่อมโยงความคิดทางวิทยาศาสตร์กับความลึกลับของธรรมชาติ 11. หนังสือ Animism: Respecting the Living World โดย Graham Harvey โดย Harvey สำรวจแนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการนับถือธรรมชาติและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณ หนังสือเล่มนี้นำเสนอกรณีศึกษาและตัวอย่างจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก 12 . หนังสือ Shamanism, Colonialism, and the Wild Man: A Study in Terror and Healing โดย Michael Taussig โดย Taussig สำรวจการปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมพื้นเมืองและอาณานิคม และวิธีที่การรักษาทางจิตวิญญาณและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติมีบทบาทในการรักษาและสร้างความสมดุล 13 . Sacred Ecology โดย Fikret Berkes Berkes สำรวจแนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับการอนุรักษ์และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ โดยเน้นการศึกษาความรู้พื้นบ้านและการจัดการทรัพยากรในวัฒนธรรมต่างๆ หนังสือเหล่านี้นำเสนอการสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติในมุมมองทางมานุษยวิทยาและจิตวิญญาณ โดยเน้นการเคารพธรรมชาติและการรักษาสมดุลในชีวิต หนังสือที่ผมหยิบยกมาคือ Animism: Respecting the Living World โดย Graham Harvey เป็นหนังสือที่สำรวจและนำเสนอแนวคิดเรื่องอะนิเมติสม์ (Animism) ในบริบทที่กว้างขึ้นและร่วมสมัย สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้มีดังนี้ การให้นิยามของคำว่า Animism โดย Harvey เสนอว่าความเชื่ออะนิเมติสม์เป็นมากกว่าความเชื่อว่า "ทุกสิ่งมีวิญญาณ" เขามองว่า Animism คือการรับรู้และยอมรับว่าทุกสิ่งในโลกธรรมชาติเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กันได้ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้, แม่น้ำ, ภูเขา หรือสัตว์ เป็นต้น Harvey เสนอให้เรามอง Animism เป็นแนวคิดที่ไม่เพียงแต่การเชื่อว่าทุกสิ่งมีวิญญาณ แต่ยังเป็นการเข้าใจว่าทุกสิ่งในธรรมชาติมีความสำคัญและมีสิ่งมีชีวิตที่สามารถสื่อสารและมีปฏิสัมพันธ์กันได้ หนังสือเน้นการสร้างความเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ความสัมพันธ์และการเคารพธรรมชาติในระดับที่ลึกซึ้ง อะนิเมติสม์ไม่ได้มองธรรมชาติเป็นเพียงทรัพยากรที่ใช้ได้ตามต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ควรเคารพและปฏิบัติต่ออย่างระมัดระวัง Harvey ใช้กรณีศึกษาและตัวอย่างจากชนเผ่าพื้นเมืองและวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อแสดงให้เห็นถึงวิธีที่อะนิเมติสม์ถูกปฏิบัติและสื่อสารในแต่ละบริบทวัฒนธรรม หนังสือเน้นถึงความสำคัญของการสื่อสารและ ปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติและปฏิสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิต อื่นๆในลักษณะที่เคารพและฟังเสียงของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม, การกล่าวคำขอบคุณ, หรือการทำสมาธิ ในประเด็นเรื่องผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม โดย Harvey อธิบายว่าการยอมรับและปฏิบัติตามแนวคิดอะนิเมติสม์สามารถนำไปสู่การปฏิบัติที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การเคารพธรรมชาติเป็นการสร้างความสมดุลและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน ความน่าสนใจคือ การทบทวนแนวคิดทางมานุษยวิทยา Harvey สำรวจการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงในแนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับอะนิเมติสม์ และวิธีที่มุมมองร่วมสมัยสามารถช่วยให้เราเข้าใจและเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้ดีขึ้น เขาได้เสนอแนวคิดเรื่องเพื่อนร่วมโลก คำว่า "เพื่อนร่วมโลก" ในงานของ Graham Harvey ใช้คำว่า "Companion Species“ ซึ่ง Harvey ใช้แนวคิดเรื่อง "เพื่อนร่วมโลก" เพื่อเน้นว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ไม่ได้แยกออกจากกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนโลกเดียวกัน การปฏิบัติต่อธรรมชาติด้วยความเคารพและความรับผิดชอบเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาสมดุลของโลก สาระสำคัญของหนังสือ Animism: Respecting the Living World คือการเรียกร้องให้เรามองโลกธรรมชาติด้วยมุมมองที่ลึกซึ้งและเคารพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในฐานะที่เป็นเพื่อนร่วมโลก และสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับธรรมชาติในลักษณะที่รับผิดชอบและยั่งยืน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ใช้ในหนังสือ "Animism: Respecting the Living World" โดย Graham Harvey ประกอบด้วย 1. การเคารพป่าไม้เป็นวิญญาณ โดย Harvey เน้นการให้ความสำคัญกับการเคารพป่าไม้เป็นองค์ประกอบที่มีชีวิตและสื่อสารกับมนุษย์ ในภาพเชิงรูปธรรมนี้ป่าไม้ถูกมองเป็นบุคคลที่มีคุณค่าและความสำคัญต่อชีวิตของโลก Harvey อธิบายถึงภูมิปัญญาที่เชื่อว่าป่าไม้เป็นบริวารสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลก การแสดงในรูปธรรมนี้อาจประกอบด้วยภาพวาดหรือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงป่าไม้เป็นผู้มีชีวิตที่สำคัญที่ต้องรักษาและเคารพ 2. สัตว์เป็นผู้มีวิญญาณ ซึ่ง Harvey เสนอถึงการสัมผัสและการสื่อสารกับสัตว์ในฐานะที่มีวิญญาณ การตั้งชื่อและการปฏิบัติต่อสัตว์เหล่านี้เป็นตัวอย่างของเชิงรูปธรรมที่เน้นการเคารพและเชื่อในความสามารถของพวกเขา ในภาพเชิงรูปธรรมนี้อาจมีการเล่าเรื่องราวหรือสิ่งที่แสดงถึงความเชื่อในวิญญาณของสัตว์และความสำคัญของการเชื่อมโยงกับพวกเขา อาจมีภาพของคนที่ตั้งชื่อสัตว์หรือตัวแทนของสัตว์ในการทำพิธีกรรม 3. พิธีกรรมเชิงศาสนา การเรียกร้องในพิธีกรรมและการเชื่อมโยงกับตำนานทางศาสนาเป็นตัวอย่างของภาพเชิงรูปธรรมที่แสดงถึงความเชื่อในความเชื่อในการสื่อสารกับโลกธรรมชาติและวิญญาณที่อยู่รอบตัว ภาพเชิงรูปธรรมนี้อาจแสดงถึงการเชื่อมโยงกับพิธีกรรมทางศาสนาหรือพิธีกรรมที่มีการใช้สัญลักษณ์หรือการแสดงที่เน้นการเคารพสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ 4. ภูเขาและแม่น้ำที่มีวิญญาณ การพูดถึงและการเคารพภูเขาและแม่น้ำเป็นสิ่งที่มีชีวิตในภาพเชิงรูปธรรมให้เห็นถึงการเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีวิญญาณ เป็นผีที่คอยปกป้องดูแลจากภัยคุกคามและมีความสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในโลก Harvey ใช้ภาพของภูเขาหรือแม่น้ำที่มีความสำคัญในวงศ์วานท้องถิ่นเป็นตัวอย่าง การนำเสนอในรูปธรรมที่เน้นการสื่อสารและการเชื่อมโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่นและธรรมชาติ อีกเล่มหนึ่งที่น่าสนใจคือ Shamanism, Colonialism, and the Wild Man: A Study in Terror and Healing” โดย Michael Taussig เป็นการศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมของหมอผี, การล่าอาณานิคม, และความรุนแรงในสังคมของชนพื้นเมืองในลาตินอเมริกา โดยเน้นไปที่กลุ่มชนพื้นเมือง Putumayo ในโคลอมเบียในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ประเด็นหลักที่ Taussig ที่นำเสนอในหนังสือเล่มนี้คือ 1. อิทธิพลของการล่าอาณานิคม โดย Taussig วิเคราะห์ว่าการล่าอาณานิคมส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคมและวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรุนแรงและการใช้ความกลัวเพื่อควบคุมและปราบปรามชนพื้นเมือง ตัวอย่างเช่น การใช้ยางพาราและการทารุณกรรม ชนพื้นเมือง โดยTaussig พูดถึงประวัติศาสตร์ของการใช้ยางพาราในภูมิภาค Putumayo และความโหดร้ายที่ชนพื้นเมืองต้องประสบจากบริษัทค้าขายยางพาราชาวยุโรป เขาเล่าถึงวิธีที่พวกเขาใช้ความรุนแรงและการข่มขู่เพื่อบังคับให้ชนพื้นเมืองทำงานให้กับพวกเขา Taussig อธิบายการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตของชนพื้นเมืองที่เกิดขึ้นจากการเข้ามาของผู้ล่าอาณานิคม ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงในด้านเศรษฐกิจ การเกษตร การทำงาน ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านสังคมและวัฒนธรรม 2. บทบาทของหมอผี ซึ่ง Taussig สำรวจบทบาทของหมอผีในสังคมพื้นเมืองว่ามีบทบาทในการรักษาและบำบัดความเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการถูกกดขี่และความรุนแรง โดย Taussig ได้เล่าถึงพิธีกรรมการรักษาของหมอผีในชุมชนพื้นเมืองและการเปลี่ยนแปลงของพิธีกรรมเหล่านี้ภายใต้อิทธิพลของการล่าอาณานิคม Taussig อธิบายว่าหมอผีใช้พิธีกรรมเหล่านี้เพื่อบำบัดและปลอบประโลมผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากความรุนแรง ตัวอย่าง พิธีกรรมยาอายาฮวาสกา (Ayahuasca)**: Taussig บรรยายถึงพิธีกรรมการใช้ยาอายาฮวาสกาของหมอผี ซึ่งเป็นยาที่ทำจากพืชสมุนไพรและมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการหลอน หมอผีใช้ยานี้ในการเข้าถึงสภาวะจิตใจที่สูงขึ้นและในการรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความทุกข์ทรมานจากการถูกกดขี่และการใช้ความรุนแรงจากการล่าอาณานิคม 3. การเล่าเรื่องและความกลัว โดย Taussig ใช้แนวคิดของการเล่าเรื่องและความกลัวเพื่ออธิบายว่าความกลัวถูกสร้างและกระจายอย่างไรในสังคมพื้นเมือง และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมและการปฏิบัติทางศาสนาอย่างไร Taussig นำเสนอเรื่องเล่าและความกลัวที่แพร่กระจายในชุมชนพื้นเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "Wild Man" หรือมนุษย์ป่าที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความกลัวและควบคุมสังคม โดย“คนป่า” (Wild Man)*เป็นภาพลักษณ์ที่สร้างขึ้นโดยผู้ล่าอาณานิคมเพื่อแสดงถึงความโหดร้ายและไม่เป็นระเบียบของชนพื้นเมือง แนวคิดนี้ถูกใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการล่าอาณานิคมและการใช้ความรุนแรงต่อชนพื้นเมือง 4. การวิจารณ์วิธีวิทยาศาสตร์ตะวันตก โดย Taussig เป็นการวิจารณ์วิธีวิทยาศาสตร์ตะวันตกในการศึกษาและตีความพิธีกรรมและวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง โดย Taussig เสนอว่าการเข้าใจวัฒนธรรมอื่นๆ ต้องใช้มุมมองที่เปิดกว้างและยอมรับในความแตกต่างๆ Taussig ใช้กรณีศึกษาของชนพื้นเมือง Putumayo เพื่อวิจารณ์วิธีการศึกษาแบบตะวันตกที่มักจะมองข้ามบริบททางวัฒนธรรมและมิติทางจิตวิญญาณของพิธีกรรมและความเชื่อของชนพื้นเมือง 5. การผสมผสานระหว่างความเชื่อพื้นเมืองและคริสต์ศาสนา หนังสือเล่าถึงวิธีที่ชนพื้นเมืองนำเอาความเชื่อของคริสต์ศาสนามาผสมผสานกับความเชื่อดั้งเดิมของพวกเขา ทำให้เกิดการสร้างสรรค์พิธีกรรมใหม่ๆ ที่มีลักษณะเฉพาะตัว Taussig อธิบายถึงการใช้สัตว์ในพิธีกรรมของหมอผี เช่น การใช้เลือดและส่วนต่างๆ ของสัตว์ในการทำพิธีรักษาและการขับไล่วิญญาณร้าย การใช้สัตว์ในพิธีกรรมเหล่านี้มีความหมายทางจิตวิญญาณและเชื่อมโยงกับความเชื่อทางศาสนาของชนพื้นเมือง ก่อนการเข้ามาของคริสต์ศาสนา หนังสือ Shamanism, Colonialism, and the Wild Man: A Study in Terror and Healing" โดย Michael Taussig เต็มไปด้วยตัวอย่างและรูปธรรมที่น่าสนใจที่แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของการล่าอาณานิคมและพิธีกรรมของหมอผี โดยรูปธรรมเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพรวมของความซับซ้อนและความหลากหลายของประสบการณ์ของชนพื้นเมืองภายใต้การล่าอาณานิคมและบทบาทของหมอผีในการเผชิญหน้ากับความรุนแรงและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ความน่าสนใจคือการบันทึกเรื่องราวจากปากเปล่าของชนพื้นเมืองที่บรรยายถึงประสบการณ์และความทรงจำเกี่ยวกับการล่าอาณานิคมและการใช้ความรุนแรง เรื่องราวเหล่านี้มีความสำคัญในการเข้าใจถึงผลกระทบทางจิตใจและวัฒนธรรมของการล่าอาณานิคม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...