ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่องความเป็นชาย Masculinity

เนื่องจากวิชาAnthropology of sex and sexuality ปีนี้มีคนมาลงตามจำนวนที่ตั้งเอาไว้ และมีนักศึกษาชายมาลงจำนวนหนึ่ง บางคนทำประเด็นสารนิพนธ์เกี่ยวกับความเป็นผู้ชาย วัฒนธรรมการบริโภค การสะสม และอยากให้ผมสอนเกี่ยวกับประเด็นความเป็นชายและบุรุษศึกษาด้วย ปีนี้จึงเป็นปีที่ผมปรับเนื้อหาและเอาสิ่งที่ตัวเองเรียบเรียงเขียนประเด็นไว้ 16 สัปดาห์ กับหนังสือ 16 เล่ม และบรรจุประเด็นนี้ไว้ด้วย หนังสือเรื่อง Masculinities (1995)เขียนโดย R.W. Connell เป็นหนังสือสำคัญที่นำเสนอแนวคิดและการวิเคราะห์เกี่ยวกับความเป็นชายในมุมมองทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้ทำการสำรวจว่าความหมายของความเป็นชายถูกสร้างขึ้นมาอย่างไรในบริบททางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ และผลกระทบของแนวคิดเหล่านี้ต่อผู้ชายและสังคม สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับประเด็นเรื่องความเป็นชายที่พอสรุปได้เช่น 1. แนวคิดเรื่องความเป็นชายหลากหลายแบบ (Multiple Masculinities) โดย Connell เน้นว่าไม่มีรูปแบบเดียวของความเป็นชาย แต่มี "ความเป็นชายหลากหลายแบบ" ซึ่งรวมถึงความเป็นชายที่โดดเด่น (hegemonic masculinity) ที่มักจะถูกยอมรับและสนับสนุนในสังคม และความเป็นชายแบบรอง (subordinate masculinity) ซึ่งมักถูกกดขี่หรือดูถูก 2. แนวคิดความเป็นชายที่โดดเด่น (Hegemonic Masculinity) Connell มองว่าความเป็นชายที่โดดเด่นคือรูปแบบของความเป็นชายที่มักถูกมองว่าเป็นมาตรฐานในสังคมที่เชื่อมโยงกับอำนาจและการครอบงำและมักจะเน้นความเป็นภาพลักษณ์ของผู้ชายที่แข็งแรง แข็งแกร่ง และไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอออกมา 3. การผลิตและการรักษาความเป็นชาย (The Production and Maintenance of Masculinity) โดย Connell อธิบายว่าความเป็นชายถูกสร้างขึ้นผ่านการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการมีส่วนร่วมในสถาบันต่างๆ เช่น ครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน และสื่อสารมวลชนที่ร่วมกันประกอบสร้างความเป็นชาย 4. ผลกระทบของความเป็นชายต่อผู้ชายเองและสังคม Connell เสนอว่าความเป็นชายที่โดดเด่นไม่เพียงแต่มีผลกระทบต่อผู้หญิงและกลุ่มที่ถูกกดขี่ แต่ยังมีผลกระทบต่อผู้ชายเอง ทำให้เกิดความกดดันให้ผู้ชายต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดและอาจนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจและสุขภาพ ในหนังสือ Masculinities โดย R.W. Connell ได้นำเสนอแนวคิดหลักๆ ที่เขาใช้เพื่ออธิบายความเป็นชายและการสร้างความเป็นชายในสังคมมีดังนี้ 1. แนวคิด Hegemonic Masculinity (ความเป็นชายที่โดดเด่น) โดยแนวคิดนี้อธิบายว่ามีรูปแบบของความเป็นชายที่ได้รับการยอมรับและสนับสนุนในสังคม ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีอำนาจเหนือรูปแบบอื่นๆ ของความเป็นชาย ความเป็นชายที่โดดเด่นมักจะเชื่อมโยงกับอำนาจ ความแข็งแกร่ง และการครอบงำ ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจหรือการเมืองมักจะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความเป็นชายที่โดดเด่น 2. แนวคิด Complicit Masculinity (ความเป็นชายที่ร่วมมือ) ผู้ชายบางคนอาจไม่ได้มีคุณลักษณะหรือพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความเป็นชายที่โดดเด่น แต่พวกเขายังได้รับประโยชน์จากระบบที่สนับสนุนความเป็นชายนี้ การร่วมมือในที่นี้หมายถึงการที่พวกเขาไม่ขัดขวางหรือท้าทายความเป็นชายที่โดดเด่น 3. แนวคิด Subordinated Masculinity (ความเป็นชายที่ถูกกดขี่) โดยความเป็นชายที่ไม่ได้สอดคล้องกับมาตรฐานของความเป็นชายที่โดดเด่นและมักจะถูกกดขี่หรือลดค่าลง ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่เป็นเกย์หรือมีพฤติกรรมที่ถูกมองว่า "อ่อนแอ" ในสังคมมักจะตกอยู่ในกลุ่มนี้ 4. แนวคิด Marginalized Masculinity (ความเป็นชายที่ถูกกันออกไป) ความเป็นชายที่ถูกกันออกไปจากความเป็นชายที่โดดเด่นเนื่องจากปัจจัยเช่น เชื้อชาติ ชนชั้น หรือศาสนา ตัวอย่างเช่น ผู้ชายในกลุ่มชนกลุ่มน้อยหรือผู้ชายที่มาจากชนชั้นล่างมักจะไม่ได้รับการยอมรับเท่ากับผู้ชายในกลุ่มชนชั้นกลางหรือสูง 5.แนวคิด The Gender Order (ระบบเพศสภาพ)โดย Connell อธิบายว่าเพศสภาพไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของบุคคลแต่เป็นระบบที่ครอบคลุมทั้งสังคม ระบบเพศสภาพนี้สร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางอำนาจระหว่างเพศ ตัวอย่างเช่น การจัดสรรงานตามเพศในที่ทำงาน หรือการแบ่งบทบาททางครอบครัว 6. แนวคิด The Gender Regime (ระบอบเพศสภาพ) คำว่าระบอบเพศสภาพคือการปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจงในสถาบันต่างๆ เช่น โรงเรียน ครอบครัว หรือที่ทำงาน ที่ส่งผลต่อการสร้างและเสริมสร้างความเป็นชายและหญิง ตัวอย่างเช่น นโยบายของโรงเรียนที่สนับสนุนกีฬาเฉพาะสำหรับเด็กผู้ชาย 7. แนวคิด Emphasized Femininity (ความเป็นหญิงที่ถูกเน้น)โดย Connell ยังอธิบายถึงความเป็นหญิงที่ถูกเน้น ซึ่งเป็นรูปแบบของความเป็นหญิงที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนความเป็นชายที่โดดเด่น ความเป็นหญิงที่ถูกเน้นมักจะเชื่อมโยงกับความอ่อนโยน การดูแล และการยอมรับอำนาจของผู้ชาย แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้เข้าใจว่าความเป็นชายไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของลักษณะส่วนบุคคล แต่เป็นผลมาจากระบบสังคมวัฒนธรรมที่ซับซ้อนและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่หลากหลาย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือที่เชื่อมโยงกับเรื่องของความเป็นชายที่ Connell ใช้เป็นตัวอย่างเพื่อแสดงให้เห็นถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชายและการสร้างความเป็นชายในบริบททางสังคมต่างๆ มีดังนี้ 1.การศึกษาผู้ชายในที่ทำงาน Connell ใช้การศึกษาในที่ทำงานเพื่อแสดงให้เห็นว่าความเป็นชายที่โดดเด่นมักจะถูกผลิตขึ้นและรักษาไว้ในที่ทำงานที่มีการแข่งขันสูง ผู้ชายถูกกดดันให้แสดงความสามารถในการแข่งขันและควบคุม ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของความเป็นชายที่โดดเด่นมากและเชื่อมโยงกับระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่ 2. การวิเคราะห์วัฒนธรรมกีฬา Connell ใช้วัฒนธรรมกีฬาซึ่งมักจะส่งเสริมความแข็งแกร่งและการควบคุมตัวเองเป็นตัวอย่างของการผลิตความเป็นชายที่โดดเด่น กีฬามักจะเป็นพื้นที่ที่ผู้ชายสามารถพิสูจน์ความเป็นชายของตนเองได้ 3. บทบาทของครอบครัวในการสร้างความเป็นชาย หนังสือเน้นว่าครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างและถ่ายทอดแนวคิดเรื่องความเป็นชาย ตั้งแต่เด็กผู้ชายได้รับการสอนให้แข็งแรงและเป็นผู้นำ ผ่านกิจกรรมและการอบรมต่างๆ 4. ผลกระทบของสื่อมวลชน Connell วิเคราะห์ว่าสื่อมวลชนมีบทบาทในการส่งเสริมและเผยแพร่ภาพลักษณ์ของความเป็นชายที่โดดเด่น ผ่านภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และโฆษณา ซึ่งมักจะแสดงให้เห็นผู้ชายในบทบาทของผู้ควบคุมและผู้ครอบครองอำนาจนำ 5.วัฒนธรรมกีฬาและนักกีฬาชาย Connell ใช้ตัวอย่างของนักกีฬาและวัฒนธรรมกีฬาเพื่อแสดงให้เห็นว่าความเป็นชายที่โดดเด่นมักจะถูกสร้างขึ้นผ่านการแข่งขัน ความแข็งแกร่งทางร่างกาย และการควบคุมตัวเอง ตัวอย่างเช่น นักกีฬาฟุตบอลหรือรักบี้ที่มักจะถูกมองว่าเป็นภาพลักษณ์ของความเป็นชายที่แข็งแกร่งและกล้าหาญ การฝึกซ้อมและการแข่งขันกีฬามักจะส่งเสริมพฤติกรรมที่แสดงถึงความเป็นชายแบบนี้ 6.การศึกษาความเป็นชายในที่ทำงานและการจัดองค์กร Connell อธิบายว่าที่ทำงานเป็นสถานที่ที่ความเป็นชายที่โดดเด่นมักจะถูกผลิตขึ้นและรักษาไว้ เขาใช้ตัวอย่างของผู้จัดการหรือผู้บริหารชายที่มักจะแสดงความสามารถในการแข่งขัน การควบคุม และความเป็นผู้นำ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของความเป็นชายที่โดดเด่น ความคาดหวังทางสังคมในที่ทำงานมักจะกดดันให้ผู้ชายต้องแสดงความสามารถเหล่านี้ 7. บทบาทของครอบครัวในการสร้างความเป็นชาย Connell เน้นว่าครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการสร้างแนวคิดเรื่องความเป็นชาย เขาใช้ตัวอย่างของการเลี้ยงดูเด็กชายที่มักจะได้รับการสอนให้แข็งแกร่ง ไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอ และเป็นผู้นำ การเลือกของเล่น เช่น ปืนหรือรถถัง และกิจกรรมที่ส่งเสริมความกล้าหาญและความแข็งแรงทางร่างกายเป็นวิธีที่ครอบครัวมีส่วนในการสร้างความเป็นชาย 8.สื่อมวลชนและภาพยนตร์ Connell วิเคราะห์บทบาทของสื่อมวลชนในการเผยแพร่ภาพลักษณ์ของความเป็นชายที่โดดเด่น เขาใช้ตัวอย่างของภาพยนตร์และโฆษณาที่มักจะแสดงผู้ชายในบทบาทของฮีโร่ นักรบ หรือผู้ควบคุม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของความเป็นชายที่โดดเด่น การแสดงภาพลักษณ์ของผู้ชายที่แข็งแกร่งและมีอำนาจช่วยเสริมสร้างและรักษาแนวคิดเหล่านี้ในสังคม 9. การศึกษาเรื่องความรุนแรงและความเป็นชาย Connell ใช้ตัวอย่างของความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับความเป็นชาย เช่น การทะเลาะวิวาท การใช้กำลังในครอบครัว หรือการทำสงคราม เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงมักจะถูกมองว่าเป็นวิธีการแสดงออกของความเป็นชายที่โดดเด่น การกระทำเหล่านี้สะท้อนถึงความกดดันให้ผู้ชายต้องปฏิบัติตามมาตรฐานของความแข็งแกร่งและการควบคุม 10. ทหารและการรับใช้ชาติ Connell ใช้ตัวอย่างของทหารในการแสดงความเป็นชายที่โดดเด่น ซึ่งมักจะเชื่อมโยงกับความกล้าหาญ การเสียสละ และการควบคุมตัวเอง การฝึกทางทหารและวัฒนธรรมในกองทัพเน้นย้ำการสร้างความเป็นชายที่แข็งแกร่งและสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ท้าทายและอันตรายได้ 11. โรงเรียนและระบบการศึกษา Connell อธิบายว่าระบบการศึกษาและโรงเรียนมีบทบาทในการสร้างและเสริมสร้างแนวคิดเรื่องความเป็นชาย ตัวอย่างเช่น ในบางโรงเรียน เด็กผู้ชายมักจะได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาหรือกิจกรรมที่แสดงความแข็งแกร่ง ในขณะที่เด็กผู้หญิงอาจได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมทางวิชาการหรือศิลปะ 12. วัฒนธรรมการบริโภคและโฆษณา Connell วิเคราะห์การโฆษณาและวัฒนธรรมการบริโภคที่มักจะแสดงภาพลักษณ์ของผู้ชายที่มีความสำเร็จและมีอำนาจ ตัวอย่างเช่น โฆษณารถยนต์หรูหรือผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีที่มักจะแสดงผู้ชายในบทบาทของผู้นำที่ประสบความสำเร็จและสามารถควบคุมชีวิตของตนเองได้ 13. บทบาทของศาสนาและพิธีกรรม Connell อธิบายว่าศาสนาและพิธีกรรมต่างๆ มีบทบาทในการสร้างและเสริมสร้างแนวคิดเรื่องความเป็นชาย ตัวอย่างเช่น บางศาสนาอาจมีบทบาททางพิธีกรรมที่จำกัดให้เฉพาะผู้ชาย หรือมีการสอนแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นผู้นำทางศาสนาที่เป็นบทบาทของผู้ชาย 14. การแสดงออกทางเพศและการควบคุมทางเพศ Connell ใช้ตัวอย่างของการแสดงออกทางเพศและการควบคุมทางเพศเพื่อแสดงให้เห็นว่าความเป็นชายที่โดดเด่นมักจะเชื่อมโยงกับการควบคุมและการแสดงอำนาจทางเพศ ตัวอย่างเช่น การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงหลายคนหรือการแสดงความสามารถในการควบคุมทางเพศมักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย 15. การใช้ภาษาและการสื่อสาร Connell วิเคราะห์การใช้ภาษาและรูปแบบการสื่อสารที่เสริมสร้างความเป็นชาย ตัวอย่างเช่น การใช้ภาษาที่ก้าวร้าวหรือมีอำนาจในที่ทำงาน หรือการใช้ภาษาที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการควบคุมในบทสนทนา ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชายถูกสร้างขึ้นมาและรักษาไว้ในบริบททางสังคมอย่างไร และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการรักษามาตรฐานของความเป็นชายที่โดดเด่นในสังคมได้ดียิ่งขึ้น เมื่อเปรียบเทียบตัวอย่างในงานของConnell กับสังคมไทยภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว เราสามารถเห็นได้ชัดเจนในหลายบริบทที่ความเป็นชายถูกสร้างขึ้นและเสริมสร้างในสังคมไทย 1. วัฒนธรรมกีฬาและนักกีฬาชายในสังคมไทย ในสังคมไทย การแข่งขันกีฬา เช่น มวยไทย ฟุตบอล และบาสเกตบอล มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างความเป็นชาย นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมักจะได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวแทนของความแข็งแกร่งและความกล้าหาญ ตัวอย่างเช่น บัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยไทยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาย 2. การรับใช้ชาติและวิถีแแบบทหาร การเรียนรด.(นักศึกษาอาสารักษาดินแดน) และการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยยังคงเป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความเป็นชาย ผู้ชายที่ผ่านการเกณฑ์ทหารมักจะถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบและแข็งแกร่ง การฝึกทางทหารในประเทศไทยยังคงเน้นการฝึกฝนความแข็งแกร่งและการควบคุมตัวเอง 3. บทบาทของครอบครัวในการสร้างความเป็นชาย ครอบครัวไทยมักจะสอนให้เด็กผู้ชายแข็งแกร่งและไม่แสดงความรู้สึกอ่อนแอ โดยเฉพาะในชนบทที่ยังคงมีบทบาทของการทำงานที่ต้องใช้กำลัง เช่น การทำเกษตรกรรมและงานช่าง นอกจากนี้ เด็กผู้ชายมักจะได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมกีฬาหรือกิจกรรมที่แสดงถึงความเป็นผู้นำ 4. ระบบการศึกษาและโรงเรียน ในโรงเรียนไทย กิจกรรมต่างๆ เช่น การแข่งกีฬาสี มักจะมีบทบาทในการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับความเป็นชาย เด็กผู้ชายมักจะถูกสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมที่แสดงถึงความแข็งแกร่งและการควบคุม ในขณะที่เด็กผู้หญิงอาจได้รับการสนับสนุนให้เข้าร่วมกิจกรรมที่เน้นความน่ารักและความอ่อนโยน เป็นผู้ทำกิจกรรมในขบวนพาเหรดเช่นเดียวกับกลุ่ม LGBTQ+ 5. วัฒนธรรมการบริโภคและสื่อมวลชน สื่อมวลชนในประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างและเสริมสร้างภาพลักษณ์ของความเป็นชาย โฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น รถยนต์ น้ำหอม และเครื่องแต่งกาย มักจะแสดงผู้ชายในบทบาทของผู้นำที่มีความสำเร็จและมีอำนาจ ตัวอย่างเช่น โฆษณารถยนต์ที่แสดงผู้ชายขับรถหรูในฉากที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและการควบคุม 6. การแสดงออกทางเพศและการควบคุมทางเพศ ในสังคมไทย ความเป็นชายมักจะถูกเชื่อมโยงกับการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงหลายคน ความเจ้าชู้ การสีเสน่ห์กับเพศตรงกันข้าม หรือการแสดงความสามารถในการควบคุมทางเพศ ผู้ชายที่มีหลายแฟนหรือสามารถดึงดูดผู้หญิงได้มากมักจะถูกยกย่องว่าเป็น "เสือผู้หญิง" หรือเป็น “ชายแท้” ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของความเป็นชายที่โดดเด่น 7. พิธีกรรมทางศาสนา ในศาสนาพุทธซึ่งเป็นศาสนาหลักในประเทศไทย การบวชเป็นพระภิกษุมักจะถูกมองว่าเป็นพิธีกรรมที่แสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นชาย ผู้ชายที่บวชเรียนมักจะได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่มีความเสียสละและเป็นผู้ปฏิบัติตามแนวทางของศาสนา ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความเป็นชายในสังคมไทยถูกสร้างขึ้นและเสริมสร้างในหลายบริบทที่คล้ายคลึงกับที่ Connell อธิบายไว้ในหนังสือ "Masculinities" โดยความเป็นชายที่โดดเด่นยังคงมีบทบาทสำคัญและมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในประเทศไทย รวมทั้งหากเรานำมาวิพากษ์เกี่ยวกับความเป็นชายที่ลื่นไหล หลากหลาย อยู่พ้นกรอบ หรือไม่ติดกรอบความเป็นชายก็น่าจะทำให้เข้าใจความเป็นชายที่ซับซ้อน หลากหลาย ก็จะดีไม่น้อย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...