ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เห็ดกับมุมมองทางมานุษยวิทยา

**ทำเรื่องเห็ดให้เป็นวิชาการ โดยใช้มุมมองทางมานุษยวิทยา และมุมมองแบบข้ามศาสตร์ ** เมื่อถึงฤดูฝน ผมคิดถึงเห็ด คิดถึงช่วงเวลาที่ไปเก็บเห็ดที่ต้องใช้ทักษะในการเดินหา การจดจำแหล่งที่เคยเกิดและเกิดซ้ำทุกปีของเห็ด การดูลักษณะเห็ด สี กลิ่น รูปร่าง ร่องรอยแมลงที่กินเห็ด การเกิดเป็นหมู่ เป็นแนวตามรอยทางเดินของปลวก บริเวณจอมปลวก กอไผ่ ใต้ต้นกรุงหรือยางนา ตามพื้นดินร่วนปนทรายมีหินและอื่นๆ ผมได้ประสบการณ์การเก็บเห็ดกับคุณพ่อของผม…และคิดว่าข้อมูลบางอย่างนำมาเขียนในทางวิชาการได้เหมือนกัน Mushroom and Anthropology น่าจะเป็นการศึกษาและการวิจัยที่เกี่ยวกับเห็ดและมุมมองทางมานุษยวิทยา รวมทั้งการศึกษาเกี่ยวกับเห็ดและบทบาทของเห็ดในวัฒนธรรมต่างๆ ผ่านมุมมองทางมานุษยวิทยา หนึ่งในหนังสือที่เกี่ยวข้องกับมุมมองที่ว่าด้วยเห็ด กับงานทางมานุษยวิทยาคือหนังสือชื่อ The Mushroom at the End of the World: On the Possibility of Life in Capitalist Ruins ที่เขียนโดย Anna Lowenhaupt Tsing นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันเชื้อสายจีน หนังสือเล่มนี้ศึกษามัทซึทาเกะ (Matsutake) ซึ่งเป็นเห็ดที่มีค่าและศึกษาว่ามันเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยมอย่างไร และมันยังสำรวจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเห็ดในบริบทของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการดำรงชีวิต ดังเช่น การเติบโต การเก็บเกี่ยว และการค้าเห็ดมัตซึทาเกะ (Matsutake) ซึ่งเป็นเห็ดที่มีค่าในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในญี่ปุ่น หนังสือเล่มนี้นำเสนอการศึกษาในมุมมองทางมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1. การมองชีวิตในซากปรักหักพังของระบบทุนนิยม โดย Tsing สำรวจว่าเห็ดมัตซึทาเกะสามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายและไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์อื่นๆ การเติบโตของเห็ดในป่าสนที่ถูกทิ้งร้างหลังจากการตัดไม้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของชีวิตในซากปรักหักพังของระบบทุนนิยม เช่นเดียวกับหลายพื้นที่ในป่าแถวบ้านของผมในจังหวัดแห่งหนึ่งของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พื้นที่ป่าเหล่านี้เคยเป็นทับฟืน ทับไม้ ที่มีคนงานรับจ้างตัดไม้เพื่อทำไม้หมอนรางรถไฟ ก่อนที่จะยกเลิกสัมปทนา และป่าพื้นตัว กลายเป็นโคก ป่าของหมู่บ้านในปัจจุบัน 2. เศรษฐกิจและการค้าเห็ด Tsing สำรวจวิธีการที่เห็ดมัตซึทาเกะถูกเก็บเกี่ยวและนำมาขาย การค้าเห็ดนี้เกี่ยวข้องกับชุมชนต่างๆ ทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญในเศรษฐกิจท้องถิ่นของผู้เก็บเกี่ยวหรือผู้หาเห็ดในป่า 3. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ โดย Tsing แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างมนุษย์และเห็ด มนุษย์ไม่เพียงแค่เป็นผู้เก็บเกี่ยวผู้แสวงหา ผู้เสี่ยงโชคจากการเดินป่าเพื่อหาเห็ด แต่ยังเป็นผู้ที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เห็ดสามารถเจริญเติบโตได้ การเก็บเห็ดจึงเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและการดูแลป่าด้วย 4. การศึกษาข้ามวัฒนธรรม หนังสือเล่มนี้นำเสนอเรื่องราวของผู้คนจากวัฒนธรรมต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเห็ดมัตซึทาเกะ ตั้งแต่ชาวญี่ปุ่นที่ให้คุณค่าเห็ดนี้เชื่อมโยงไปถึงกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเขาในลาวที่เก็บเห็ดเพื่อการค้า 5. วิธีการวิจัยเชิงมานุษยวิทยา โดย Tsing ใช้วิธีการวิจัยเชิงมานุษยวิทยาในการศึกษาเรื่องราวของเห็ดมัตซึทาเกะ เธอใช้การสัมภาษณ์ การสังเกต และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนที่เกี่ยวข้องกับเห็ด โดยรวมหนังสือเรื่อง The Mushroom at the End of the World เป็นการรวมเรื่องราวของการอยู่รอด การสร้างสรรค์ และความเป็นไปได้ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เธอเสนอแง่มุมที่หลากหลายและความหมายเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์และธรรมชาติสามารถร่วมกันสร้างชีวิตใหม่ในซากปรักหักพังของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจเช่น 1. การเก็บเห็ดในญี่ปุ่น ตัวอย่าง การเก็บเห็ดมัตซึทาเกะในญี่ปุ่นเป็นกิจกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง เห็ดนี้ถูกถือเป็นของหายากและมีราคาสูงในตลาด ในขณะเดียวกันก็มีมิติเชิงวัฒนธรรม ชาวญี่ปุ่นมีประเพณีและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเห็ดมัตซึทาเกะ การเก็บเห็ดนี้มักจะเป็นกิจกรรมที่ทำในครอบครัวและชุมชน ความรู้และเทคนิคในการหาเห็ดนี้ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เห็ดมัตซึทาเกะมักจะถูกใช้ในพิธีกรรมและงานเลี้ยงสำคัญของคนในครอบครัวและชุมชน 2. ชุมชนผู้อพยพชาวลาวในโอเรกอน ตัวอย่างชุมชนผู้อพยพชาวลาวในรัฐโอเรกอน สหรัฐอเมริกา ที่มีบทบาทสำคัญในการเก็บเห็ดมัตซึทาเกะเพื่อขายในตลาดโลก โดยผู้อพยพชาวลาวได้เข้ามาเก็บเห็ดในป่าทางตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐอเมริกา การเก็บเห็ดนี้กลายเป็นแหล่งรายได้หลักสำหรับครอบครัวหลายครอบครัว ชาวลาวใช้ความรู้ทางวัฒนธรรมและเทคนิคที่ได้รับการถ่ายทอดมาในการหาเห็ด การค้าขายเห็ดนี้ทำให้เกิดเครือข่ายการเชื่อมโยงระหว่างชุมชนท้องถิ่นและตลาดโลก 3. การฟื้นฟูป่าหลังการตัดไม้ในฟินแลนด์ ตัวอย่าง การฟื้นฟูป่าหลังการตัดไม้ในฟินแลนด์ซึ่งส่งเสริมการเติบโตของเห็ดมัตซึทาเกะ เมื่อพื้นที่ป่าถูกตัดไม้ ป่าจะถูกปล่อยให้ฟื้นตัวเองตามธรรมชาติ กระบวนการฟื้นฟูนี้สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับเห็ดมัตซึทาเกะ การเจริญเติบโตของเห็ดในป่าเหล่านี้ส่งผลให้ชาวบ้านสามารถเก็บเกี่ยวเห็ดและขายในตลาดท้องถิ่นและตลาดนานาชาติ การฟื้นฟูป่ายังมีผลดีต่อระบบนิเวศและการดำรงชีวิตของสัตว์ป่าด้วย 4. การจัดการป่าในประเทศจีน ตัวอย่าง การจัดการป่าในพื้นที่ภูเขาของจีนที่มีการเพาะเห็ดมัตซึทาเกะ โดยชาวบ้านในพื้นที่ภูเขาของจีนได้พัฒนาวิธีการจัดการป่าที่เป็นมิตรต่อการเจริญเติบโตของเห็ด พวกเขามีการปลูกต้นไม้และดูแลป่าในลักษณะที่ส่งเสริมการเติบโตของเห็ดมัตซึทาเกะ การจัดการป่าแบบยั่งยืนนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มผลผลิตเห็ดแต่ยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเอาไว้ด้วย ในกรณีของทหารรับจ้าง (mercenaries) ในงานของ Tsing มีความเกี่ยวข้องกับเห็ดมัตซึทาเกะ (Matsutake) โดยเฉพาะในบริบทของการเก็บเห็ดในสหรัฐอเมริกา ตัวอย่าง ชุมชนทหารรับจ้างในป่าโอเรกอน โดยในป่าแห่งหนึ่งในรัฐโอเรกอน มีชุมชนผู้เก็บเห็ดที่หลากหลายประกอบด้วยผู้คนจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน รวมถึงผู้อพยพ ทหารผ่านศึก และทหารรับจ้าง โดยทหารรับจ้างบางคนที่เคยทำงานในพื้นที่สงครามได้หันมาทำงานเก็บเห็ดมัตซึทาเกะ พวกเขาใช้ทักษะการเอาตัวรอดและการทำงานในสภาพแวดล้อมที่ท้าทายในการเก็บเห็ด เห็ดมัตซึทาเกะกลายเป็นแหล่งรายได้ใหม่สำหรับพวกเขาหลังจากที่กลับจากสงคราม การเกิดเครือข่ายการค้าเห็ด ซึ่งเครือข่ายการค้าเห็ดมัตซึทาเกะที่เชื่อมโยงระหว่างชุมชนต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงผู้เก็บเห็ดที่มีประสบการณ์จากการเป็นทหารรับจ้าง โดยทหารรับจ้างที่เข้ามาในเครือข่ายการค้าเห็ดนี้มีความสามารถในการเคลื่อนไหวและจัดการทรัพยากรในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อน การเก็บเห็ดกลายเป็นกิจกรรมที่ให้ทั้งรายได้และโอกาสในการสร้างเครือข่ายใหม่ในชุมชนท้องถิ่น การเก็บเห็ดในเขตพื้นที่เสี่ยงภัย โดยการเก็บเห็ดในพื้นที่ป่าที่อาจมีความเสี่ยงหรืออันตราย ซึ่งต้องการทักษะเฉพาะและความกล้าหาญในการทำงาน ดังนั้น ทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ในเขตสงครามสามารถนำทักษะเหล่านั้นมาใช้ในการเก็บเห็ดในพื้นที่เสี่ยง พวกเขามีความคุ้นเคยกับการจัดการกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทหารรับจ้างที่เคยทำงานในเขตสงครามบางคนได้เข้ามามีบทบาทในชุมชนผู้เก็บเห็ดมัตซึทาเกะในป่าโอเรกอนและที่อื่นๆ พวกเขาใช้ทักษะและประสบการณ์จากการทำงานในพื้นที่เสี่ยงในการเก็บเห็ดและสร้างเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่วิถีชีวิตและอาชีพของผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันได้ ในหนังสือเล่มนี้ Anna Lowenhaupt Tsing ใช้แนวคิดหลายประการในการสำรวจเรื่องราวของเห็ดมัตซึทาเกะ (Matsutake) และการเก็บเกี่ยวเห็ดในบริบททางสังคมและเศรษฐกิจ แนวคิดหลักๆ ที่ใช้คือ 1. ความเป็นไปได้ของชีวิตในซากปรักหักพังของทุนนิยม (Life in Capitalist Ruins) โดย Tsing สำรวจวิธีการที่ชีวิตสามารถดำรงอยู่และเจริญเติบโตได้ในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยม เห็ดมัตซึทาเกะเป็นตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่สามารถเจริญเติบโตในป่าที่ถูกทำลายหรือถูกละทิ้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชีวิตสามารถปรับตัวและสร้างสรรค์ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยได้ 2. ความเป็นสหสาขาวิชาการ (Interdisciplinary Approach) Tsing ใช้วิธีการศึกษาที่รวมเอามุมมองจากหลายสาขาวิชา เช่น มานุษยวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ และนิเวศวิทยา เพื่อให้ได้ภาพรวมที่ครอบคลุมเกี่ยวกับเห็ดมัตซึทาเกะและการเก็บเกี่ยวเห็ด Tsing ใช้การวิจัยเชิงมานุษยวิทยาผ่านการสัมภาษณ์ การสังเกต และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนที่เกี่ยวข้อง 3. การดำรงชีวิตร่วมกันของมนุษย์และธรรมชาติ (Human-Nonhuman Collaboration) โดย Tsing เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนและการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ เห็ดมัตซึทาเกะไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรายได้สำหรับผู้เก็บเห็ด แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ซับซ้อน การเก็บเห็ดเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของเห็ด 4. การค้าขายแบบกระจายตัว (Global Supply Chains and Local Economies) โดย Tsing สำรวจเครือข่ายการค้าเห็ดมัตซึทาเกะที่เชื่อมโยงชุมชนต่างๆ ทั่วโลก ตั้งแต่ผู้เก็บเห็ดในป่าโอเรกอน ไปจนถึงผู้บริโภคในตลาดญี่ปุ่น การค้าขายนี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจโลกและวิธีที่ชุมชนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจโลกผ่านการเก็บและการค้าขายเห็ด 5. การฟื้นฟูและการจัดการทรัพยากร (Restoration and Resource Management) Tsing เชื่อมโยง แนวคิดเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนสำคัญในหนังสือ Tsing แสดงให้เห็นว่าการจัดการป่าในลักษณะที่ยั่งยืนสามารถส่งเสริมการเจริญเติบโตของเห็ดมัตซึทาเกะและสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและนิเวศวิทยา หนังสือ The Mushroom at the End of the World ได้ใช้แนวคิดที่หลากหลายและมุมมองแบบสหวิชาการในการสำรวจเรื่องราวของเห็ดมัตซึทาเกะและการเก็บเกี่ยวเห็ด แนวคิดเหล่านี้เน้นถึงความเป็นไปได้ของชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ถูกทำลาย ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ และความซับซ้อนของระบบเศรษฐกิจโลก หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการศึกษาเชิงลึกที่นำเสนอภาพรวมที่ครอบคลุมและซับซ้อนเกี่ยวกับวิธีที่ชีวิตสามารถปรับตัวและสร้างสรรค์ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไป งานชิ้นนี้ถือเป็นงานเขียนทางมานุษยวิทยาที่เชื่อมโยงกับเศรษฐศาสตร์ ผ่านการตีแผ่ เชื่อมโยงชีวิตของเห็ดมัตซึทาเกะ ที่เราคุ้นชินในอาหาร เครื่องดื่มสุขภาพและอื่นๆ เธอเล่าเรื่องเห็ดในป่าดิบชื้นที่โอเรกอน สหรัฐอเมริกา โดยการเชื่อมโยงชีวิตของนักเก็บเห็ด ผู้บริโภค พ่อค้า ระบบธุรกิจ ผู้ผลิตแปรรูป แต่พระเอกของเรื่องนี้คือเห็ดมัตซึตาเกะ ที่มีธรรมชาติของมัน การกำเนิดเติบโตโดยธรรมชาติ การไม่สามารถเอาไปเพาะปลูกได้เหมือนเห็ดชนิดอื่นๆที่ทำให้มันหายากราคาแพงในที่ต่างๆของโลก กระบวนการเกิดขึ้นในป่าที่เฉพาะ แม้แต่ป่าในโอเรกอนที่อเมริกา ซึ่งเคยได้รับผลกระทบและเสื่อมโทรมจากการทำลายของมนุษย์ แต่เห็ดเหล่านี้กลับเติบโตได้อย่างมากมาย การเคลื่อนย้ายของเห็ดสัมพันธ์กับการเคลื่อนที่ของระบบทุนนิยม การเคลื่อนที่ของผู้คนที่เก็บเห็ดทั้งคนผิวขาว ผิวสี นักเก็บเห็ดเป็นคนในเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อพยพมาจากลาว เวียดนาม กัมพูชาที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลมาอาศัยและทำงานในอเมริกา ในขณะที่ส่วนหนึ่งของนักเก็บเห็ดคือคนจาวผู้ผ่านประสบการณ์การเดินทาง การเป็นทหารไปรบในสงครามเวียดนาม ทั้งสองกลุ่มต่างก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ของการเคลื่อนที่ เคลื่อนย้ายเหมือนกัน... เห็ดที่เป็นวัตถุก็เสมือนสิ่งที่มีความหมายหลากหลาย ไม่ใช่แค่นัยของสินค้าในระบบทุนนิยม การเป็นของหายากในป่า ธรรมชาติที่ควบคุมหรือสร้างมันขึ้นมาลอกเลียนแบบได้ยาก ตัวของคนเก็บเห็ดที่เป็นนักเดินทาง นักหาสมบัติ นักแสวงโชคมากกว่าแรงงานในระบบเศรษฐกิจดังนั้นเห็ดจึงไม่ได้มีคุณค่าหรือมูลค่าในทางเศรษฐกิจ แต่คือเกียรติยศหรือความสำเร็จของนักเดินทางที่ค้นหาขุมทรัพย์.... การเกิดขึ้นของเห็ดมัตซึทาเกะสัมพันธ์กับปฎิสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆ การตัดไม้ในป่าในช่วงเริ่มต้น แม้ว่ามนุษย์ไม่ได้ตระหนักความสัมพันธ์กับเห็ด แต่กิจกรรมดังกล่าวก็สร้างการเติบโตของเห็ด ในขณะเดียวกัน เห็ดชนิดนี้ก็ขัดขืนต่อต้านกับระเบียบของการเพาะปลูกที่อยู่ภายใต้การควบคุมของมนุษย์เช่นกัน แต่การเกิดขึ้นของมันล้วนต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งอื่นๆ ความน่าสนใจคือเมื่อมองไปที่ระบบทุนนิยมที่เข้ามาครอบงำเหนือชีวิตของมนุษย์ ในฐานะผู้ทำลาย ผู้สร้างผลกระทบที่ทำให้มนุษย์สยบยอมต่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แต่ในอีกด้านหนึ่ง ภาวะต้องนี้ก็เปืดให้เห็นวิธีการเอาตัวรอดและการดำรงอยู่กับการเปลี่ยนแปลงได้. ...งานเขียนของเธอจึงเป็นการเปิดให้เห็นเสียงของสปอร์ (the voice of a spore)การเปรียบเทียบทฤษฎีทางมานุษยวิทยาผ่านเรื่องเล่าที่มาจากจุดยืนของ point of view of a spore..... เธอได้เล่าว่าในการสัมภาษณ์ที่โคเปเฮเกน มีคนตั้งฉายาเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ที่เธอทำว่าคือ mushroom sociology หรือสังคมวิทยาว่าด้วยเห็ด ทุกคนหัวเราะและคิดว่าเหลวไหล ตัวเธอก็ไม่เคยได้ยินว่ามีสังคมวิทยาว่าด้วยเห็ด แต่ความจริงที่น่าสนใจก็คือ สังคมวิทยา มานุษยวิทยาก็มักละเลยเพิกเฉยกับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ (non-human) ในการศึกษา...แต่ Tsing กลับเชื่อมโยงและทำสิ่งเหล่านี้ปรากฏแบะได้รับความสนใจ ผมว่าผมได้แง่คิดเยอะมากในงานชิ้นนี้ ทั้งในแง่นิเวศ สภาพภูมิอากาศ ที่เชื่อมโยงวิถีผู้คนกับเห็ด สิ่งมีชีวิตเล็กๆนี้…ภาพที่ผมใช้ประกอบ เป็นภาพการเก็บเห็ดในชุมชนกะเหรี่ยง และ ภาพประสบการณ์ที่ผมไปเก็บเห็ดกับพ่อและบันทึกไว้ รวมถึงลูกสาวฟ้าใสตอนเด็กๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...