ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เพศวิถีในยุคกลาง

Sexuality in Middle Age… Anthropology of Sex And Sexuality แนวคิดในยุคกลางของยุโรปค่อนข้างมีความน่าสนใจเพราะวัฒนธรรมของพวกเขานั้นแตกต่างจากวัฒนธรรมในยุคสมัยปัจจุบันของเราในหลาย ๆ ด้าน แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าวัฒนธรรมตะวันตกสมัยใหม่นั้นบางส่วนก็มีความคล้ายคลึงกับอดีตและส่งต่อมาถึงปัจจุบันนั้น วัฒนธรรมดังกล่าวล้วนได้รับอิทธิพลและเกิดขึ้นจากวัฒนธรรมยุโรปยุคกลาง ดังนั้นเราจึงสืบทอดแนวคิดมากมาย แต่ใช้แนวคิดต่างกันออกไป มีข้อมูลหรือหลักฐานจากหลายแหล่งที่มีความเกี่ยวข้องกับเพศในกลุ่มของผู้คนต่างๆในยุคกลาง แหล่งข้อมูลประเภทหนึ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ บันทึกจำนวนมากของคริสตจักรในยุโรปตะวันตก คริสตจักรที่ทำหน้าที่ในการดูแลกฎหมายทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรมส่วนบุคคล ศาลของสงฆ์ พระหรือนักบวชถูกใช้ตัดสินเป็นประจำแทนที่ศาลของฆราวาส(ศาลของคนทั่วไป) ตลอดสมัยยุคกลาง กฎหมาย ระเบียบข้อบังคังและประกาศทางศาสนาที่แตกต่างกันบางฉบับพยายามจำกัดช่วงเวลาและบุคคลวาใครที่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ เช่น บุคคล ทั่วไปห้ามมีเซ็กส์ในวันอาทิตย์เพราะเป็นวันพระที่ต้องถือศีลเข้าโบสถ์ และในวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ซึ่งควรจะเป็นวันเตรียมการสำหรับพิธีกรรมศีลมหาสนิท นอกจากนี้ยังมีการงดเว้นการการร่วมประเวณีในระยะเวลาต่างๆ ตั้งแต่ 47 ถึง 62 วันก่อนวันคริสต์มาส รวมถึงช่วงวันเฉลิมฉลองที่เกิดขึ้นซึ่งกินเวลาเป็นเวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ สำหรับนักบุญบางท่านนั้น ก็ถือเป็นเสมือนวันที่งดเว้น วันแห่งความบริสุทธิ์ผุดผ่องหรือห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว หนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับการสำนึกผิดในกลุ่มคนเหล่านี้ ที่ถือเป็นข้อกำหนดกฎเกณฑ์ของชาวคริสต์เตียนในคริสต์อาณาจักรและการปฏิบัติที่ถูกถ่ายทอดผ่านการสำนึกผิดได้รับความนิยมในหมู่ชาวคริสต์ ในบรรดาบาปประเภทต่าง ๆที่ถูกสารภาพจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติทางเพศ หรือการมีเพศสัมพันธ์คือสิ่งที่ถูกเน้นย้ำในงานเขียนที่สำนึกผิดเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องปกติที่จะพบข้อห้ามสำหรับการปฏิบัติทางเพศด้วยปาก (Oral Sex) การร่วมเพศทางทวาร(Anal Sex) การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง รวมทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ ที่เชื่อมโยงกับบทลงโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดดังกล่าว ตัวอย่างเช่น การที่บุคคลคนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหรือผู้หญิงที่ไม่ใช่คู่ของตัวเอง ฃต้องถือศีลเป็นเวลา 10 ปี ในอีกที่หนึ่งกล่าวว่าผู้ล่วงประเวณีกับสัตว์ต้องถือศีลเป็นเวลา 15 ปีและคนที่เป็นโสเภณีหรือขายบริการทางเพศต้องถือศีลเป็นเวลา 7 ปี การลงโทษสำหรับการช่วยตัวเองคือการถือศีลเป็นเวลา 20 วัน ทั้งนี้คริสเตียนจะยกย่องการแต่งงานในระบบครอบครัว หรือสามีภรรยา ที่กำหนดให้มีเพศสัมพันธ์กับคู่สมรสได้ ทั้งคู่สามารถทำกิจกรรมทางเพศได้ในตำแหน่งเดียวเท่านั้น (ทางช่องคลอง ทั้งนี้เพื่อทำหน้าที่ผลิตสมาชิก) ความสัมพันธ์ของผู้ชายและผู้หญิงที่นังตั้งแต่การแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์มีอยู่เพียงเพื่อการสร้างครอบครัวและการผลิตบุตร นอกจากนี้ การมีเพศสัมพันธ์มากเกินไประหว่างสามีและภรรยาก็ถูกประณามเพราะแรงขับทางเพศเป็นข้อบกพร่องภายใต้การแก้ไขและการควบคุมจากพระเจ้า ดังเช่นข้อกำหนดในเอกสารทางศาสนาและเอกสารทางโลกของศาลอาญาและศาลแพ่ง เกือบทั้งหมดถูกเขียนโดยผู้ชาย บ่อยครั้งนักบวชหรือผู้มีอำนาจทางศาสนาแสดงให้เห็นว่า ในเวลาที่พระสังฆราชหลายคนก็ยังนิยมถือกันว่าการมีเพศสัมพันธ์ทั้งหมดแม้แต่ในการแต่งงานถือเป็นบาปทั้งสิ้น ดังนั้นอาจสรุปได้ว่า ถ้าความสัมพันธ์ทางเพศยังคงอยู่ภายในขอบเขตของการแต่งงานเพื่อการให้กำเนิดก็ยังยอมรับกันได้ ในทางตรงกันข้ามเรื่องของเซ็กส์และเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้แต่งงานและเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์อื่น ๆ นอกเหนือจากสถาบันครอบครัวและการแต่งงานนั้น ถือเป็นเรื่องยอมรับกันไม่ได้ และถือว่าเป็นบาปที่ร้ายแรง เป็นการแสดงออกถึงตัณหาราคะที่ควบคุมไม่ได้ มันกลายเป็นเสมือนกฎเกณฑ์ของทุกเพศที่เกี่ยวข้องกับความต้องการความปรารถนาทางเพศที่มากเกินไปตามแนวคิดของคริสเตียนที่ดี ภายใต้เรื่องของการแต่งงานเป็นหัวข้อและประเด็นที่รักษาไว้อย่างคงที่ในแวดวงคริสตจักร ดังเช่น นักบุญโทมัสควีนาสและนักบุญอัลเบิร์ต อ้างว่าการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไปทำให้ชีวิตสั้นลงและส่งผลทำให้ร่างกายเสื่อมโทรม รวมถึงนักบุญออกัสตินเตือนผู้ชายที่รักภรรยามากเกินไปจนเกิดความคร่ำเคร่งและหมกมุ่นกระตือรือร้นกับการร่วมประเวณีหรือล่วงประเวณีเกินไปก็ไม่ดี ในขณะที่การสำเร็จความใคร่ไม่ถือว่าเป็นความสุขที่มีเหตุมีผลเพียงพอสำหรับมนุษย์ (ชาวคริสเตียน) และร่างกายของผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะกระทำบาปและเปิดช่องสำหรับการทุจริตฉ้อฉล ล่อลวง ดังนั้นผู้หญิงจึงต้องได้รับการดูแลและควบคุมจากผู้ชายอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดัยวกันผู้หญิงเหล่านี้ก็ถูกทำให้มีสถานะเป็นผู้ล่อลวงและถูกล่อลวงได้เช่นเดียวกัน ความเชื่อเหล่านี้ได้รับการสอนและเทศนาเกี่ยวกับความใคร่ที่เป็นอันตรายและผู้คนโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงสามารถตกอยู่ในสิ่งที่ถูกล่อใจได้งายกว่าผู้ชาย แต่วรรณกรรมข้อเขียน กฎบัญญัติทั้งหมดนี้ถูกเขียนขึ้นโดยชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน (คนที่ถือตบะพรมจรรย์ ถือศีลอย่างเช่น พวกนักบวช) และเสนอให้ควรหลีกเลี่ยงผู้หญิง ดังนั้นแน่นอนว่าพวกเขาเขียนเกี่ยวกับการล่อลวงของผู้หญิง การที่ผู้หญิงถูกล่อใจได้อย่างไร ส่วนการค้าประเวณีนั้นก็ถือเป็นบาป อย่างไรก็ตาม กระทำการเรื่องเพศที่ปรากฏในทั่วทุกเขตเมืองทั่วยุโรปยุคกลาง ก็สะท้อนการยอมจำนน หรือยอมรับของผู้คนได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น อย่างเช่น กรณีของนักบวชชาวฝรั่งเศสได้เสนอตัวอย่างความซับซ้อนของเรื่องเพศในยุคกลางในวันหนึ่งในช่วงต้น ศตวรรษที่ 14 เมื่ออาโนดเป็นนักเรียนทางศาสนา เขามีเพศสัมพันธ์กับโสเภณี สองสามปีต่อมา เขาสารภาพบาปในสิ่งที่กระทำผิดที่เกิดจากการสอบสวนครั้งนั้นว่า “ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในตูลู ที่พบเห็นการเผาร่างของผู้ที่เป็นโรคเรื้อนเสมอ วันหนึ่งข้าพเจ้าทำกามกิจกับโสเภณี และหลังจากที่ได้ทำบาปนี้แล้ว หน้าของข้าพเจ้าก็เริ่มบวมขึ้น ข้าพเจ้าตกใจกลัว และคิดว่าข้าพเจ้าติดโรคเรื้อนแล้วจึงสาบานกับตัวเอง ว่าในอนาคต ฉันจะไม่นอนกับผู้หญิงคนนั้นอีก พระผู้ใหญ่พยักหน้ารับคำสาบานของข้าพเจ้าว่าจะไม่นอนกับผู้หญิงอื่นอีก แต่ในท้ายที่สุดข้าพเจ้าไม่เพียงละเว้นหรือเลิกเซ็กส์กับผู้หญิง ข้าพเจ้ายอมรับว่าเพื่อทำตามคำปฏิญาณนั้น ฉันเริ่มทำร้ายและมีความสัมพันธ์กับเด็กผู้ชายแทน” ดังนั้นเรื่องของอาร์โนดไม่ใช่เรื่องแปลก เช่นเดียวกับผู้ชายยุคกลางหลายคนพบว่าตัวเองมีอาการที่ไม่พึงประสงค์หลังจากไปซ่องโสเภณีและถือว่าสถานการณ์ของพวกเขาเป็นพฤติกรรมทางเพศท่ามกลางปาฏิหาริย์และความเติบโตทางการแพทย์ที่เริ่มเกิดขึ้นมากมายในช่วงเวลานั้น ดังที่นักบุญโทมัส เบ็คเก็ตต์ พูดถึงตัวอย่างของ Roger De Beaumon โดยโบมองต์ชายหนุ่มที่มีอาการป่วยเป็นโรคเรื้อนทันทีหลังจากได้ไปพบและมีความสัมพันธ์กับโสเภณี ที่เชื่อมโยงความเจ็บป่วยที่เกิดจากบาปและเชื้อโรคร่วมกัน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 มีการพูดกันมากเกี่ยวกับแนวโน้มในยุคกลางที่จะตีความโรคว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของความผิดบาปทางเพศ อันที่จริง ความโน้มเอียงทางการแพทย์ที่จะมองโรคเนื่องจากบาปทางเพศไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการตัดสินทางศีลธรรมที่เข้มแข็งในสังคมเพียงอย่างเดียว ในขณะมีองค์ประกอบทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งเช่นกัน ความกังวลเกี่ยวกับการแพร่เชื้อทางเพศสัมพันธ์โดยโสเภณีมักได้รับการสื่อสารและแก้ปัญหาอย่างมีเหตุมีผล บางครั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นก็ใช้มาตรการป้องกัน เช่น แพทย์ในยุคกลางมองว่าการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไปเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่แท้จริงแล้วมันอาจเป็นแค่ ตำนาน เรื่องเล่าหรือมายาคติที่เป็นที่นิยมและเชื่อกันในสังคม มีการอ้างว่ามีขุนนางหลายคน เสียชีวิตจากการมีเพศสัมพันธ์มากเกินไป ตามความคิดยุคกลางเกี่ยวกับร่างกายตามระบบธาตุหรือของเหลวทั้ง 4 ประการ (four Bodily humors) คือ เสมหะ เลือด น้ำดีดำ น้ำดีเหลือง ที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมของผู้ชายที่มีเพศสัมพันธ์มากเกินไป ก่อให้เกิดปัญหา ระบบธาตุขันธุ์ ระบบของเหลวในร่างกาย เกิดขึ้นจากความคิดที่ว่าสุขภาพอยู่บนพื้นฐานของความสมดุลของร่างกาย และโรคภัย เป็นผลจากความไม่สมดุลในการรักษาสุขภาพ การที่คนคนหนึ่งจะมีสุขภาพที่ดี เขาจะต้องรักษาของเหลวในร่างกายเอาไว้อย่างสมดุล ในกระบวนการนี้จะต้องกระทำการบางอย่างเพื่อขับของเหลวในร่างกายต่าง ๆ รวมทั้งน้ำอสุจิ ดังนั้นการร่วมเพศในชีวิตประจำวันปกติจึงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เชื่อมโยงกับการมีสุขภาพดีสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ แต่การการมีเพศสัมพันธ์แบบพอประมาณก็ถือเป็นกุญแจสำคัญ การมีเพศสัมพันธ์มากเกินไปจะทำให้ร่างกายหมดกำลังทางกายและใจ รวมทั้งการเสียชีวิตในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด เมื่อความมีสุขภาพดีสัมพันธ์กับการมีเพศสัมพันธ์ที่สมดุล ดังนั้นหากมีความต้องการหรือกิจกรรมทางเพศที่มากเกินไปและน้อยเกินไปก็ถือว่าเป็นปัญหา การมีเพศสัมพันธ์น้อยเกินไปเป็นปัญหาทางการแพทย์ การถือครองตนเองเป็นโสดอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยเฉพาะชายหนุ่ม การครองโสดในระยะยาว หมายถึง การเก็บอสุจิที่มากเกินไปซึ่งจะส่งผลต่อหัวใจ ซึ่งจะทำให้ส่วนอื่นๆ ของร่างกายเสียหาย ส่วนผู้เป็นโสดอาจมีอาการเช่น ปวดหัว วิตกกังวล น้ำหนัก การสูญเสียและในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด ความตาย แม้ว่าการเป็นโสดจะได้รับการยกย่องอย่างสูงว่าเป็นคุณธรรมทางจิตวิญญาณในสังคมยุคกลาง แต่คนโสดมีความเสี่ยงทางการแพทย์มากพอๆ กับเสรีภาพหรือตัวอย่างที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 8 แห่งฝรั่งเศสที่พระองค์ยืนกรานที่จะซื่อสัตย์ต่อภรรยาของตัวเอง ในขณะสู้รบและต่อสู้กับฝ่ายตรงกันข้ามในแคว้นอัลบิเกนเซียน (Albigensian) ในช่วงสงครามครูเสด ศตวรรษที่ 1209-1229 หลักฐานดั้งเดิมระบุว่าการตายของเขาเป็นผลมาจากการเป็นโสดหรือการงดเว้นความสัมพันธ์ทางประเวณีเป็นระยะเวลายาวนานเกินไป ทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของการตายที่มีชื่อเสียงและถูกล้อเลียนที่สุดจากการเป็นโสดสำหรับช่วงสงครามครูเสด การละเว้นทางเพศนั้นเป็นความไม่สะดวกสบายต่อความต้องการและความสุขทางเพศในระยะเวลาหนึ่งหรือชั่วคราวที่พวกเขาต้องทนจนกว่าพวกเขาจะกลับบ้านและได้กลับมาพบกับภรรยาของพวกเขา แต่สำหรับนักบวชหลายคนในยุโรปยุคกลาง การถือโสดนั้นเป็นเงื่อนไขตลอดชีวิตที่สามารถนำเสนอได้ กับทางเลือกที่ยากลำบากที่ต้องรักษาความสมดุลตามทฤษฎีธาตุ (Humors Theory) ในขณะเดียวกันทฤษฎีทางการแพทย์เหล่านี้ บอกว่าของเหลวในร่างกายทั้งหมดถูกแปรรูปให้เป็นเลือด และต้นกำเนิดทั่วไปของพวกมันในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอสุจิ (เลือดขาว) เลือด (เลือดแดง เลือดดำ) ปัสสาวะ เสมหะ น้ำลาย และอื่นๆ สามารถทำหน้าที่หรือเปลี่ยนแทนกันได้ ดังนั้นการดึงเลือดหรือเอาเลือดออกเป็นประจำจึงถือว่าจำเป็นสำหรับผู้ชายที่เป็นโสด การเอาเลือดออกเป็นประจำเป็นเรื่องปกติในอารามในยุคกลางเพื่อปรับสมดุลอารมณ์ของพระสงฆ์และลดความเสี่ยงของการไม่สมัครใจ การร้องไห้ การบ้วนน้ำลายอาจเป็นทางเลือกแทนการมีเพศสัมพันธ์โดยการขับของเหลว การออกกำลังกาย และการอาบน้ำร้อนที่เร่งให้มีเหงื่อออกก็มีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการฝึกการละเว้นหรือควบคุมจิตใจในระยะยาว นอกจากมาตรการกระตุ้นการขับของเหลวที่คนโสดต้องระวังแล้ว สิ่งที่เขาใส่เข้ามาในร่างกายของเขาก็สำคัญ ผู้ชายที่ต้องการหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในขณะที่รักษาสุขภาพร่างกายของเขาต้องอดอาหารเป็นประจำและระมัดระวังในการปฏิบัติตเรื่องอาหาร ดังเช่นการรับประมานอาหารส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาหารที่มีความเย็นและเครื่องดื่มบางชนิดที่ป้องกันการกดทับการผลิตน้ำอสุจิและควบคุมความข้นน้ำอสุจิและควบคุมหรือดับความอยากความต้องการทางเพศ ตัวอย่างเช่น ปลาเค็ม ผักดองและน้ำเย็น ถือว่าเป็นอาหารที่เหมาะสมเป็นพิเศษสำหรับพระสงฆ์หรือนักบวชในยุคกลาง ในที่สุดแล้วในการหลีกเลี่ยงความตาย ภายใต้สภาวะของการต้องถือศีล รักษาพรหมจรรย์ รวมถึงการเป็นโสดนั้น สิ่งที่สามารถสร้างให้ชีวิตยาวนานได้ก็ก็คือการแต่งงานและมีความสัมพันธ์ทางเพศกับคู่สมรสของตนเป็นประจำซึ่งได้รับการอนุมัติจากคริสตจักรให้กระทำเช่นนั้นได้ รวมถึงการเยียวยาที่เป็นประโยชน์หลายอย่างทั้งการจำกัดอาหารและเหน็บน้ำส้มสายชู แพทย์บางคนแนะนำวิธีการช่วยตัวเองแบบอื่นที่น่าประหลาดใจซึ่งตรงกันข้ามกับการสอนของคริสตจักรเมื่อพูดถึงเรื่องเพศ ที่สะท้อนว่าผู้คนยุคกลางของยุโรป ล้วนประสบปัญหาในการคงสมดุลทางกายภาพอย่างสำคัญ โดยไม่ทำให้ตนเองต้องป่วยด้วยโรคภัยหรือการตกอยู่ภายใต้วาทกรรมว่าด้วยเรื่องศีลธรรมและบาป การลดลงของความเชื่อเรื่องทฤษฎีธาตุ ภายใต้วาทกรรมการแพทย์สมัยใหม่และการเปลี่ยนแปลงความเชื่อทางศาสนา ได้ขจัดความกลัวบางอย่างที่ผู้คนเผชิญเกี่ยวกับเรื่องเพศ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เปลี่ยนวาทกรรมเรื่องเซ็กส์ เพศ เพศสภาวะ เพศวิถี ที่ยังคงเกี่ยวโยงกับสุขภาพที่มีความขัดแย้งกัน รวมทั้งการปะทะกันของแรงกดดันทางสังคมและแนวโน้มรสนิยมความชอบส่วนบุคคล เรื่องเพศหรือเซ็กส์ยังคงเป็นทั้งประเด็นความสุข ความทุกข์และปัญหาของผู้คนในศตวรรษปัจจุบันและในอนาคต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...