ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เมืองและชนขั้นสร้างสรรค์ : cities and the creative class

เตรียมประเด็นสอนวิชาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมเทอมนี้ …หัวข้อเมืองและชนบทท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง ผมนึกถีงหนังสือเล่มนี้ที่จะให้ตัวอย่างประเด็นใหม่ๆในการมองเมืองและผู้คน ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงและความหลากหลายทางวัฒนธรรม หนังสือชื่อ "Cities and the Creative Class"(2003) ของ Richard Florida สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่ Florida ได้วิเคราะห์ถึงบทบาทของกลุ่มคนที่เรียกว่า "Creative Class" ในการสร้างและเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ของเมืองต่างๆ โดยเขาใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากเมืองต่างๆในอเมริกา เช่น ซานฟรานซิสโก บอสตัน และออสติน เพื่อแสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของกลุ่ม Creative Class ในการพัฒนาเมือง Richard Florida (2003) นำเสนอแนวคิดที่กลุ่มคนที่เรียกว่า "Creative Class" หรือ "ชนชั้นสร้างสรรค์" มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเมืองต่างๆ ทั่วโลก สาระสำคัญของหนังสือมีดังนี้ 1. บทบาทของ Creative Class โดย Florida อธิบายว่ากลุ่ม Creative Class ประกอบด้วยผู้คนที่มีอาชีพในสายงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น ศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นักออกแบบ นักพัฒนาเทคโนโลยี และผู้ประกอบการ กลุ่มคนเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง 2. แนวคิด 3Ts ของการพัฒนาเมือง โดย Florida แนะนำแนวคิด 3Ts ซึ่งประกอบด้วย: - Talent (ความสามารถ) การมีแรงงานที่มีความสามารถสูงและมีการศึกษาดี รวมถึงแรงงานที่มีพรสวรรค์ในด้านต่างๆที่สัมพันธ์กับการพัฒนาเมือง - Technology (เทคโนโลยี) สัมพันธ์กับการมีนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ทันสมัย - Tolerance (การยอมรับความหลากหลาย) นั่นคือการเป็นเมืองที่มีลักษณะของความเปิดกว้างและยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสังคม 3. เมืองที่ดึงดูดกลุ่ม Creative Class โดย Florida ชี้ให้เห็นว่าเมืองที่สามารถดึงดูด Creative Class จะมีลักษณะเช่น มีสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัฒนธรรม และมีการยอมรับความหลากหลาย ทำให้เมืองเหล่านี้สามารถพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็ว 4. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในการมี Creative Class จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเมืองในเวทีโลก เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้มักจะนำพาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่เมือง ส่งผลให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ สำหรับแนวคิดสำคัญที่มีในหนังสือเช่นนี้ในหนังสือ Cities and the Creative Class ประกอบด้วย 1. Creative Capital Theory โดย Florida นำเสนอทฤษฎีทุนสร้างสรรค์ (Creative Capital Theory) ซึ่งเน้นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์และความสามารถในการสร้างสรรค์ โดยเขาเชื่อว่าเมืองที่สามารถสร้างและดึงดูดกลุ่ม Creative Class จะมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันสูง 2. Bohemian Index และ Gay Index (จริงๆน้าจะโดยเป็น LGBTIQ+ Index มากกว่า) โดย Florida ใช้ตัวชี้วัดทางสังคม เช่น Bohemian Index (ดัชนีของศิลปินและนักสร้างสรรค์) และ Gay Index (ดัชนีของชุมชน LGBTQ+) เพื่อวัดระดับความสร้างสรรค์และการยอมรับความหลากหลายในเมืองต่างๆ เขาพบว่ามีความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างการมี Creative Class และการเติบโตทางเศรษฐกิจ 3. การกระจายของ Creative Class โดย Florida วิเคราะห์ว่าเมืองต่างๆ มีความสามารถในการดึงดูด Creative Class แตกต่างกัน โดยเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย วัฒนธรรมที่เปิดกว้าง และการยอมรับความหลากหลายจะมีโอกาสดึงดูดและรักษากลุ่มที่เป็น Creative Class ได้ดีกว่าเมืองที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือทรัพยากรที่เอื้อต่อการใช้ชีวิต 4. ความสำคัญของสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัฒนธรรม โดย Florida ชี้ว่าเมืองที่มีแหล่งวัฒนธรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถสนับสนุนการสร้างสรรค์ เช่น พิพิธภัณฑ์ โรงละคร ร้านกาแฟ และสวนสาธารณะ จะดึงดูด Creative Class มากขึ้น หนังสือ "Cities and the Creative Class" ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการพัฒนาเมือง โดยเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการดึงดูดและสนับสนุนกลุ่มคนที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ เพื่อให้เมืองเติบโตอย่างยั่งยืนและมีความสามารถในการแข่งขันสูงในเวทีโลก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในงานชิ้นนี้ที่น่าสนใจคือ เมือง Silicon Valley คือตัวอย่างของเมืองที่ดึงดูด Creative Class เนื่องจากมีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงและการยอมรับความหลากหลาย เมืองAustin,Texasเมืองที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะมีสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนศิลปะและดนตรี มีการจัดงานเทศกาลทางวัฒนธรรมต่างๆ เช่น South by Southwest (SXSW) ซึ่งดึงดูด Creative Class ให้เข้ามาอาศัยและทำงาน เมือง Seattle, Washington มีลักษณะเด่นมาก เนื่องจาก Seattle เป็นเมืองที่มีบริษัทที่ทำด้านเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Amazon และ Microsoft ตั้งอยู่ ทำให้มีการดึงดูดผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัย Washington ซึ่งเป็นแหล่งผลิตบุคลากรที่มีความสามารถ อีกทั้งสภาพแวดล้อมของเมืองนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัฒนธรรมมากมาย เช่น พิพิธภัณฑ์ ศิลปะการแสดง และเทศกาลดนตรี การยอมรับความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรมช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่น่าอยู่ เมืองPortland, Oregon มีลักษณะเด่นเช่นเดียวกัน เพราะ Portland เป็นเมืองที่มีความเปิดกว้างทางวัฒนธรรมและสังคม มีการสนับสนุนศิลปินและนักสร้างสรรค์อย่างกว้างขวาง มีร้านกาแฟ โรงเบียร์ขนาดเล็ก และร้านหนังสืออิสระที่เฟื่องฟูมากๆ โดยสภาพแวดล้อมของเมืองนี้มีพื้นที่สีเขียวมากมาย เช่น สวนสาธารณะและสวนสัตว์ มีการขนส่งสาธารณะที่ดี ทำให้คนสามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างสะดวกสบาย เมือง Boulder, Colorado มีลักษณะเด่นคือ Boulder เป็นเมืองที่มีการศึกษาและการวิจัยที่เข้มแข็ง มีมหาวิทยาลัย Colorado Boulder และศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายแห่ง เมืองนี้ยังเป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพมากมาย โดยสภาพแวดล้อมของเมือง Boulder มีธรรมชาติที่งดงามและกิจกรรมกลางแจ้งที่หลากหลาย เช่น การปีนเขา การปั่นจักรยาน และการวิ่ง ทำให้เป็นเมืองที่น่าดึงดูดสำหรับคนที่รักสุขภาพและกิจกรรมกลางแจ้ง เมือง Berlin, Germany มีลักษณะเด่นคือ Berlin เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นแหล่งรวมของศิลปิน นักดนตรี และนักออกแบบจากทั่วโลก มีบรรยากาศที่เปิดกว้างและเสรีทางวัฒนธรรม โดยสภาพแวดล้อมของเมืองที่น่าสนใจคือ เมืองนี้มีค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตที่ไม่สูงมาก มีพื้นที่ศิลปะและวัฒนธรรมมากมาย เช่น แกลเลอรี่ โรงภาพยนตร์อินดี้ และสถานที่แสดงดนตรีสด นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนจากรัฐบาลในการพัฒนาและส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ เมือง Melbourne, Australia มีลักษณะเด่นคือ Melbourne เป็นเมืองที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เป็นแหล่งรวมของคนที่มีความสามารถและมีการสร้างสรรค์โดยสภาพแวดล้อม Melbourne มีบรรยากาศทางวัฒนธรรมที่เฟื่องฟู มีเทศกาลทางวัฒนธรรมมากมาย เช่น เทศกาลศิลปะ เทศกาลดนตรี และเทศกาลภาพยนตร์ เมืองนี้ยังมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่หลากหลาย 6.เมือง Toronto, Canada มีลักษณะเด่นคือ Toronto เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงมาก มีการยอมรับและสนับสนุนความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม มีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง โดยสภาพแวดล้อม เมืองนี้มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัฒนธรรมมากมาย เช่น โรงละคร พิพิธภัณฑ์ และหอศิลป์ มีพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะมากมาย ทำให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และเหมาะสำหรับการทำงาน หรือประเทศไทย อย่างเชียงใหม่ ที่มีลักษณะเด่นคือเชียงใหม่มีลักษณะทางธรรมชาติที่งดงาม เป็นแหล่งรวมศิลปินและช่างฝีมือต่างๆ มีชุมชนศิลปะและวัฒนธรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสภาพแวดล้อมเชียงใหม่มีอากาศเย็นสบายตลอดปี มีตลาดศิลปะและชุมชนที่สนับสนุนศิลปิน นอกจากนี้ยังมีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจ เช่น วัดเชียงใหม่ และงานประเพณีต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสถาบันการศึกษาและมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เกาะสมุย มีลักษณะเด่นคือ เกาะสมุยมีชุมชนนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย มีบรรยากาศที่เป็นร่มเย็น และมีการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมและศิลปะต่างๆ โดยสภาพแวดล้อมของเกาะสมุยมีทะเลสวยงามและท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ มีที่พักและร้านอาหารที่หลากหลาย ทำให้เป็นที่ตั้งของกลุ่มคนที่รักความสงบสุขและการผจญภัยในธรรมชาติ เช่นเดียวกับเกาะพะงัน (สุราษฎร์ธานี) ที่มีลักษณะเด่นคือ เกาะพะงันเป็นสถานที่ที่มีชายหาดที่สวยงามและเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและการพักผ่อน โดยสภาพแวดล้อมของเกาะนี้มีธรรมชาติที่สวยงาม มีโอกาสในการทดลองกิจกรรมทางน้ำ เช่น ดำน้ำ และกีฬาทางน้ำต่างๆ นอกจากนี้ยังมีความเป็นส่วนตัวและบรรยากาศที่เงียบสงบ เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร ทีมีความหลากหลายของผู้คน มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ วักวาอาราม พิพิธภัณฑ์ หอศิลปะ สวนสาธารณะ ตลาด ร้านค้า มหาวิทยาลัยต่างๆจำนวนมาก มีห้างสรรพสินค้า มีระบบขนส่งมวลชนที่หลากหลาย ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเมืองในการดึงดูดและรักษา Creative Class ผ่านการสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง มีสิ่งอำนวยความสะดวกทางวัฒนธรรม และสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี หากจะมีข้อวิจารณ์หนังสือ "Cities and the Creative Class" โดย Richard Florida ผมมองว่าแม้ว่าจุดเด่นของหนังสือ จะนำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่างความคิดสร้างสรรค์และการพัฒนาเมือง กระบวนการวิเคราะห์สิ่งที่ทำให้เมืองกลายเป็นสถานที่ที่น่าอยู่และมีการสร้างสรรค์ มีการสนับสนุนข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ทางสถิติและการวิจัยที่ถูกต้อง แต่ก็มีข้อจำกัดของหนังสือ อาจเพราะการศึกษามีความเน้นเฉพาะในด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาเมือง โดยไม่คำนึงถึงด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นปัจจัยของผู้คน และมองชนขั้นที่สร้างสรรค์ที่เป็นชนขั้นกลาง มากกว่าที่จะมองว่า ชนชั้นที่สร้างสรรค์ อาจจะเป็นชนชั้นทั่วไป ทุกชนชั้นที่สร้างสรรค์ผ่านการประกอบอาชีพ การใช้ชีวิตประจำวันในเมือง ที่สร้างสีสรรค์ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม และการสะท้อนผ่านความหลากหลายของวิถีชีวิตของผู้คนในเมือง แต่กระนัันหนังสือเล่มนี้อาจเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับนักวางแผนเมือง นักพัฒนาเมือง นักศึกษาและผู้สนใจทั่วไปที่สนใจในการทำความเข้าใจความสำคัญของความคิดว่าด้วยการสร้างสรรค์ในการพัฒนาเมืองในปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...