ยังไม่นอนสังเคราะห์งานศึกษาชุมชนกะเหรี่ยง ไทดำ ลาวลุ่ม ลาวเทิง ที่ตัวเองทำ อยากสังเคราะห์ผ่านแนวคิดและระเบียบวิธีวิจัยมาเป็นงานวิชาการสักชิ้นหนึ่ง เลยหยิบหนังสือชื่อ The Relative Native: Essays on Indigenous Conceptual Worlds เป็นหนังสือที่รวบรวมบทความหลายเรื่องที่สำรวจแนวคิดและโลกทัศน์ของชนพื้นเมือง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจความคิดและความเชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาผ่านมุมมองทางชาติพันธุ์วรรณนา หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนโดย Eduardo Viveiros de Castro ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาชาวบราซิลที่มีชื่อเสียงในด้านการศึกษาชนพื้นเมืองในแอมะซอน โดยเฉพาะชนเผ่า Araweté และแนวคิดเกี่ยวกับ "perspectivism" ในทางมานุษยวิทยาได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2015
สาระสำคัญของหลังสือเล่มนี้ที่ได้ทบทวนมาประกอบด้วย
1. การทบทวนและสำรวจแนวคิดของชนพื้นเมือง ซึ่งการศึกษาในงานชิ้นนี้เน้นการทำความเข้าใจแนวคิดและความเชื่อของชนพื้นเมืองที่มีความหลากหลาย โดยพยายามเข้าใจจากมุมมองของชนพื้นเมืองเอง ไม่ใช่เพียงแค่มุมมองของนักวิจัยหรือคนนอกเท่านั้น
2. การเน้นความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและความเชื่อ โดยมีการวิเคราะห์ว่าวัฒนธรรมและความเชื่อของชนพื้นเมืองมีความสัมพันธ์กันอย่างไร และวิธีการที่ความเชื่อเหล่านี้สะท้อนถึงการดำรงชีวิตและการปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างไร
3. การทำความเข้าใจโลกทัศน์ของชนพื้นเมือง ผ่านสำรวจวิธีการที่ชนพื้นเมืองมองโลกและธรรมชาติรอบตัว เช่น แนวคิดเกี่ยวกับวิญญาณ จิตวิญญาณ และความสัมพันธ์กับธรรมชาติ
4.การวิเคราะห์เชิงวิพากษ์ โดยการวิพากษ์วิธีการที่วิทยาการตะวันตกมีแนวโน้มที่จะมองข้ามหรือทำให้แนวคิดของชนพื้นเมืองดูด้อยคุณค่า และเสนอแนวทางในการทำความเข้าใจแนวคิดของชนพื้นเมืองในแบบที่เป็นธรรมและมีความเคารพ
ตัวอย่างรูปธรรมในหนังสือรวมบทความนี้ อาทิเช่น
1. แนวคิดเรื่องวิญญาณและจิตวิญญาณ โดยการวิเคราะห์ความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณและจิตวิญญาณในชนพื้นเมือง เช่น ความเชื่อว่าธรรมชาติมีวิญญาณหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรเคารพ
2. พิธีกรรมและการปฏิบัติทางศาสนา ผ่านการศึกษาพิธีกรรมทางศาสนาและการปฏิบัติทางศาสนาของชนพื้นเมือง เช่น พิธีบูชาเทพเจ้า การประกอบพิธีกรรมเพื่อรักษาโรค หรือพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับฤดูกาลและการเกษตร
3. ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ โดยการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมืองกับธรรมชาติ เช่น การเกษตร การล่าสัตว์ การประมง และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อและวิถีชีวิตที่ยั่งยืน
4. การเล่าเรื่องและวรรณกรรมพื้นบ้าน ผ่านการศึกษาวรรณกรรมพื้นบ้าน นิทานพื้นเมือง และการเล่าเรื่องที่สะท้อนถึงค่านิยม ความเชื่อ และปรัชญาของชนพื้นเมือง
แนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญที่ใช้ในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
Relational Ontologies คือการทำความเข้าใจว่าชนพื้นเมืองมองว่าโลกและสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่สิ่งที่แยกออกจากกัน
Indigenous Epistemologies คือการทำความเข้าใจวิธีการที่ชนพื้นเมืองรับรู้และทำความเข้าใจโลกผ่านแนวคิดและกระบวนการของพวกเขาเอง
Critical Indigenous Studies คือการวิพากษ์การศึกษาเกี่ยวกับชนพื้นเมืองที่มีแนวโน้มจะถูกครอบงำโดยมุมมองตะวันตก และเสนอแนวทางที่ให้ความเคารพและเข้าใจความคิดและความเชื่อของชนพื้นเมือง
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 1
ความเชื่อเรื่องวิญญาณในชนเผ่าพื้นเมืองอเมซอน
หนึ่งในบทความในหนังสืออาจสำรวจความเชื่อเรื่องวิญญาณของชนเผ่าในป่าอเมซอน เช่น ชนเผ่า Yanomami ซึ่งชนเผ่า Yanomami เชื่อว่าวิญญาณมีอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ พืช หรือแม้กระทั่งภูมิประเทศ เช่น ภูเขาและแม่น้ำ วิญญาณเหล่านี้มีอิทธิพลต่อชีวิตและสุขภาพของคนในเผ่า
โดยวิธีการศึกษาเรื่องดังกล่าว นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตภาคสนามและการสัมภาษณ์ชนพื้นเมือง เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่พวกเขามองว่าวิญญาณมีบทบาทในชีวิตประจำวัน เช่นในพิธีกรรมหนึ่ง ชนเผ่า Yanomami จะประกอบพิธีเพื่อเรียกวิญญาณมาช่วยรักษาโรค โดยใช้สมุนไพรที่มีความเชื่อว่าสามารถเรียกวิญญาณได้ นักวิจัยอาจบันทึกวิธีการประกอบพิธีและความหมายของแต่ละขั้นตอนในพิธีกรรมนี้
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 2
พิธีกรรมและการเล่าเรื่องในชุมชนชนพื้นเมือง เช่นการสำรวจการเล่าเรื่องและพิธีกรรมในชุมชนชนพื้นเมืองในออสเตรเลีย เช่น ชนเผ่า Yolngu โดยชนเผ่า Yolngu มีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านของชีวิต เช่น พิธีบวชสำหรับเด็กหนุ่ม การแต่งงาน และการฝังศพ ในทุกพิธีกรรมจะมีการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของชนเผ่าและเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ
โดยใช้วิธีการศึกษา ผ่านการสังเกตและบันทึกพิธีกรรมและการเล่าเรื่องของชนเผ่า Yolngu รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุและนักเล่าเรื่องในชุมชน เช่นในพิธีกรรมการฝังศพของชนเผ่า Yolngu จะมีการวาดภาพลงบนร่างกายของผู้ร่วมพิธี เพื่อเป็นการสื่อสารกับวิญญาณและบรรพบุรุษ นักวิจัยอาจบันทึกขั้นตอนการวาดภาพ การเลือกใช้สีและลวดลาย และการเล่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภาพวาดเหล่านั้น
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 3
ความสัมพันธ์กับธรรมชาติในชนเผ่าพื้นเมืองแอฟริกา
บทความอีกบทหนึ่งอาจสำรวจความสัมพันธ์กับธรรมชาติในชนเผ่าพื้นเมืองในแอฟริกา เช่น ชนเผ่า Maasai ในเคนยา ซึ่งชนเผ่า Maasai มีระบบการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืน โดยมีความเชื่อว่าทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ เช่น น้ำและทุ่งหญ้า เป็นของขวัญจากเทพเจ้าและควรใช้ด้วยความเคารพและระมัดระวัง
โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสัมภาษณ์และการสังเกตชีวิตประจำวันของชนเผ่า Maasai เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในพิธีกรรมการขอฝน ชนเผ่า Maasai จะมีการเต้นรำและร้องเพลงเพื่อขอฝนจากเทพเจ้า นักวิจัยอาจบันทึกการเต้นรำและเพลงที่ใช้ในพิธีกรรมนี้ รวมถึงการสัมภาษณ์สมาชิกในชุมชนเกี่ยวกับความเชื่อที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 4
แนวคิดเรื่องเวลาในชนเผ่า Navajo ซึ่งชนเผ่า Navajo มีแนวคิดเรื่องเวลาที่แตกต่างจากแนวคิดทางตะวันตก โดยพวกเขาอาจมองว่าเวลามีความต่อเนื่องและไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
โดยวิธีการศึกษานั้น นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์สมาชิกของชนเผ่า Navajo เพื่อทำความเข้าใจแนวคิดเรื่องเวลาและการจัดการเวลาของพวกเขาในพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีรักษาโรคที่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ นักวิจัยอาจบันทึกวิธีการที่เวลาถูกจัดการและใช้ในพิธีกรรมนี้ โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และวิญญาณของบรรพบุรุษที่ถือว่าอยู่ในปัจจุบัน
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 5
การใช้ภาษาและการเล่าเรื่องในชนเผ่า Hopi ซึ่งชนเผ่า Hopi มีวิธีการใช้ภาษาที่ซับซ้อนและมีความสัมพันธ์กับโลกทัศน์และความเชื่อของพวกเขา ภาษาและการเล่าเรื่องมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และประเพณีจากรุ่นสู่รุ่น
โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสังเกตและบันทึกการใช้ภาษาของชนเผ่า Hopi โดยเฉพาะในบริบทของการเล่าเรื่องและพิธีกรรม โดยนักวิจัยอาจบันทึกการเล่าเรื่องในพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีสวดมนต์เพื่อการเกษตร โดยบันทึกคำพูดและสัญลักษณ์ที่ใช้ในเรื่องราว และวิเคราะห์วิธีการที่เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนา
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 6
การปฏิบัติทางการแพทย์ในชนเผ่า Zulu โดยหมอพื้นบ้านในชนเผ่า Zulu ใช้วิธีการรักษาแบบดั้งเดิมที่รวมถึงการใช้สมุนไพร การสวดมนต์ และการทำพิธีกรรมเพื่อรักษาโรค พวกเขามีความเชื่อว่าโรคบางอย่างเกิดจากวิญญาณหรือการไม่เคารพต่อบรรพบุรุษ
โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสัมภาษณ์และการสังเกตการปฏิบัติทางการแพทย์ของหมอพื้นบ้านและสมาชิกในชุมชนชนเผ่า Zulu โดยนักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการรักษาโรค เช่น การเตรียมสมุนไพร การสวดมนต์ และการทำพิธีกรรม รวมถึงการสัมภาษณ์หมอพื้นบ้านเกี่ยวกับความเชื่อและหลักการที่อยู่เบื้องหลังการรักษาเหล่านี้
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 7
การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชนเผ่า Inuit ซึ่งชนเผ่า Inuit มีวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่เน้นความยั่งยืนและเคารพต่อธรรมชาติ พวกเขาใช้ความรู้ดั้งเดิมในการตัดสินใจเกี่ยวกับการล่าสัตว์และการประมง เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
โดยใช้วิธีการศึกษาผ่านการสังเกตและการสัมภาษณ์สมาชิกของชนเผ่า Inuit เกี่ยวกับวิธีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การล่าสัตว์และการประมง ซึ่งนักวิจัยอาจบันทึกวิธีการล่าและการประมง รวมถึงการประชุมและการตัดสินใจของชุมชนเกี่ยวกับการจัดการทรัพยากร โดยเน้นวิธีการที่ความรู้ดั้งเดิมถูกใช้และถ่ายทอดอย่างไร
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 8
ระบบเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนในชนเผ่า Trobriand โดยชนเผ่า Trobriand มีระบบการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า "Kula Ring" ซึ่งเป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนวัตถุสำคัญสองชนิด ได้แก่ กำไลแขน (mwali) และสร้อยคอ (soulava) ที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างเกาะต่างๆ เพื่อสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม
โดยใช้วิธีการศึกษา ที่นักวิจัยอาจใช้วิธีการสังเกตและการสัมภาษณ์เพื่อทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนของชนเผ่า Trobriand ในหมู่เกาะ Trobriand นักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการแลกเปลี่ยน Kula Ring รวมถึงการเตรียมพิธีกรรม การเดินทางระหว่างเกาะ และการแลกเปลี่ยนวัตถุสำคัญ โดยวิเคราะห์วิธีการที่ระบบ Kula Ring สร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองในชุมชน
ตัวอย่างรูปธรรมที่ 9 ความเชื่อและพิธีกรรมเกี่ยวกับการเกษตรในชนเผ่า Ifugao ซึ่ง ชนเผ่า Ifugao มีระบบการเกษตรแบบขั้นบันไดที่ซับซ้อน และมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูกข้าว เช่น พิธีกรรมการขอฝน การขอบคุณเทพเจ้าแห่งข้าว และพิธีกรรมการเก็บเกี่ยวที่สะท้อนถึงความเชื่อในเทพเจ้าและวิญญาณของบรรพบุรุษ
โดยวิธีการศึกษา อาจใช้การสังเกตและบันทึกพิธีกรรมและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรในชนเผ่า Ifugao ในฟิลิปปินส์ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้สูงอายุและผู้นำชุมชน ซึ่งนักวิจัยอาจบันทึกกระบวนการปลูกข้าวในนาขั้นบันได การเตรียมพิธีกรรม การสวดมนต์และการร้องเพลงที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร รวมถึงการสัมภาษณ์เกี่ยวกับความเชื่อและประเพณีที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
บทสรุป
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่นักวิจัยใช้ในการศึกษาความเชื่อและพิธีกรรมของชนพื้นเมือง โดยเน้นการทำความเข้าใจจากมุมมองของชนพื้นเมืองเอง และการนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เป็นรูปธรรมและชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจแนวคิดและความเชื่อของชนพื้นเมืองได้อย่างลึกซึ้งและเคารพในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายของพวกเขา
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น