ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัฒนธรรมการนอน : มุมมองทางมานุษยวิทยา

มีคนที่ผมนับถือท่านหนึ่ง เคยบอกผมว่า “ต้นต้องทำงานวิชาการ อย่าทิ้งงานวิชาการ แม้จะมีภาระอะไรก็ตาม ต้องทำมันตลอด เพราะเชื่อว่าต้นเหมาะกับงานแบบนี้“ ผมจึงพยามตัดสิ่งที่มารบกวนหรือบั่นทอนชีวิตออกไป หาความสงบให้ตัวเอง ได้อ่านและเขียนงานตลอดเวลา เพราะคือสิ่งที่ผมมีความสุขที่สุด บางเรื่องผมก็ควรปล่อยวาง ไม่ควรมีคำถามมากมายรบกวนจิตใจมากนัก เพราะโลกก็เป็นแบบนี้แล .. ***มานุษยวิทยากับการนอน*** ถือเป็นนักมานุษยวิทยาอีกคนหนึ่งที่ผมชื่นชอบ อ่านตั้งแต่ Anthropology of Monsters มาถึงเรื่องการนอนของคนพื้นเมือง คือ Yasmine Musharbash Yasmine Musharbash ได้รับปริญญาเอกด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University) เธอทำการวิจัยภาคสนามในชุมชนชนพื้นเมืองหลายแห่งในออสเตรเลีย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ท้าทายและมีความสำคัญทางวัฒนธรรม เธอเขียน หนังสือหลายเล่ม บทความชิ้นสำคัญคือ Embodied Meaning: Sleeping Arrangements in Central Australia นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการต่าง ๆ โดยเน้นไปที่การศึกษาวัฒนธรรมการนอนหลับและความฝันในกลุ่มชนพื้นเมืองโดยงานวิจัยของเธอมุ่งเน้นไปที่ความหมายทางวัฒนธรรมและสังคมของการนอนหลับ การใช้ชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์ทางสังคมในชุมชนชนพื้นเมือง บทความ Embodied Meaning: Sleeping Arrangements in Central Australia (2013) โดย Yasmine Musharbash เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Sleep Around the World เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการจัดการที่พักนอนในกลุ่มชนพื้นเมืองในภาคกลางของออสเตรเลีย ซึ่งให้ความสำคัญกับความหมายเชิงวัฒนธรรมและสังคมของวิธีการจัดการที่พักนอนในชุมชนเหล่านี้ สาระสำคัญของหนังสือ 1. ความหมายเชิงวัฒนธรรมของที่พักนอน หนังสือเน้นการสำรวจความหมายทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการจัดที่พักนอนในชุมชนพื้นเมือง โดยอธิบายว่าการนอนหลับและที่พักนอนไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมทางกายภาพ แต่ยังเป็นการสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมของชุมชน การจัดการที่พักนอนแสดงถึงการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น ความใกล้ชิด ความเคารพ และบทบาททางสังคม 2.โครงสร้างทางสังคม การจัดการที่พักนอนในกลุ่มชนพื้นเมืองสะท้อนถึงลำดับชั้นทางสังคม และวิธีการที่สมาชิกในชุมชนมีปฏิสัมพันธ์กัน หนังสือสำรวจว่าความสัมพันธ์ทางครอบครัวและสังคมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดตำแหน่งที่บุคคลจะนอนหลับ 3. การจัดการที่พักนอนในชีวิตประจำวัน อธิบายถึงวิธีการที่ชนพื้นเมืองจัดการที่พักนอนในชีวิตประจำวันและในโอกาสพิเศษต่าง ๆ วิธีการเหล่านี้สะท้อนถึงการปรับตัวตามฤดูกาล สภาพแวดล้อม และเหตุการณ์ทางสังคมที่เกิดขึ้น 4. ความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม เป็นการสำรวจว่าชนพื้นเมืองมีความสัมพันธ์อย่างไรกับสิ่งแวดล้อมในการจัดการที่พักนอน และวิธีการที่พวกเขาเลือกสถานที่นอนหลับตามธรรมชาติ 5.การเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่อง การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในการจัดการที่พักนอนเมื่อชนพื้นเมืองต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมจากภายนอก นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบว่าชนพื้นเมืองยังคงรักษาและปรับตัวอย่างไรกับวิถีชีวิตดั้งเดิมท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ บทความชิ้นนี้มีความสำคัญเนื่องจากให้ภาพรวมที่ละเอียดและครอบคลุมเกี่ยวกับความหมายและการจัดการที่พักนอนในชุมชนพื้นเมืองในภาคกลางของออสเตรเลีย ซึ่งมีคุณค่าในการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมและสังคมของชนพื้นเมือง ทั้งในด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ในบทความนี้มีตัวอย่างเชิงรูปธรรมหลายประการที่น่าสนใจซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดการที่พักนอนของชนพื้นเมืองในภาคกลางของออสเตรเลีย และความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการจัดการเหล่านั้น เช่น 1. การจัดการที่พักนอนในครอบครัว ในชุมชนพื้นเมืองหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวมักจะนอนรวมกันในพื้นที่เปิดโล่ง โดยมีการจัดตำแหน่งที่นอนตามอายุและสถานะในครอบครัว ผู้สูงอายุจะนอนใกล้กับศูนย์กลางของกลุ่มเพื่อแสดงถึงความเคารพและเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาได้รับการปกป้องจากผู้อ่อนกว่า เช่นเดียวกับเด็ก ๆ มักจะนอนใกล้กับพ่อแม่หรือผู้ปกครองเพื่อความปลอดภัยและการดูแล 2. การนอนนอกสถานที่ในงานพิธีกรรม ในช่วงงานพิธีกรรมหรือเทศกาลทางศาสนา ชนพื้นเมืองจะจัดการที่พักนอนในรูปแบบพิเศษ ซึ่งอาจมีการนอนแยกตามกลุ่มอายุหรือเพศเพื่อปฏิบัติตามประเพณีทางศาสนา ตัวอย่างหนึ่งคืองานพิธีเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กชายที่เข้าร่วมพิธีจะต้องนอนแยกจากครอบครัวและนอนใกล้กับพื้นที่พิธีกรรม เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานะทางสังคม และสถานะของพวกเขาจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ 3. การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม ในฤดูหนาว ชนพื้นเมืองจะนอนในที่ที่มีความอบอุ่นมากกว่า เช่น ใกล้กับกองไฟหรือในที่ที่มีการสร้างกำแพงป้องกันลมเย็น ในขณะที่ในฤดูร้อน พวกเขาจะนอนในที่ที่มีลมพัดเย็นสบาย เช่น ใต้ต้นไม้ใหญนอกจากนี้การเลือกสถานที่นอนยังคำนึงถึงการป้องกันสัตว์ร้ายและการเข้าถึงแหล่งน้ำดื่ม 4. การนอนในกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง ในบางชุมชน มีการนอนแยกกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ การแยกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มเพศเดียวกัน ดังเช่นในกรณีของกลุ่มผู้ชาย การนอนร่วมกันยังเป็นโอกาสในการถ่ายทอดความรู้และทักษะต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันด้วย 5. การนอนในช่วงการเดินทาง ในช่วงการเดินทางหรือการย้ายถิ่นฐาน ชนพื้นเมืองจะมีการจัดการที่พักนอนชั่วคราว ซึ่งมักจะเป็นการนอนในที่โล่งหรือสร้างที่พักชั่วคราวด้วยวัสดุธรรมชาติ ซึ่งการจัดการที่พักนอนในช่วงการเดินทางมักจะคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะดวกในการเคลื่อนย้าย ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการที่พักนอนไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของการพักผ่อน แต่ยังเป็นกระบวนการที่สะท้อนถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ทางสังคมของชนพื้นเมืองในภาคกลางของออสเตรเลีย ชนเผ่าพื้นเมืองหลายเผ่าที่อาศัยอยู่ในภาคกลางของออสเตรเลียมีการจัดการที่พักนอน ที่สะท้อนความหมายทางวัฒนธรรมของพวกเขา ตัวอย่างชนเผ่าที่น่าสนใจ ได้แก่ 1. Anangu (Pintupi และ Pitjantjatjara) ชนเผ่า Anangu เป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ทะเลทราย Gibson และ Great Victoria โดยมีความเป็นเอกลักษณ์ในการจัดการที่พักนอนในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแห้งแล้งและท้าทาย พวกเขามีการสร้างที่พักนอนชั่วคราวที่เรียกว่า “wiltjas” ซึ่งทำจากกิ่งไม้และใบไม้เพื่อป้องกันแสงแดดและลม 2. Arrernte (Aranda) ชนเผ่า Arrernte อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เมือง Alice Springs และมีวิธีการจัดการที่พักนอนที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมของพวกเขา โดยการจัดการที่พักนอนของ Arrernte มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งของบุคคลในโครงสร้างครอบครัวและเครือญาติ 3. Warlpiri ชนเผ่า Warlpiri อาศัยอยู่ในพื้นที่ Tanami Desert โดยมีวิธีการจัดการที่พักนอนที่เน้นการสร้างความปลอดภัยและความอบอุ่นในสภาพแวดล้อมที่หนาวเย็นในตอนกลางคืนและร้อนในตอนกลางวัน โดยพวกเขามีการใช้ไฟและที่พักชั่วคราวเพื่อสร้างความอบอุ่นในช่วงเวลากลางคืน 4. Yolngu ชนเผ่า Yolngu อาศัยอยู่ในพื้นที่ Arnhem Land ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย แม้ว่า Yolngu จะไม่อยู่ในภาคกลางของออสเตรเลีย แต่การศึกษาของ Adair มักใช้การเปรียบเทียบกับชนเผ่าที่อยู่ในภาคกลางเพื่อเน้นความแตกต่างและความเหมือนในการจัดการที่พักนอน โดย Yolngu มีการจัดการที่พักนอนในที่โล่งและใช้วัสดุธรรมชาติในการสร้างที่พักชั่วคราว 5. Luritja ชนเผ่า Luritja อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาและทะเลทราย โดยมีวิธีการจัดการที่พักนอนที่ปรับตัวตามสภาพภูมิประเทศและสภาพอากาศโดยการจัดการที่พักนอนของพวกเขามีการใช้กิ่งไม้และใบไม้เพื่อสร้างที่พักชั่วคราวและป้องกันลม 6. Kaytetye ชนเผ่า Kaytetye อาศัยอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายทางตอนเหนือของออสเตรเลีย พวกเขามีการจัดการที่พักนอนโดยใช้วัสดุธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้และใบไม้ เพื่อสร้างที่พักชั่วคราวที่เรียกว่า “humpies” การนอนหลับในพื้นที่เปิดโล่งเป็นวิธีหนึ่งที่ Kaytetye ใช้ในการปรับตัวตามสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง 7. Warumungu ชนเผ่า Warumungu อยู่ในบริเวณ Tennant Creek พวกเขามีการจัดการที่พักนอนที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางครอบครัวและความเป็นชุมชน ในบางโอกาส เช่น งานพิธีกรรมทางศาสนาและเทศกาลประจำปี ชนเผ่า Warumungu จะสร้างที่พักชั่วคราวที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มคนจำนวนมาก 8. Tiwi ชนเผ่า Tiwi อยู่บนหมู่เกาะ Tiwi ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย แม้ว่าจะไม่อยู่ในภาคกลาง แต่การศึกษาของ Adair อาจนำตัวอย่าง Tiwi มาเพื่อเปรียบเทียบและแสดงถึงความหลากหลายในการจัดการที่พักนอนของชนพื้นเมืองออสเตรเลีย โดย Tiwi มีการสร้างที่พักนอนที่เรียกว่า “marrngawi” ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้ที่มีหลังคาทำจากใบปาล์ม เพื่อป้องกันลมและฝน 9. Ngaanyatjarra ชนเผ่า Ngaanyatjarra อยู่ในพื้นที่ทะเลทราย Great Victoria พวกเขามีการจัดการที่พักนอนโดยใช้วัสดุธรรมชาติและการสร้างที่พักชั่วคราวที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ง่าย โดย Ngaanyatjarra ใช้การนอนหลับในพื้นที่เปิดโล่งในช่วงฤดูร้อน และการสร้างที่พักที่มีโครงสร้างแข็งแรงในช่วงฤดูหนาว 10. Walmajarri ชนเผ่า Walmajarri อาศัยอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายทางตะวันตกของออสเตรเลีย พวกเขามีการจัดการที่พักนอนที่เน้นการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ พวกเขามีการสร้างที่พักชั่วคราวโดยใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้ ใบไม้ และหญ้า เป็นวิธีหนึ่งที่ Walmajarri ใช้เพื่อสร้างความอบอุ่นและปลอดภัยในเวลากลางคืน 11. ชนพื้นเมืองในพื้นที่ Yuendumu ซึ่งแสดงถึงความใกล้ชิดและความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น สมาชิกในครอบครัวมักนอนหลับใกล้กันในพื้นที่เปิดโล่ง โดยจัดตำแหน่งที่นอนตามอายุและสถานะ การนอนหลับในงานพิธีกรรม ในช่วงงานพิธีกรรมหรือเทศกาลทางศาสนา ชนพื้นเมืองมักจัดการที่พักนอนเป็นพิเศษ เช่น การนอนแยกตามกลุ่มอายุหรือเพศเพื่อปฏิบัติตามประเพณีทางศาสนา เช่น พิธีเฉลิมฉลองการเปลี่ยนผ่านของวัยเด็กสู่ผู้ใหญ่ ซึ่งเด็กชายที่เข้าร่วมพิธีจะนอนแยกจากครอบครัวและใกล้กับพื้นที่พิธีกรรม เพื่อแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของสถานะทางสังคม การนอนหลับในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย ชนพื้นเมืองมีวิธีการจัดการที่พักนอนในสภาพแวดล้อมที่ท้าทาย เช่น ในช่วงฤดูหนาว ชนพื้นเมืองจะนอนในที่ที่มีความอบอุ่นมากกว่า เช่น ใกล้กับกองไฟหรือในที่ที่มีการสร้างกำแพงป้องกันลมเย็น หรือการเลือกสถานที่นอนหลับในพื้นที่ทะเลทรายและการใช้วัสดุธรรมชาติในการสร้างที่พักเป็นการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ การนอนหลับในกลุ่มผู้ชายและผู้หญิง ในบางชุมชนมีการนอนแยกกันระหว่างผู้ชายและผู้หญิง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นและผู้ใหญ่ การแยกนี้ไม่เพียงแต่เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่มเพศเดียวกัน ในกรณีของกลุ่มผู้ชาย การนอนร่วมกันยังเป็นโอกาสในการถ่ายทอดความรู้และทักษะต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ทางสังคมและวัฒนธรรม การศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่าเหล่านี้ ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการจัดการที่พักนอนและความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ซ่อนอยู่ในกิจกรรมเหล่านี้ นอกจากนี้ยังเน้นย้ำถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองในภาคกลางของออสเตรเลีย อีกทั้งการจัดการที่พักนอนไม่เพียงแต่เป็นการตอบสนองต่อความต้องการทางกายภาพ แต่ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ทางสังคม และการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมอีกด้วย หากพิจารณาการนอนหลับของชนพื้นเมืองในออสเตรเลียมีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากการนอนหลับของคนในสังคมสมัยใหม่ ทั้งในแง่ของการจัดการที่พักนอน ความหมายทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิต ต่อไปนี้เป็นจุดที่น่าสนใจในความแตกต่างเหล่านี้ อาทิเช่น การจัดการที่พักนอนของชนพื้นเมือง มีลักษณะที่น่าสนใจคือ ลักษณะแบบที่พักชั่วคราว ไม่ถาวร โดยชนพื้นเมืองมักจะสร้างที่พักชั่วคราวจากวัสดุธรรมชาติ เช่น กิ่งไม้ ใบไม้ และหญ้า ที่สามารถปรับเปลี่ยนและเคลื่อนย้ายได้ง่าย โดยที่พักเหล่านี้มักจะเรียบง่ายและเปิดโล่ง เพื่อให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศ การสร้างที่พักกลางแจ้ง ในหลายกรณี ชนพื้นเมืองนอนหลับในที่โล่งแจ้ง โดยเฉพาะในฤดูร้อนที่อากาศร้อน การนอนหลับใต้ท้องฟ้าช่วยให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น การจัดการที่หลับนอนในสังคมสมัยใหม่ มีลักษณะที่น่าสนใจคือ การสร้างที่พักถาวร โดยคนในสังคมสมัยใหม่มักนอนหลับในบ้านหรืออพาร์ตเมนต์ที่สร้างขึ้นอย่างถาวร มีโครงสร้างแข็งแรงและใช้วัสดุก่อสร้างทันสมัย เช่น อิฐ คอนกรีต และเหล็ก การมีห้องนอนส่วนตัว โดยห้องนอนส่วนตัวเป็นเรื่องปกติในสังคมสมัยใหม่ โดยมีเตียงนอน หมอน และเครื่องนอนที่ออกแบบมาเพื่อความสบายและรองรับการนอนหลับที่มีคุณภาพ 3. ความหมายทางวัฒนธรรมและสังคม ในมุมมองของชนพื้นเมือง สะท้อนความสัมพันธ์ทางสังคม โดยการจัดการที่พักนอนของชนพื้นเมืองมักสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น การนอนหลับรวมกันในครอบครัวหรือกลุ่มญาติ การจัดตำแหน่งที่นอนตามอายุและสถานะ โดยการนอนหลับใกล้กันเป็นวิธีหนึ่งในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม โดยชนพื้นเมืองมักจะปรับการนอนหลับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เช่น การนอนในที่โล่งในฤดูร้อน หรือการสร้างที่พักที่อบอุ่นในฤดูหนาว ในขณะที่สังคมสมัยใหม่ เน้นความเป็นส่วนตัว โดย การนอนหลับในสังคมสมัยใหม่มักเน้นความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะในวัฒนธรรมตะวันตกที่ห้องนอนส่วนตัวเป็นที่ยอมรับ การนอนหลับร่วมกันในครอบครัวหรือกลุ่มใหญ่ไม่ใช่เรื่องปกติ ยกเว้นในกรณีพิเศษ เช่น การไปตั้งแคมป์ ท่องเที่ยวเป็นต้น ลักษณะเด่นขอการนอนหลับในสมัยใหม่คือ การนอนหลับตามตารางเวลา โดยคนในสังคมสมัยใหม่มักมีตารางเวลาที่แน่นอนในการนอนหลับ เนื่องจากต้องปฏิบัติงานหรือไปโรงเรียนตามเวลาที่กำหนด โดยการนอนหลับที่มีคุณภาพมักได้รับความสำคัญ โดยมีการใช้เทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการนอนหลับในที่ดี ในมุมมองในด้านสุขภาพและการดูแลตัวเอง ในชุมชนของชนพื้นเมือง การนอนหลับเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต การนอนหลับเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตที่ผสมผสานกับกิจกรรมประจำวันอื่น ๆ เช่น การล่าสัตว์ การเก็บของป่า และการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา โดยชนพื้นเมืองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับธรรมชาติและมักมีการนอนหลับที่ปรับตามสภาพแวดล้อมโดยธรรมชาติ ในสังคมสมัยใหม่ การดูแลสุขภาพการนอนหลับ การนอนหลับที่มีคุณภาพเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพในสังคมสมัยใหม่ มีการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยี เช่น ที่นอนคุณภาพสูง เครื่องปรับอากาศ และแอปพลิเคชันติดตามการนอนหลับ ในขณะเดียวกันความเครียดและการทำงานที่ไม่เป็นเวลาปกติอาจมีผลกระทบต่อการนอนหลับในสังคมสมัยใหม่ สรุป การนอนหลับของชนพื้นเมืองและคนในสังคมสมัยใหม่มีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งในแง่ของการจัดการที่พักนอน ความหมายทางวัฒนธรรม และการดูแลสุขภาพการนอนหลับ ความแตกต่างเหล่านี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตและค่านิยมที่ต่างกันระหว่างสองสังคมนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...