พอจะว่าด้วยเรื่องความเจ็บป่วยทางจิตในมิติทางวัฒนธรรม ทำให่นึกถึงหนังสือเรื่อง Rethinking Psychiatry: From Cultural Category to Personal Experience (1988) โดย Arthur Kleinman เป็นหนังสือที่มีความสำคัญในด้านจิตเวชศาสตร์ทางวัฒนธรรม หนังสือเล่มนี้สำรวจการรับรู้และการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตในบริบททางวัฒนธรรมต่าง ๆ และมีประเด็นหลัก ๆ ดังนี้
1. จิตเวชศาสตร์และวัฒนธรรม
Kleinman อธิบายว่าความเจ็บป่วยทางจิตไม่ได้เป็นเพียงปัญหาทางกายภาพ ชีวภาพหรือจิตวิทยา แต่ยังมีมิติทางวัฒนธรรมที่สำคัญ ความหมายและการรับรู้ความเจ็บป่วยทางจิตจะแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรม ซึ่งมีผลต่อวิธีการรักษาและการดูแลผู้ป่วย
2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมในการรับรู้และการรักษา
Kleinman กล่าวถึงวิธีที่ต่างวัฒนธรรมมีการตีความและจัดการกับความเจ็บป่วยทางจิตอย่างไร ตัวอย่างเช่น บางวัฒนธรรมอาจมองความเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลมาจากพลังเหนือธรรมชาติหรือการลงโทษทางศาสนา ในขณะที่วัฒนธรรมอื่นอาจมองว่าเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่สามารถรักษาได้ด้วยยาหรือการบำบัด
3. ความสำคัญของประสบการณ์ส่วนบุคคล
Kleinman เน้นถึงความสำคัญของการเข้าใจประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้ป่วยทางจิต ซึ่งรวมถึงความรู้สึก อารมณ์ และการรับรู้ของพวกเขา การรักษาความเจ็บป่วยทางจิตไม่ควรมุ่งเน้นเพียงแค่การวินิจฉัยและการรักษาเชิงชีวภาพเท่านั้น แต่ควรคำนึงถึงประสบการณ์ชีวิตและบริบททางสังคมของผู้ป่วยด้วย
4. การบูรณาการวิธีการทางวัฒนธรรมและชีวภาพ
โดย Kleinman เสนอว่าการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตควรมีการบูรณาการวิธีการทางวัฒนธรรมและชีวภาพเข้าด้วยกัน การรับรู้และการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตต้องอาศัยการเข้าใจวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้ป่วย ควบคู่ไปกับการใช้วิธีการทางการแพทย์สมัยใหม่
5. การวิพากษ์วิจารณ์การแพทย์ตะวันตก
Kleinman วิพากษ์วิจารณ์การแพทย์ตะวันตกที่มักมองข้ามมิติทางวัฒนธรรมและสังคมของความเจ็บป่วยทางจิต Kleinman ชี้ให้เห็นว่าการแพทย์ตะวันตกมักเน้นการรักษาที่มุ่งเน้นเพียงด้านชีวภาพและการใช้ยา โดยไม่คำนึงถึงประสบการณ์ชีวิตและบริบททางสังคมของผู้ป่วยที่มีความสำคัญ
หนังสือ Rethinking Psychiatry: From Cultural Category to Personal Experience จึงเป็นการเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงมุมมองและวิธีการในการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต โดยให้ความสำคัญกับมิติทางวัฒนธรรมและประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้ป่วย ซึ่งจะนำไปสู่การรักษาที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากขึ้น
Arthur Kleinman ใช้แนวคิดหลายประการที่เน้นถึงความสำคัญของบริบททางวัฒนธรรมและประสบการณ์ส่วนบุคคลในการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต แนวคิดหลักที่เขาใช้มีดังนี้
1.Illness vs. Disease
โดย Kleinman แยกแยะระหว่าง Illness และDisease คำว่า “ Disease” หมายถึงภาวะทางชีวภาพที่สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ทางการแพทย์ ส่วน “Illness”หมายถึงประสบการณ์ส่วนบุคคลของผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ซึ่งรวมถึงการรับรู้และการตอบสนองต่ออาการ การแยกแยะนี้เน้นให้เห็นว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงทั้งมิติทางชีวภาพและประสบการณ์ส่วนบุคคล
2.Explanatory Models
Kleinman ใช้แนวคิด explanatory models เพื่ออธิบายว่าผู้ป่วยและผู้รักษามักมีความเข้าใจที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต การทำความเข้าใจและเคารพความแตกต่างเหล่านี้สามารถช่วยให้การสื่อสารและการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. Cultural Construction of Illness
โดย Kleinman เน้นว่าความเจ็บป่วยทางจิตไม่สามารถแยกออกจากบริบททางวัฒนธรรมได้ วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิธีที่ผู้คนรับรู้และตอบสนองต่อความเจ็บป่วย รวมถึงการหาทางรักษา ตัวอย่างเช่น การมองเห็นโรคจิตเภทในบริบทที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่การรักษาที่แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมนั้น ๆ
4. Ethnography and Participant Observation
Kleinman ใช้วิธีการวิจัยทางมานุษยวิทยา เช่น การสังเกตการณ์และการสัมภาษณ์ เพื่อเข้าใจประสบการณ์และความเชื่อของผู้ป่วยในบริบททางวัฒนธรรมของพวกเขา วิธีการนี้ช่วยให้เขาได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่ผู้ป่วยรับรู้และจัดการกับความเจ็บป่วยของพวกเขา
5. Therapeutic Alliance
Kleinman เน้นความสำคัญของ therapeutic alliance หรือความร่วมมือทางการรักษาระหว่างผู้ป่วยและผู้รักษา ความเข้าใจและเคารพในบริบททางวัฒนธรรมของผู้ป่วยสามารถช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความร่วมมือที่ดีในการรักษา
6. Social Suffering
โดย แนวคิด social suffering ชี้ให้เห็นว่าความเจ็บป่วยทางจิตไม่เพียงแต่เป็นปัญหาส่วนบุคคล แต่ยังเป็นผลมาจากปัจจัยทางสังคมและการเมือง เช่น ความยากจน การกีดกันทางสังคม และการเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ การรักษาจึงควรคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย
7. Biopsychosocial Model
Kleinman สนับสนุนแนวคิด biopsychosocial model ซึ่งเน้นการรวมปัจจัยทางชีวภาพ จิตวิทยา และสังคมเข้าด้วยกันในการวินิจฉัยและการรักษาความเจ็บป่วยทางจิต วิธีการนี้ช่วยให้การรักษาครอบคลุมและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
8. Critique of Biomedical Reductionism*
โดย Kleinman วิพากษ์วิจารณ์การมองโรคจิตเวชผ่านมุมมองทางชีวภาพเท่านั้น (biomedical reductionism) เขาชี้ให้เห็นว่าการรักษาที่เน้นเพียงด้านชีวภาพและการใช้ยาอาจไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมิติทางวัฒนธรรมและสังคมถูกมองข้าม
แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้ Kleinman สามารถนำเสนอการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตที่มีความครอบคลุมและสอดคล้องกับประสบการณ์และบริบททางวัฒนธรรมของผู้ป่วยมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
Arthur Kleinman ใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากการวิจัยและการทำงานภาคสนามของเขา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมิติทางวัฒนธรรมและประสบการณ์ส่วนบุคคลในจิตเวชศาสตร์ ตัวอย่างที่น่าสนใจบางส่วนได้แก่
1. การรักษาความเจ็บป่วยทางจิตในประเทศจีน
Kleinman ได้ศึกษากรณีของผู้ป่วยที่มีอาการโรคซึมเศร้าในประเทศจีน ซึ่งมักถูกตีความในบริบททางวัฒนธรรมว่าเป็นปัญหาทางกายภาพมากกว่าปัญหาทางจิต ผู้ป่วยในจีนมักแสดงอาการทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดหลัง หรือปวดท้อง ซึ่งต่างจากอาการทางอารมณ์ที่พบมากในตะวันตก การรักษาในจีนจึงมักเน้นไปที่การรักษาทางกายภาพ เช่น การใช้สมุนไพรจีนหรือการนวด มากกว่าการให้ยาหรือการบำบัดทางจิตวิทยา
2. ความหมายทางวัฒนธรรมของโรคจิตเภท (Schizophrenia) ในไต้หวัน
Kleinman ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับความหมายและการจัดการโรคจิตเภทในไต้หวัน ผู้ป่วยและครอบครัวในไต้หวันมักมองว่าโรคจิตเภทเป็นผลมาจากความไม่สมดุลในร่างกายหรือการกระทำของพลังเหนือธรรมชาติ การรักษาจึงรวมถึงการทำพิธีทางศาสนา การใช้สมุนไพร และการปรึกษาหมอพื้นบ้าน ควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่
3. การรับรู้และการจัดการกับโรคซึมเศร้าในอเมริกา
Kleinman เปรียบเทียบกับกรณีในอเมริกา ที่ซึ่งโรคซึมเศร้ามักถูกมองว่าเป็นปัญหาทางจิตวิทยาหรือชีวภาพ และได้รับการรักษาด้วยการให้ยาและการบำบัด ในอเมริกา โรคซึมเศร้ามักถูกมองว่าเป็นปัญหาทางจิตวิทยาหรือชีวภาพ และได้รับการรักษาด้วยการให้ยาและการบำบัดทางจิตวิทยา เขาชี้ให้เห็นว่าการเน้นเฉพาะด้านชีวภาพและจิตวิทยาโดยไม่คำนึงถึงบริบททางวัฒนธรรมและสังคมของผู้ป่วย อาจทำให้การรักษาไม่สอดคล้องกับประสบการณ์และความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย
4. การจัดการกับโรคฮิสทีเรียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Kleinman อธิบายถึงการวิจัยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบว่าโรคฮิสทีเรียมักถูกมองว่าเป็นการแสดงออกของความเครียดและความขัดแย้งในครอบครัวหรือสังคม ผู้ป่วยที่มีอาการนี้มักได้รับการรักษาด้วยวิธีทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน การทำพิธีกรรม หรือการใช้สมุนไพรท้องถิ่น ซึ่งต่างจากวิธีการรักษาที่เน้นการใช้ยาในประเทศตะวันตก
5. กรณีศึกษาของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชาวจีนในอเมริกา
Kleinman ได้ให้ตัวอย่างของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าชาวจีนที่อาศัยอยู่ในอเมริกา ผู้ป่วยรายนี้แสดงอาการซึมเศร้าผ่านอาการทางกายภาพ เช่น ปวดหัวและอ่อนเพลีย แต่ไม่ได้พูดถึงความรู้สึกเศร้าหรือหมดหวัง เนื่องจากในวัฒนธรรมจีน การแสดงออกทางอารมณ์แบบนี้อาจถูกมองว่าเป็นการแสดงความอ่อนแอ การรักษาที่เน้นเพียงการให้ยาต้านซึมเศร้าไม่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยรายนี้รู้สึกดีขึ้นได้ Kleinman ชี้ให้เห็นว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงวิธีการที่ผู้ป่วยรับรู้และแสดงออกถึงอาการของตนเอง
6. การรักษาโรควิตกกังวลในอินเดีย
Kleinman กล่าวถึงกรณีของผู้ป่วยที่มีอาการวิตกกังวลในอินเดีย ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นผลจากการไม่สมดุลของร่างกายและจิตใจ การรักษามักรวมถึงการใช้โยคะ การทำสมาธิ และการปรับเปลี่ยนอาหาร เพื่อฟื้นฟูสมดุลของร่างกายและจิตใจ นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรท้องถิ่นและการรักษาทางอายุรเวท (Ayurveda) ซึ่งเป็นการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย
7. การจัดการกับโรคซึมเศร้าในชาวเม็กซิกันอเมริกัน
Kleinman ได้ศึกษาผู้ป่วยชาวเม็กซิกันอเมริกันที่อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีอาการซึมเศร้าและรู้สึกเหงาหรือขาดการสนับสนุนทางสังคม ผู้ป่วยเหล่านี้มักหันไปหาครอบครัวและชุมชนเพื่อรับการสนับสนุนและการดูแล ซึ่งต่างจากการรักษาแบบตะวันตกที่เน้นการให้ยาต้านซึมเศร้าและการบำบัดทางจิตวิทยา Kleinman ชี้ให้เห็นว่าการบูรณาการการสนับสนุนทางสังคมเข้ากับการรักษาแบบตะวันตกอาจช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น
8. การรักษาโรคจิตเภทในประเทศญี่ปุ่น
Kleinman กล่าวถึงการรักษาโรคจิตเภทในญี่ปุ่น ซึ่งมักมุ่งเน้นไปที่การดูแลที่บ้านและการสนับสนุนจากครอบครัว ผู้ป่วยมักอาศัยอยู่กับครอบครัวและได้รับการดูแลจากสมาชิกในครอบครัว การรักษานี้สอดคล้องกับค่านิยมทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวและความร่วมมือ การให้ยารักษาโรคจิตเภทอาจมีการใช้ร่วมกับการดูแลแบบนี้เพื่อให้การรักษาได้ผลดี
9. การจัดการกับอาการทางจิตในชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน
Kleinman ได้สำรวจการรักษาอาการทางจิตในชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันที่มักเน้นการใช้พิธีกรรมทางศาสนาและการรักษาแบบดั้งเดิม พิธีกรรมเหล่านี้อาจรวมถึงการร้องเพลง การเต้นรำ และการใช้พืชสมุนไพร เพื่อฟื้นฟูสมดุลและความสมานฉันท์ของจิตใจและร่างกาย การรักษาแบบดั้งเดิมนี้มักมองว่าความเจ็บป่วยทางจิตเป็นผลจากความไม่สมดุลในความสัมพันธ์กับธรรมชาติและชุมชน
10. การรักษาความเจ็บป่วยทางจิตในเวียดนาม
Kleinman กล่าวถึงกรณีของผู้ป่วยในเวียดนามที่มีอาการของโรคจิตเภทและถูกมองว่าเป็นผลจากวิญญาณชั่วร้ายหรือการกระทำของพลังเหนือธรรมชาติ การรักษามักรวมถึงการทำพิธีกรรมทางศาสนา การบูชาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ และการปรึกษาหมอพื้นบ้าน การรักษาแบบนี้มักให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูความสมดุลในชีวิตและความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้ป่วย
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตไม่สามารถแยกออกจากบริบททางวัฒนธรรมและสังคมได้ Kleinman ชี้ให้เห็นว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพจะต้องคำนึงถึงประสบการณ์และความเชื่อของผู้ป่วย การเข้าใจบริบททางวัฒนธรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกได้รับการดูแลที่มีความหมายและสอดคล้องกับความต้องการของพวกเขา Kleinman เสนอว่าการรักษาที่มีประสิทธิภาพจะต้องมีการบูรณาการระหว่างวิธีการทางการแพทย์สมัยใหม่กับความเข้าใจในประสบการณ์และบริบททางวัฒนธรรมของผู้ป่วย การมองข้ามมิติทางวัฒนธรรมอาจทำให้การรักษาไม่สอดคล้องกับความต้องการและประสบการณ์ของผู้ป่วย และอาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่ประสบความสำเร็จ
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น