หากจะพูดถึง คำว่าการรักษากับการเยียวยา ผมนึกถึงหนังสือเล่มนี้เลย … หนังสือ Curing and Healing: Medical Anthropology in Global Perspective (2010)โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart สำรวจการรักษาและการเยียวยาจากมุมมองของมานุษยวิทยาทางการแพทย์ทั่วโลก เนื้อหาของหนังสือครอบคลุมประเด็นสำคัญต่างๆดังนี้
1.การรักษาทางการแพทย์และการเยียวยา การเปรียบเทียบและการวิเคราะห์วิธีการรักษาในวัฒนธรรมต่างๆ ทั่วโลก ทั้งทางการแพทย์แบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ รวมถึงการประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านี้ในบริบทที่หลากหลาย
2. วัฒนธรรมและสุขภาพ การสำรวจว่าปัจจัยทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อการรับรู้และการตอบสนองต่อสุขภาพและการเจ็บป่วยอย่างไร รวมถึงการทำความเข้าใจบทบาทของผู้รักษาในชุมชนต่างๆ
3. มุมมองทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา การนำเสนอทฤษฎีและวิธีวิจัยที่ใช้ในการศึกษามานุษยวิทยาทางการแพทย์ รวมถึงวิธีการที่นักมานุษยวิทยาศึกษาการปฏิบัติทางการแพทย์ในสถานการณ์ที่เป็นจริง
4. กรณีศึกษาและการประยุกต์ใช้จริง โดยการนำเสนอกรณีศึกษาจากทั่วโลกที่แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงในวิธีการรักษาในบริบทที่แตกต่างกัน รวมถึงผลกระทบของกระบวนการกลายเป็นเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์
หนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าสำหรับนักศึกษามานุษยวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และผู้ที่สนใจในความหลากหลายของวิธีการรักษาและการเยียวยาทั่วโลก โดยมีการนำเสนอกรณีศึกษาเชิงรูปธรรมจากหลายวัฒนธรรมและสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของวิธีการรักษาและการเยียวยา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือมีดังนี้
1. การรักษาทางจิตวิญญาณในปาปัวนิวกินี โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart อธิบายถึงวิธีการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางจิตวิญญาณในชุมชนชาวปาปัวนิวกินี เช่น การใช้พิธีกรรมและการทำสมาธิเพื่อสื่อสารกับวิญญาณหรือเทพเจ้าเพื่อขอการรักษา
ในชุมชนชาวปาปัวนิวกินี ความเจ็บป่วยมักถูกมองว่าเป็นผลจากการกระทำของวิญญาณหรือพลังเหนือธรรมชาติ หมอผีหรือผู้รักษาทางจิตวิญญาณจะทำพิธีกรรมเพื่อสื่อสารกับวิญญาณเหล่านี้ และอาจมีการใช้สมุนไพรหรือการนวดร่วมด้วย พิธีกรรมดังกล่าวอาจรวมถึงการร้องเพลง การเต้นรำ และการใช้เครื่องรางเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายหรือขอความช่วยเหลือจากวิญญาณผู้คุ้มครอง
2. การแพทย์แผนจีน โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart มีการวิเคราะห์การใช้การฝังเข็มและยาสมุนไพรในวัฒนธรรมจีน ซึ่งวิธีการเหล่านี้มีพื้นฐานทางทฤษฎีที่แตกต่างจากการแพทย์แผนปัจจุบัน โดยเน้นความสมดุลของพลังงานในร่างกาย
ในการแพทย์แผนจีนมีพื้นฐานจากแนวคิดเกี่ยวกับพลังชีวิตหรือ "ชี่" (Qi) และการรักษาสมดุลของพลังงานในร่างกาย การฝังเข็มเป็นการใช้เข็มขนาดเล็กแทงเข้าจุดต่างๆ บนร่างกายเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของชี่ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยาสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรที่ประกอบด้วยพืชสมุนไพรต่างๆ ที่เชื่อว่ามีคุณสมบัติในการรักษาโรคและเสริมสร้างสุขภาพ
3. การรักษาแบบฮูดูในสหรัฐอเมริกา โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart แสดงตัวอย่างของการปฏิบัติทางศาสนาและการรักษาแบบฮูดู ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนาคริสต์กับความเชื่อดั้งเดิมของชาวแอฟริกัน ที่มักใช้เครื่องรางและพิธีกรรมเพื่อรักษาโรค
การรักษาในฮูดูเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางศาสนาคริสต์กับความเชื่อดั้งเดิมของชาวแอฟริกัน ซึ่งเน้นการใช้เวทมนตร์และพิธีกรรมในการรักษาโรค หมอฮูดูอาจใช้เครื่องราง, การทำพิธีสวดมนต์, การทำสมุนไพร และการสั่งน้ำมนต์เพื่อรักษาโรคหรือป้องกันอันตราย พิธีกรรมเหล่านี้มักมีการร้องเพลงและเต้นรำเพื่อเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์
4. การใช้สมุนไพรในแอฟริกา โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart มีการอธิบายถึงการใช้สมุนไพรและวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมในหลายชุมชนแอฟริกา ซึ่งผู้รักษามักจะเป็นหมอพื้นบ้านที่มีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและวิธีการเตรียมยา
ในหลายชุมชนแอฟริกา ผู้รักษาพื้นบ้านมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคและการดูแลสุขภาพ ผู้รักษาเหล่านี้มักมีความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรและพืชพื้นเมืองที่ใช้ในการทำยา เช่น เปลือกไม้, รากไม้, และใบไม้ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการทำชาชง, น้ำมัน, หรือยาครีมเพื่อรักษาอาการต่างๆ การรักษาเหล่านี้มักเป็นที่ยอมรับในชุมชนและถูกใช้ร่วมกับการรักษาทางการแพทย์สมัยใหม่
5. การแพทย์ทางเลือกในยุโรปและอเมริกาเหนือ ผ่านการสำรวจวิธีการรักษาทางเลือกเช่น การใช้การฝังเข็ม, การบำบัดด้วยน้ำ, และการบำบัดด้วยสมุนไพรในยุโรปและอเมริกาเหนือ โดยมีการวิเคราะห์ว่าเหตุใดวิธีการเหล่านี้จึงได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในกลุ่มประชากรบางกลุ่ม
การแพทย์ทางเลือกได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในยุโรปและอเมริกาเหนือ ผู้คนบางกลุ่มมองหาวิธีการรักษาที่เป็นธรรมชาติและมีผลข้างเคียงน้อย การฝังเข็ม, การบำบัดด้วยน้ำ (hydrotherapy), และการบำบัดด้วยสมุนไพรเป็นวิธีการที่ได้รับความนิยม ตัวอย่างเช่น การบำบัดด้วยน้ำอาจรวมถึงการใช้บ่อน้ำแร่, การทำสปา, หรือการอาบน้ำในน้ำเย็นเพื่อกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือดและเสริมสร้างสุขภาพ เป็นต้น
6. การรักษาด้วยพืชสมุนไพรในอเมซอน โดยชนพื้นเมืองในป่าอเมซอนมีความรู้เกี่ยวกับพืชสมุนไพรอย่างลึกซึ้ง โดยพวกเขาใช้พืชสมุนไพรเพื่อรักษาโรคต่างๆ เช่น ไข้, อาการปวด, และการติดเชื้อ พิธีกรรมการรักษาอาจรวมถึงการเตรียมสมุนไพรโดยการต้ม การบด หรือการทำเป็นผง ผู้รักษาในชุมชนนี้มักได้รับความรู้ผ่านการสืบทอดจากบรรพบุรุษและการฝึกฝนทางประสบการณ์
7.การบำบัดด้วยเสียงในทิเบตที่เรียกว่า Tibetan singing bowls เป็นเครื่องดนตรีและเครื่องมือบำบัดที่มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคทิเบต เนปาล และอินเดีย โดยมักใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาและการฝึกปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ชามนี้ทำจากโลหะผสมหลากหลายชนิด เช่น ทองแดง ดีบุก และเงิน ซึ่งผ่านการหลอมและตีจนเป็นชาม การใช้ชามร้องเพลงทิเบตประกอบด้วยการใช้ไม้ตีหรือไม้ถูขอบชาม การตีหรือถูนี้ทำให้เกิดเสียงและการสั่นสะเทือนที่เป็นเอกลักษณ์ เสียงที่เกิดขึ้นมีลักษณะเป็นคลื่นเสียงที่สม่ำเสมอและมีความถี่ต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยในการทำสมาธิ, การผ่อนคลาย, และการบำบัดทางจิตใจและร่างกาย เชื่อว่าจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตและร่างกาย
เสียงจากชามร้องเพลงทิเบตช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบและเหมาะสมสำหรับการทำสมาธิ การฟังเสียงกังวานจากชามช่วยในการลดความเครียด ผ่อนคลายและเพิ่มความสงบในจิตใจ
การบำบัดด้วยเสียง (Sound Therapy) เชื่อว่าการสั่นสะเทือนจากเสียงของชามร้องเพลงทิเบตมีผลบำบัดที่ช่วยในการปรับสมดุลของพลังงานในร่างกายและเสริมสร้างสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การบำบัดด้วยเสียงนี้อาจช่วยลดอาการปวดหัว, ความเครียด, และอาการนอนไม่หลับ เป็นการเสริมสร้างพลังงานเชิงบวก เสียงจากชามร้องเพลงทิเบตเชื่อว่าช่วยในการทำความสะอาดพลังงานเชิงลบในสถานที่ต่างๆ เช่น บ้านหรือสถานที่ทำงาน และเสริมสร้างพลังงานเชิงบวก
8. การรักษาแบบฮูแนในฮาวาย คำว่า ฮูแน (Huna) เป็นระบบความเชื่อและการปฏิบัติของชาวฮาวายดั้งเดิมที่เน้นการรักษาและการเยียวยาผ่านการทำสมาธิ การหายใจ และการใช้พลังงานของธรรมชาติ ผู้รักษาแบบฮูแนจะใช้การนวดแบบ Lomi Lomi, การหายใจลึก, และการสวดมนต์เพื่อปรับสมดุลของพลังงานและช่วยในการฟื้นฟูสุขภาพ
การรักษาแบบฮูแน (Huna) เป็นระบบความเชื่อและการปฏิบัติทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวฮาวายที่มุ่งเน้นการเชื่อมโยงระหว่างร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ฮูแนแปลว่า "ความลับ" หรือ "สิ่งที่ซ่อนเร้น" และเป็นการรวมตัวของความรู้โบราณที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยก่อนการมาถึงของชาวตะวันตกในหมู่เกาะฮาวาย
องค์ประกอบหลักของการรักษาแบบฮูแน 1. แนวคิดเรื่องพลังงานชีวิต (Mana) โดยฮูแนเชื่อในพลังงานชีวิตที่เรียกว่า "มานา" (Mana) ซึ่งเป็นพลังงานที่อยู่ในทุกสิ่งและสามารถเสริมสร้างหรือฟื้นฟูได้ การรักษาแบบฮูแนมุ่งเน้นการปรับสมดุลและเสริมสร้างมานะในร่างกายและจิตใจ 2.การใช้สมาธิและการหายใจ (Hakalau and Ha) การฝึกสมาธิ (Hakalau) เป็นส่วนสำคัญของการรักษา โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความตระหนักรู้และการเชื่อมต่อกับพลังงานในธรรมชาติ นอกจากนี้ การหายใจลึกๆ หรือ "Ha" เป็นการฝึกที่ช่วยเสริมสร้างพลังชีวิตและความสมดุลในร่างกาย 3.การนวดแบบ Lomi Lomi เป็นการนวดที่เน้นการเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลและลื่นไหล ซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและพลังงานในร่างกาย การนวดนี้มักใช้มือและแขนในการนวดและมีการปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะของผู้รับการรักษา 4. การทำพิธีกรรมและการสวดมนต์ (Pule) โดย การสวดมนต์หรือ "Pule" เป็นส่วนสำคัญของการรักษาแบบฮูแน โดยใช้การสวดมนต์เพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าหรือวิญญาณผู้คุ้มครอง การสวดมนต์ช่วยเสริมสร้างพลังงานบวกและการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณ
9. การใช้พืชสมุนไพร (La'au Lapa'au) เป็นส่วนหนึ่งของการรักษาแบบฮูแน โดยใช้พืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติทางการรักษาเพื่อปรับสมดุลและฟื้นฟูสุขภาพ สมุนไพรเหล่านี้มักถูกใช้ในการทำชาชง, ยาทา, หรือยาดื่ม 6. การปรับทัศนคติและการดำเนินชีวิต (Pono) โดย ฮูแนเน้นการดำเนินชีวิตที่สมดุลและถูกต้อง (Pono) โดยเน้นการมีทัศนคติที่ดีและการกระทำที่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตแบบ Pono ช่วยเสริมสร้างความสมดุลและความสุขในชีวิต
แนวคิดพื้นฐานในฮูแน ประกอบด้วย Ike คือความจริงถูกสร้างขึ้นโดยการรับรู้ของเรา, Kala คือทุกอย่างเป็นไปได้ ไม่มีขอบเขต, Makia คือ พลังงานไหลไปตามจุดที่สนใจ, Manawa คือ ช่วงเวลาที่มีอำนาจคือปัจจุบัน,Aloha คือความรักคือการแบ่งปันพลังชีวิต ,Mana คือ พลังทั้งหมดมาจากภายใน, Pono ก็คือประสิทธิภาพคือการวัดความจริง
การรักษาแบบฮูแนจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการดูแลร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยเน้นการสร้างความสมดุลและการเชื่อมต่อกับพลังงานในธรรมชาติและจิตวิญญาณ การรักษาเหล่านี้มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมและความเชื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของชาวฮาวาย
10 .การรักษาแบบอายุรเวทในอินเดีย โดยอายุรเวท (Ayurveda) เป็นระบบการแพทย์โบราณของอินเดียที่เน้นการรักษาด้วยวิธีการธรรมชาติและการปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ การรักษาอายุรเวทมักใช้การนวดด้วยน้ำมันสมุนไพร, การทำดีท็อกซ์, การปรับอาหาร และการใช้สมุนไพรเพื่อเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรค
11. การบำบัดด้วยโยคะและสมาธิในอินเดีย โดยโยคะและสมาธิเป็นส่วนหนึ่งของการแพทย์แผนอินเดียที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจ การฝึกโยคะท่าต่างๆ และการทำสมาธิช่วยในการลดความเครียด, ปรับปรุงการหายใจ, และเสริมสร้างความสมดุลทางอารมณ์ การฝึกโยคะยังเชื่อว่าช่วยในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่างๆ และเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกาย
12. การรักษาแบบอิโรกัวในอเมริกาเหนือ โดยชาวอิโรกัว (Iroquois) มีระบบการรักษาที่ใช้การทำพิธีกรรมทางศาสนาและการใช้สมุนไพร ผู้รักษาในชุมชนนี้จะทำพิธีเพื่อขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้าหรือวิญญาณของบรรพบุรุษในการรักษาโรค การทำพิธีอาจรวมถึงการใช้ควันจากสมุนไพร, การสวดมนต์, และการเต้นรำเพื่อเสริมพลังศักดิ์สิทธิ์
กรณีศึกษาเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการรับรู้และการจัดการกับการเจ็บป่วย และวิธีการรักษาที่ปรับตัวตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมทั้งยังทำให้เห็นภาพชัดเจนถึงวิธีการรักษาและการเยียวยาที่หลากหลายทั่วโลก และแสดงให้เห็นว่าการรักษาโรคไม่ได้มีเพียงแค่แนวทางเดียว แต่มีหลายวิธีที่ปรับตัวตามบริบททางวัฒนธรรมและสังคมที่แตกต่างกัน
ความหลากหลายของวิธีการรักษาและการเยียวยาที่ปรับตัวตามวัฒนธรรมและบริบททางสังคมที่แตกต่างกันทั่วโลก แต่ละวิธีมีพื้นฐานทางความเชื่อและประสบการณ์ที่สะท้อนถึงวิธีการเข้าใจและการดูแลสุขภาพที่ไม่เหมือนกัน
หนังสือ "Curing and Healing: Medical Anthropology in Global Perspective" โดย Andrew Strathern และ Pamela J. Stewart ใช้แนวคิดสำคัญหลายประการในการสำรวจและวิเคราะห์การรักษาและการเยียวยาในบริบททางมานุษยวิทยาทางการแพทย์ทั่วโลก ดังนี้
1.มานุษยวิทยาทางการแพทย์ (Medical Anthropology) คือการใช้แนวคิดและวิธีการทางมานุษยวิทยาในการศึกษาและทำความเข้าใจระบบการรักษาและการเยียวยาในวัฒนธรรมต่างๆ โดยเน้นการเปรียบเทียบและการวิเคราะห์บริบททางสังคม วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที่มีผลต่อวิธีการรักษา
2. ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (Cultural Diversity) คือแนวคิดที่เชื่ิการมโยงกับการยอมรับและเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการรักษาและการเยียวยา หนังสือแสดงให้เห็นว่าการรักษาไม่ได้มีเพียงแค่แนวทางเดียว แต่มีหลายวิธีที่แตกต่างกันไปตามบริบททางวัฒนธรรมและสังคม
3. การรักษาและการเยียวยา (Curing and Healing)
ในแนวคิดที่พยามแยกแยะความแตกต่างระหว่างการรักษา (curing) ซึ่งมักเน้นการกำจัดหรือบรรเทาอาการของโรค และการเยียวยา (healing) ซึ่งเน้นการฟื้นฟูและเสริมสร้างความสมดุลของร่างกายและจิตใจ
4. การเปรียบเทียบระหว่างวิธีการรักษาดั้งเดิมและการรักษาสมัยใหม่ (Traditional vs. Modern Medicine) เน้นการวิเคราะห์และเปรียบเทียบวิธีการรักษาทางการแพทย์แบบดั้งเดิมและแบบสมัยใหม่ รวมถึงการสำรวจว่าทั้งสองระบบสามารถผสมผสานกันได้อย่างไรในบางบริบท
5. มุมมองแบบองค์รวม (Holistic Perspective)
เป็นแนวคิดที่เกิดจากการยอมรับว่าการรักษาและการเยียวยาควรคำนึงถึงทั้งร่างกาย จิตใจ และสังคม โดยเน้นการดูแลแบบองค์รวมที่ไม่แยกส่วน
6. อำนาจและความสัมพันธ์ทางสังคม (Power and Social Relations)เน้นการการสำรวจว่าปัจจัยทางสังคมและอำนาจมีอิทธิพลต่อการรักษาอย่างไร เช่น บทบาทของหมอผี, ผู้รักษา, แพทย์ และผู้ป่วยในชุมชนต่างๆ และการเจรจาต่อรองอำนาจในบริบทการรักษา
7.การปรับตัวและการเปลี่ยนแปลง (Adaptation and Change) เน้นการศึกษาและทำความเข้าใจว่าระบบการรักษาและการเยียวยาปรับตัวและเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม, เศรษฐกิจ, และวัฒนธรรม เช่น ผลกระทบของกระบวนการกลายเป็นเมืองและการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์
8. การปฏิบัติการเชิงวิพากษ์ (Critical Practice)
เน้นการวิพากษ์วิจารณ์และทำความเข้าใจผลกระทบของระบบการรักษาในระดับต่างๆ เช่น การเข้าถึงบริการสุขภาพ, ความไม่เท่าเทียมทางสุขภาพ, และปัญหาที่เกิดจากการรักษาแบบอุตสาหกรรม
แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมและลึกซึ้งเกี่ยวกับวิธีการรักษาและการเยียวยาในบริบททางมานุษยวิทยาทางการแพทย์ทั่วโลก
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น