ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทุนนิยมสีชมพู (pink capitalism) กับกลุ่ม LGBTQIA+ โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

นักศึกษาที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษาสารนิพนธ์ สนใจเรื่องDrag Queen และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่เป็นเศรษฐกิจสีรุ้งสร้างสรรค์มากกว่าในความคิดของผม ผมนึกถึงแนวคิดหนึ่งที่ชื่อว่า Pink Capitalism ที่จะเป็นไอเดียให้นักศึกษา แนวคิดนี้ผมเขียนลงบล๊อกและในเอกสารประกอบการสอนวิชาเพศวิถี และในอนาคตผมอยากทำวิจัยในเรื่องนี้ ที่เกิดจากประเด็นของนักศึกษาที่ทำเรื่องเหล่านี้ มาเป็นทีมวิจัย ทุนนิยมสีชมพู (Pink Capitalism ) คืออะไร? เราจะเข้าใจและวิเคราะห์ปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมนี้ได้อย่างไร? ผลกระทบที่เกิดขึ้นสำหรับพวกเรา นักมานุษยวิทยาและนักจัดการวัฒนธรรมคืออะไร? การขัยเคลื่อนและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม LGBTQIA+ ได้ทำให้เกิดความแพร่หลายของแนวความคิดเรื่องทุนนิยมสีชมพู ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของทุนนิยมที่เชื่อมโยงกับกลุ่มประชากร LGBTQIA+ ที่เรียกว่า ทุนนิยมสีชมพูและโมเดลธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลายอย่าง เช่น การตลาด LGBTQIA+ บาร์ ไนต์คลับ และการบริการรวมถึงเทคโนโลยีดิจิทัลและแอปพลิเคชัน ความน่าสนใจคือการนำเสนอโมเดลธุรกิจที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงกลุ่มสาธารณะ LGBTQIA+ เข้ากับศิลปะ และการปรากฏตัวของผู้สร้างสรรค์ที่เป็นเควียร์ ที่หลากหลายและน่าสนใจ ผ่านตัวอย่างมุมมองข้ามวัฒนธรรม เช่น La Federica, บาร์เควียร์สำหรับศิลปะเควียร์ในบาร์เซโลนา Q-Space, พื้นที่ชุมชนเควียร์ในปักกิ่ง ความน่าสนใจของแนวคิดนี้อยู่ที่การพยามขยายขอบเขตที่ยืดหยุ่นระหว่างเศรษฐศาสตร์ โมเดลธุรกิจ สังคม เพศ และการจัดการวัฒนธรรม โดยมีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจปรากฏการณ์ของทุนนิยมสีชมพู วัฒนธรรม LGBTQIA+ และการทำความเข้าใจตัวเราเองในฐานะนักมานุษยวิทยา และผู้ศึกษาทางวัฒนธรรมที่ทำงานร่วมกับผู้คนและอัตลักษณ์ ข้ามพรมแดนของวัฒนธรรมที่แตกต่างด้วยความเข้าใจ มองการณ์ไกลไปในอนาคต ความมีมนุษยธรรมในหัวใจ และความอดทน การศึกษาเกี่ยวกับการตลาดสีชมพู เช่นตลาดในลาตินที่เกี่ยวข้องกับตลาดสีมชมพูที่เน้นกลุ่มเกย์/เลสเบี้ยน (Peñaloza, 1996) ในขณะเดียวกัน ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมของเกย์และเลสเบี้ยนในสหรัฐอเมริกาและในประเทศตะวันตกอื่น ๆ (เช่น เนเธอร์แลนด์และสเปนในยุโรป) ก็ได้ทำให้เกิดการตระหนักรู้และการปรากฏตัวที่เพิ่มขึ้นของผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มรักต่างเพศ(Heterosexuality) เท่านั้น ภายใต้สภาวะเหล่านี้ ทุนนิยมสีชมพูได้เกิดขึ้น ทำให้เกิดตลาดใหม่ ซึ่งเป็นตลาดที่ประกอบด้วยกลุ่มที่เฉพาะ อย่างเช่น เกย์และเลสเบี้ยน และผู้คนที่มีรสนิยมทางเพศที่ผูกติดกับเพศวิถีแบบเพศตรงข้าม หรือที่รู้จักกันในชื่อ LGBTQIA+ ซึ่งมันกลายเป็นสิ่งใหม่เพราะก่อนหน้านี้ องค์กรผู้ประกอบการทางสังคม บริษัท และสื่อสารมวลชนเพื่อการตลาดได้มองข้ามกลุ่มนี้ไป ทุนนิยมสีชมพู หรือที่รู้จักกันในชื่อธุรกิจสีชมพู(Pink Money) หรือเศรษฐกิจสีชมพู (Pink Economy) ปัจจุบันเป็นคำที่นิยมใช้เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจและตลาดที่รวมเกย์/เลสเบี้ยน และ/หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศและมีรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่กระแสหลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ (Roque Ramírez and Horacio, 2011) ถือเป็นการผสมผสานระหว่างทุนนิยม ระบบเศรษฐกิจตลาด และรสนิยมทางเพศ ที่ผู้คนถูกแยกแยะตามรสนิยมทางเพศ อาทิเช่น เกย์/เลสเบี้ยน และเพศทางเลือกอื่นๆ โดยเฉพาะเกย์ชายผิวขาวชนชั้นกลางในเมือง ถูกมองว่าเป็นตลาดเป้าหมาย ลูกค้าที่มีศักยภาพ หรือผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อสูง ด้วยการปรากฏตัวของทุนนิยมสีชมพูมากขึ้นในตลาดและภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ มันย่อมมีอิทธิพลต่อธุรกิจในท้องถิ่นและความคิดเห็นทางสังคม กำหนดรูปแบบการบริโภคของ LGBTQ และในขณะเดียวกันก็มีผลกระทบทั้งที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้อื่น ๆที่ตามมา และเป็นกรณีที่ยังต้องกาการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจต่อกัน ทุนนิยมสีชมพูสามารถสืบค้นได้ในกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลากหลายรูปแบบ ตัวอย่างเช่น การตลาดของบริษัท ธุรกิจบาร์และไนต์คลับ ธุรกิจบริการต้อนรับ และธุรกิจที่มุ่งเน้นไปที่เกย์/เลสเบี้ยนโดยเฉพาะ มีรูปแบบทุนนิยมสีชมพูที่พบได้ทั่วไป 3 รูปแบบ ดังนี้ พร้อมด้วยตัวอย่างที่น่าสนใจในสเปน จีน และประเทศอื่น ๆ 1. การตลาดของบริษัท บริษัทหลายแห่งได้เริ่มใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่ม LGBTQIA+ โดยการสร้างแบรนด์ที่เป็นมิตรกับชุมชน LGBTQIA+ และการจัดกิจกรรมที่เฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นหลายแบรนด์ในสเปนได้ร่วมสนับสนุนงาน Pride Parade และสร้างคอลเลกชั่นพิเศษที่เฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ 2.ธุรกิจบาร์และไนต์คลับ บาร์และไนต์คลับที่มุ่งเน้นไปที่กลุ่ม LGBTQ+ มีความสำคัญมากในแง่ของการสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยและเป็นที่ยอมรับสำหรับชุมชน LGBTQIA+ ตัวอย่างเช่น บาร์ La Federica ในบาร์เซโลนา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ไม่เพียงแค่ให้บริการเครื่องดื่มแต่ยังจัดกิจกรรมศิลปะเควียร์อีกด้วย ในจีน มีสถานที่เช่น Q-Space ที่เป็นพื้นที่สร้างชุมชนสำหรับชุมชนเควียร์ 3. ธุรกิจบริการและการต้อนรับ ธุรกิจบริการต้อนรับ เช่น โรงแรมและรีสอร์ท ที่เป็นมิตรกับ LGBTQIA+ ได้เติบโตขึ้นเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่มาจากชุมชน LGBTQIA+ ตัวอย่างเช่น โรงแรมบางแห่งในสเปนและประเทศอื่น ๆ ได้รับการรับรองจากองค์กร LGBTQIA+ เพื่อยืนยันถึงการต้อนรับและบริการที่เป็นมิตร การศึกษาตัวอย่างจากสเปน จีน และประเทศอื่น ๆ แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ทุนนิยมสีชมพูได้ขยายตัวและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมในหลากหลายภูมิภาค ขณะที่ยังช่วยสร้างพื้นที่และการยอมรับให้กับชุมชน LGBTQIA+ แนวคิดการเชื่อมโยงทางสังคมของความปรารถนา (social articulation of desire) โดยทุนนิยมสีชมพูเป็นปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่อิงจากการเชื่อมโยงทางสังคมของความต้องการ ผู้คนที่มีความรู้ความเข้าใจเดียวกัน (อัตลักษณ์ทางสังคม) สร้างความชื่นชอบและรสนิยมผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม (Cornwall, 1997) ภายใต้สมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์คลาสสิกและนีโอคลาสสิกที่เชื่อว่าความชื่นชอบและรสนิยมของบุคคลถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าในตลาด ผู้คนรับรู้และมั่นใจในความชื่นชอบของตน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ในการตีความพฤติกรรมของบุคคล ในทางตรงกันข้ามทฤษฎีการเชื่อมโยงทางสังคมของความปรารถนา(social articulation of desire) มุ่งเน้นที่การสร้างความชื่นชอบและรสนิยมของบุคคลผ่านการคิดเชิงสังคมและความเข้าใจในแง่นี้ ความชื่นชอบของบุคคลไม่ใช่ปัจจัยที่คงที่ หากความชื่นชอบของบุคคลไม่เป็นที่เปิดเผย ซ่อนเร้น บุคคลนั้นจะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้อื่นเพื่อหาว่าทางเลือกใดดีกว่าหรือแย่กว่าโดย ในกระบวนการนี้ บุคคลนั้นจะระบุตัวตนกับคนที่มีรสนิยมเดียวกัน และแบ่งปันข้อมูลและทางเลือกกับพวกเขา LGBTQIA+ มีสิ่งที่เหมือนกันในสังคม (เช่น ความชื่นชอบที่ไม่เป็นกระแสหลักและแรงกดดันทางสังคมทั่วไป) พวกเขาระบุตัวตนกันและเชื่อมโยงกันทางสังคม ดังนั้นความชื่นชอบของบุคคลจะได้รับอิทธิพลจากกันและกันและพัฒนาไปผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ในชุมชนเดียวกัน นี่คือสิ่งที่อธิบายสมมติฐานของความชื่นชอบของลูกค้าที่เหมือนกันในตลาด LGBTQIA+ มุมมองเศรษฐกิจยามค่ำคืน (Night time economy) นอกจากนี้ยังมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดระหว่างทุนนิยมสีชมพูกับเศรษฐกิจยามค่ำคืน คำนี้ถูกใช้ครั้งแรกในงานของนักวิชาการที่เกี่ยวข้องกับองค์กรวิจัยเมืองสร้างสรรค์ของ Charles Landry ชื่อว่า Comedia และในปี 1990 ได้ปรากฏในบทความของ John Montgomery เกี่ยวกับการวางแผนวัฒนธรรมเมือง (Shawn, 2013) ที่นิยามว่าเศรษฐกิจยามค่ำคืนหมายถึงกิจกรรมการพักผ่อนหลากหลายรูปแบบที่บริโภคระหว่าง 18.00 น. (6 โมงเย็น) ถึง 06.00 น. (6 โมงเช้า) เป็นหลัก (Shawn, 2013) เศรษฐกิจยามค่ำคืนถูกสร้างขึ้นเพื่อขาย ที่เชื่อมโยง กับการผลิตทางวัฒนธรรมและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในช่วงกลางคืนให้กับหน่วยงานท้องถิ่นและระดับชาติ (Hadfield, 2006) และได้กลายเป็นคำที่นิยมและเป็นที่ถกเถียงในงานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์และการพักผ่อนในยามค่ำคืน เศรษฐกิจยามค่ำคืนที่เติบโตและเจริญรุ่งเรืองได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยให้กับการเกิดขึ้นของโมเดลธุรกิจยามค่ำคืนทางเลือก เนื่องจากผู้นำธุรกิจมองเห็นการแข่งขันที่ดุเดือดและโอกาสต่าง ๆ ในฉากชีวิตยามค่ำคืนที่หลากหลาย ดังนั้น พวกเขาจำเป็นต้องคิดนอกกรอบเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดยามค่ำคืน และธุรกิจยามค่ำคืนเฉพาะ LGBTQ ก็ปรากฏเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้และทำกำไรได้ ในทางกลับกัน โมเดลธุรกิจยามค่ำคืนที่มีธีม LGBTQIA+หลากหลายรูปแบบก็ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจยามค่ำคืนที่เจริญรุ่งเรืองและหลากหลาย ด้วยการดึงดูดลูกค้า LGBTQIA+ ทำให้เศรษฐกิจยามค่ำคืนก็เติบโตด้วยฐานลูกค้าที่ขยายขึ้นและอาจมียอดขายเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจยามค่ำคืน LGBTQ ที่ประสบความสำเร็จยังช่วยสร้างผลกระทบต่อแบรนด์และสร้างชื่อเสียงให้กับชีวิตยามค่ำคืนของเมือง ซึ่งเป็นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เมืองที่ถูกนำมาใช้ในบางเมืองใหญ่ในตะวันตก เช่น จุดหมายปลายทางเกย์ (Gay Destination ) อาทิเช่น อัมสเตอร์ดัม บาร์เซโลนา และลอนดอน หากใช้มุมมองวิพากษ์จากทฤษฎีเควียร์ จะพบว่า ทุนนิยมสีชมพูในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคมและเศรษฐกิจกำลังได้รับความนิยมและความสำคัญในการพูดคุยในสังคมตะวันตกที่ยอมรับ LGBTQ รวมถึงบางประเทศเศรษฐกิจใหม่ในเอเชีย อาทิเช่น จีนก็กำลังติดตามแนวโน้มนี้เช่นกัน เศรษฐกิจสีชมพูของประเทศจีนมีมูลค่าประมาณ 300 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทำให้เป็นที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลกรองจากยุโรปและสหรัฐฯ คาดว่าชุมชน LGBTQIA+ ทั่วโลกมีการใช้จ่ายเงินมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี จริง ๆ แล้ว มันทำหน้าที่เป็นแรงผลักดันทางเศรษฐกิจทางเลือกและเป็นพลังทางสังคม ที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นของชุมชน LGBTQ ในสังคมกระแสหลักในระดับหนึ่ง จากมุมมองที่วิพากษ์วิจารณ์ ความถูกต้องและผลกระทบที่เป็นที่ถกเถียงของมันกำลังถูกตั้งคำถามโดยนักเคลื่อนไหว LGBTQ และนักวิชาการบางคน เช่น นักทฤษฎีเควียร์ ซึ่งทฤษฎีเควียร์เกิดขึ้นจากทฤษฎีหลังโครงสร้างนิยมที่ตั้งคำถามกับหมวดหมู่และรหัสทางสังคม (อัตลักษณ์) ข้อเสนอหลักของทฤษฎีเควียร์สามารถพบได้ในหนังสือของ Judith Butler (1990) Gender Trouble: Feminism and the Subversion of Identity โดยทฤษฎีเควียร์เน้นถึงลักษณะการแสดงออกของเพศภายใต้สภาวะที่เป็นบรรทัดฐาน และวิพากษ์วิจารณ์บรรทัดฐานทางเพศที่ถูกกำหนดขึ้น ที่สร้างความเป็นชายและความเป็นหญิง,ความรักเพศตรงข้ามและความรักเพศเดียวกัน ดังนั้น จากมุมมองที่วิพากษ์วิจารณ์ของทฤษฎีเควียร์ ทุนนิยมสีชมพูจึงถูกมองว่าเป็นเกมที่สร้างบรรทัดฐานซึ่งเสริมสร้างตำแหน่งทางเพศที่ไม่เท่าเทียมในปัจจุบัน และยังสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของ LGBTQIA+ ตัวอย่างเช่น แคมเปญการตลาด LGBTQIA+และธุรกิจเฉพาะ LGBTQ IA+ (บาร์และคลับ) จำนวนมากมักมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าประเภทหนึ่ง ซึ่งมักจะเป็นชายเกย์ผิวขาวในเมืองชั้นกลาง ซึ่งทำให้เกิดการทำให้ลำดับชั้นทางเพศ เชื้อชาติ และชนชั้นภายในชุมชน LGBTQ ชนชั้นอื่นๆกลุ่มอื่น ๆ เช่น เลสเบี้ยน ไบเซ็กชวล คนข้ามเพศ คนที่มีเพศสภาพระหว่างและคนผิวสี กลับถูกมองข้าม ความแตกแยกและการเลือกปฏิบัติภายในชุมชนจึงเกิดขึ้น เช่น เลสเบี้ยนมักจะไม่เข้าใกล้เกย์ และในทางกลับกัน แอปพลิเคชันสังคมของเกย์ยังทำให้เกิดอคติแม้กระทั่งในกลุ่มชายเกย์ด้วยกัน ชายเกย์ที่มีน้ำหนักเกิน ผู้ที่มีลักษณะอ่อนหวาน หรือชายเกย์เอเชียบางครั้งถูกเลือกปฏิบัติจากชายเกย์ผิวขาวที่ดูเป็นชายมากกว่า นอกจากนี้ ภาพลักษณ์ของชายและหญิงเกย์ที่ประสบความสำเร็จ ได้รับการยอมรับ และมีฐานะทางการเงินที่ดี ยังสร้างภาพลวงตาที่ปิดบังปัญหาจริงที่ชุมชนต้องเผชิญ: ความไม่เท่าเทียม การเลือกปฏิบัติ และความรุนแรงยังคงแพร่หลายในหลายแห่งทั่วโลก เมื่อเชื่อมโยงกับการแต่ง Drag Queen เราจะเห็นมิติที่เชื่อมโยงลูกค้า LGBTQIA+ กับศิลปะ โดยที่ทุนนิยมสีชมพูโดยธรรมชาติเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจและการทำกำไรที่มุ่งเป้าไปที่กลุ่ม LGBTQIA+ โดยการทำแคมเปญการตลาดเฉพาะทาง เริ่มธุรกิจที่มุ่งเน้น LGBTQIA+ และเสนอคุณค่าที่ปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า LGBTQIA+ บริษัทต่าง ๆ กำลังทำให้กลไกการสร้างกำไรของพวกเขาเป็นจริง ในขณะเดียวกันก็สนับสนุนและเสริมพลังให้กับชุมชน LGBTQIA+ แม้จะมีการวิพากษ์วิจารณ์กันดังที่กล่าวมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...