ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มานุษยวิทยาว่าด้วยความสุข : Anthropology of Happiness

ขณะนั่งขนส่งมวลชนมาทำงานในวันที่ฝนพรำ นึกถึงเรื่องที่ผมเขียนเกี่ยวกับความสุขเมื่อวาน และมีนักศึกษาบางคนเคยถามผมว่า อาจารย์คิดว่าความสุขคืออะไร ผมก็บอกว่าความสุขของแต่ละคน แต่ละสังคมไม่เหมือนกัน เราไม่สามารถหานิยามที่ชัดเจนของมัน หรือค่าความสุขกลางที่ให้ทุกคนมีมาตรฐานของความสุขที่เหมือนกันได้ และในขณะเดียวกัน เราก็ไม่สามารถตัดสินคนอื่นว่าสิ่งที่เขามีคือความสุขจริงหรือความสุขจอมปลอม เพราะบางทีสิ่งที่ดูเหมือนจริงก็ปลอมสุดๆ สิ่งที่ดูเหมือนว่าจะเป็นความสุขที่เรามองว่าปลอมก็อาจจะเป็นความสุขจริงๆของเขาได้เช่นกัน ..ผมว่าวิชาการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมต้องมีหัวข้อนี้ละคุยกัน และผมเคยร่างหัวข้อบทความเกี่ยวกับความสุขของชาวกะเหรี่ยงโพล่วด้ายเหลือง จังหวัดอุทัยธานี…ไว้บางส่วน ผมนึกถึงงานทางด้านมานุษยวิทยาที่เกี่ยวข้องกับความสุข (แม้ว่าจะมีหนังสือหลายเล่มจะเน้นปัจจัยที่สร้างความสุขมากว่าจะมองความจริงว่าในชีวิตมนุษย์มีทั้งสุขและทุกข์ มีความขัดแย้ง มีการต่อสู้ต่อรองกับความสุขตลอดเวลา ) มีหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือหนังสือเรื่อง The Anthropology of Happiness ที่มีบรรณาธิการคือ Yasmine Musharbash and Marcus Barber (2011) หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมบทความที่ศึกษาความสุขในบริบทต่างๆ จากมุมมองของนักมานุษยวิทยา ผมได้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับความสุขในมิติทางมานุษยวิทยาและสาขาที่เกี่ยวข้องที่ศึกษาเรื่องนี้ ที่ทำให้เห็นมิติทางสังคมวัฒนธรรม และบริบทที่ก่อร่างสร้างความสุข ตัวอย่างในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจเช่น 1. การศึกษาความสุขในชุมชนหมู่บ้านเล็กๆ ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยนักมานุษยวิทยาได้ใช้เวลาในการสังเกตและสัมภาษณ์ชาวบ้านเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของพวกเขา พบว่า ความสุขในหมู่บ้านนี้สัมพันธ์กับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชน การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสมดุล ซึ่งตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าในบางวัฒนธรรม ความสุขไม่ได้ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งหรือความสำเร็จส่วนบุคคล แต่เกี่ยวข้องกับการมีความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและการรักษาประเพณีวัฒนธรรมของตัวเองด้วยฃ 2. การศึกษาความสุขในชุมชนเมืองใหญ่ในญี่ปุ่น บทความชิ้นหนึ่งในหนังสือเล่มนี่กล่าวถึงความสุขในชุมชนเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งความเครียดจากการทำงานหนักและการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่มีผลกระทบต่อระดับความสุข โดยนักมานุษยวิทยาได้ใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้คนเกี่ยวกับวิธีการจัดการความเครียด พบว่า การมีเวลาว่างสำหรับการทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น การทำสวน การทำอาหาร และการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนา เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มความสุขในชีวิตของคนเมือง 3. การศึกษาความสุขในชนเผ่า Himba ในประเทศนามิเบีย โดยการศึกษาเกี่ยวกับชนเผ่า Himba นักมานุษยวิทยาพบว่า ความสุขของสมาชิกชนเผ่านี้มีความสัมพันธ์กับการดำรงชีวิตในแบบดั้งเดิมและการรักษาวิถีชีวิตของชนเผ่า ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมสามารถสร้างความสุขและความพึงพอใจในชีวิต แม้จะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสมัยใหม่ 4. การศึกษาความสุขในชุมชนชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย ในหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงความสุขของชุมชนชาวอะบอริจินในออสเตรเลีย ซึ่งความสัมพันธ์กับธรรมชาติและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขามีความสุข โดยนักมานุษยวิทยาได้ใช้เวลาในการศึกษาและเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน เพื่อเข้าใจว่าความเชื่อและวิถีชีวิตของชาวอะบอริจินช่วยสร้างความสุขให้กับพวกเขาอย่างไร 5. การศึกษาความสุขในชุมชนชนบทในประเทศโบลิเวีย โดยนักมานุษยวิทยาได้ทำการวิจัยในหมู่บ้านชนบทของโบลิเวีย พบว่าความสุขในชุมชนนี้ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเกษตรและการแบ่งปันทรัพยากรกับครอบครัวและเพื่อนบ้าน ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าในบางวัฒนธรรม ความสุขเกิดจากการมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นในชุมชนและการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการดำรงชีวิต 6. การศึกษาความสุขในชุมชนมุสลิมในตะวันออกกลาง โดยความสุขในชุมชนมุสลิมแห่งนี้นั้น มีความเชื่อทางศาสนาและการปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาเป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการสร้างความสุข ซึ่งนักมานุษยวิทยาพบว่าการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนา การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน และการทำบุญเป็นกิจกรรมที่เสริมสร้างความสุขและความพึงพอใจในชีวิตของผู้คนในชุมชนนี้ 7. การศึกษาความสุขในชุมชนเกษตรกรรมในประเทศไทย ในการศึกษาชุมชนเกษตรกรรมในภาคเหนือของประเทศไทย นักมานุษยวิทยาพบว่าความสุขของชาวบ้านมีความสัมพันธ์กับการทำงานร่วมกันในไร่นา การทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา และการมีครอบครัวที่เข้มแข็ง ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการทำงานร่วมกันและการมีครอบครัวที่อบอุ่นเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสุขในชีวิตประจำวัน 8.การศึกษาความสุขในชุมชนชาวประมงในฟิลิปปินส์ โดยนักมานุษยวิทยาได้ทำการวิจัยในชุมชนชาวประมง พบว่าความสุขของชาวบ้านที่ประกอบอาชีพประมงมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตที่เรียบง่าย การทำงานที่มีจุดมุ่งหมายชัดเจนและการแบ่งปันทรัพยากรกับเพื่อนบ้าน ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการมีจุดมุ่งหมายในชีวิต การทำงานและการมีความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนสามารถสร้างความสุขได้ 9. การศึกษาความสุขในชุมชนของผู้สูงอายุในสแกนดิเนเวีย แสดงให้เห็นความสุขของผู้สูงอายุในประเทศสแกนดิเนเวีย ซึ่งพบว่าการมีระบบสวัสดิการที่ดี การได้รับการดูแลจากครอบครัวและรัฐ และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมช่วยเสริมสร้างความสุขและความพึงพอใจในชีวิต ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าระบบสังคมและการมีส่วนร่วมในชุมชนมีผลต่อความสุขของผู้สูงอายุ 10. การศึกษาความสุขในชุมชนเผ่ามาไซในเคนยา โดยนักมานุษยวิทยาได้ใช้เวลาศึกษาในชุมชนเผ่ามาไซ พบว่าความสุขของชาวมาไซสัมพันธ์กับการรักษาวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเอาไว้ เช่น การเลี้ยงสัตว์ การทำปศุสัตว์ และการปฏิบัติตามพิธีกรรมทางวัฒนธรรม ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการมีชีวิตที่เรียบง่ายในสภาพแวดล้อมธรรมชาติสามารถสร้างความสุขให้กับพวกเขาได้ 11. การศึกษาความสุขในชุมชนผู้อพยพในสหรัฐอเมริกา ในการศึกษาชุมชนผู้อพยพ นักมานุษยวิทยาพบว่าความสุขของผู้อพยพมีความสัมพันธ์กับการสร้างเครือข่ายสังคมใหม่ การปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมใหม่ และการส่งเงินกลับไปช่วยเหลือครอบครัวในประเทศต้นทาง ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการสร้างความสัมพันธ์ใหม่และการมีส่วนร่วมในชุมชนใหม่สามารถช่วยเพิ่มความสุขและความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชมที่แรงงานอพยพอาศัยอยู่ 12. การศึกษาความสุขในชุมชนวิถีสุขภาพแบบใหม่ในสหรัฐอเมริกา อธิบายถึงกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตตามวิถีสุขภาพแบบใหม่ ซึ่งเน้นการกินอาหารที่มีประโยชน์ การออกกำลังกาย และการปฏิบัติการทำสมาธิเป็นประจำ โดยนักมานุษยวิทยาพบว่าการมีวิถีชีวิตที่สมดุลและการดูแลสุขภาพช่วยเพิ่มความสุขและความพึงพอใจในชีวิตพวกเขา 13. การศึกษาความสุขในชุมชนเกษตรกรในอินเดีย ซึ่งนักมานุษยวิทยาได้ทำการวิจัยในหมู่บ้านเกษตรกรในอินเดีย พบว่าความสุขของชาวบ้านมีความสัมพันธ์กับการทำงานร่วมกันในไร่นา การเฉลิมฉลองเทศกาลทางศาสนา และการมีครอบครัวที่อบอุ่น ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมในกิจกรรมชุมชนและการเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญสามารถสร้างความสุขและความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน 14. การศึกษาความสุขในชุมชนชาวพื้นเมืองในแคนาดา ในการศึกษาชุมชนชาวพื้นเมือง นักมานุษยวิทยาพบว่าความสุขของชาวพื้นเมืองมีความเกี่ยวข้องกับการรักษาภาษาพื้นเมือง การปฏิบัติตามพิธีกรรมดั้งเดิม และการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าการรักษาวัฒนธรรมและภาษาของตนเองเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสุขและความพึงพอใจในชีวิต 15. การศึกษาความสุขในชุมชนพุทธในประเทศศรีลังกา อธิบายถึงความสุขในชุมชนพุทธในศรีลังกา ซึ่งการปฏิบัติธรรมและการมีชีวิตที่เรียบง่ายเป็นปัจจัยที่สำคัญในการสร้างความสุข นักมานุษยวิทยาพบว่าการเข้าร่วมปฏิบัติธรรมและการมีชีวิตที่มีความสงบสามารถเพิ่มความสุขและความรู้สึกของความเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน 16. ชนเผ่า Warlpiri ในออสเตรเลียกลาง มีคำว่า "kardu" ในความหมายของ Warlpiri หมายถึงความสุขที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางสังคมและกิจกรรมชุมชน ความสุขของพวกเขามาจากการเชื่อมโยงกับครอบครัวและชุมชน ซึ่งแสดงถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มากกว่าการมุ่งเน้นไปที่ความสุขในระดับบุคคลตามแบบของสังคมตะวันตก 17. ประเทศวานูอาตูในมหาสมุทรแปซิฟิก สำหรับความสุขในวานูอาตูเชื่อมโยงกับความสามัคคีและความกลมเกลียวของชุมชน คำว่า "lango" ซึ่งแปลว่าความสุข นั้นหมายถึงความพึงพอใจของทั้งตัวบุคคลและชุมชน ความสุขในบริบทนี้เน้นถึงการพึ่งพาอาศัยกันและการสร้างสังคมที่เป็นสุขร่วมกัน ตัวอย่างเหล่านี้เพิ่มเติมให้เห็นถึงความหลากหลายของประสบการณ์และแนวทางในการสร้างความสุขในวัฒนธรรมและบริบทต่างๆ ทำให้เราเข้าใจว่าความสุขไม่ได้มีรูปแบบเดียว ความสุขไม่ได้มีนิยามที่ตายตัว แต่มีการปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายตามบริบทที่แตกต่างกันของแต่ละสังคมวัฒนธรรม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...