หากถามว่าความสุขคืออะไร ความสุขอยู่ที่ไหน เราจะบาลานซ์ชีวิตกับการทำงานเพื่อสร้างความสุขอย่างไร ก่อนพาลูกสาวไปเที่ยวผ่อนคลาย ผมคิดว่างานชิ้นนี้ ทำให้เห็นตัวอย่างของความสุขว่าเราสร้างความสุขเองได้ก็จริง แต่สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างความสุขก็สำคัญ นี่เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ Anthropology of Hapiness ที่ผมพยามสังเคราะห์โดยใช้มุมมองหลายๆศาสตร์ อันนี้ในทางเศรษฐศาสตร์ แต่พรุ่งนี้จะเขียนมิติทางสังคมวัฒนธรรม …สำหรับผมการเขียนงานเพื่อเติมความคิดนี่ล่ะความสุขของผม
หากจะลองเอาเลนส์หรือมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ ในหนังสือ Happiness: A Revolution in Economics" ของ Bruno S. Frey แม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเน้นด้านเศรษฐศาสตร์ แต่หนังสือเล่มนี้ยังมีมุมมองทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับวิธีที่วัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมส่งผลต่อความสุข โดยBruno S. Frey ได้นำเสนอแนวคิดใหม่ในด้านเศรษฐศาสตร์ โดยเน้นการศึกษาความสุข (Happiness) เป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งแตกต่างจากแนวทางดั้งเดิมที่มักเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและรายได้เป็นหลัก สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย
1. การวัดความสุข
Frey เสนอว่าความสุขสามารถวัดได้ผ่านการสำรวจและสอบถามความคิดเห็นของผู้คนเกี่ยวกับระดับความพึงพอใจในชีวิตของพวกเขา โดยใช้เครื่องมือและวิธีการทางจิตวิทยาและเศรษฐศาสตร์เชิงพฤติกรรม รวมถึงปัจจัยเชิงมิติทางสังคมวัฒนธรรมให้ครอบคลุมรอบด้าน
2. ความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความสุข
Frey อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรายได้และความสุขมีลักษณะเป็นเส้นโค้ง กล่าวคือ รายได้ที่เพิ่มขึ้นสามารถเพิ่มความสุขได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งแล้ว การเพิ่มรายได้จะไม่ส่งผลต่อความสุขอีกต่อไป โดย Frey อธิบายถึง "Easterlin Paradox" ซึ่งระบุว่าความสุขเฉลี่ยของประชากรไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อรายได้เฉลี่ยของประเทศเพิ่มขึ้น นั่นคือ รายได้เฉลี่ยของประเทศที่เพิ่มขึ้น ไม่ได้หลายความว่าคนในประเทศจะมีความสุขตามไปด้วย
3.ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสุข
Frey อธิบายถึงปัจจัยหลายอย่างที่มีผลต่อความสุขของบุคคล เช่น สุขภาพ ความสัมพันธ์ส่วนตัว สภาพแวดล้อมการทำงาน การมีส่วนร่วมทางสังคม และความปลอดภัย ล้วนเป็นสภาพแวดล้อมที่สร้างความสุข อีกทั้ง Frey เน้นว่าปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับเงิน เช่น ความสัมพันธ์ทางสังคมและสุขภาพจิต มีความสำคัญมากในการสร้างความสุขด้วยเช่นกัน เงินจึงไม่ได้เป็นตัววัดความสุขอย่างเดียว
4. นโยบายสาธารณะเพื่อความสุข
Frey เสนอให้นโยบายสาธารณะมุ่งเน้นไปที่การสร้างเงื่อนไขที่เอื้อต่อความสุขของประชาชน เช่น การส่งเสริมการทำงานที่ยืดหยุ่น การสร้างชุมชนที่น่าอยู่ และการให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต นอกจากนี้ เขาเน้นว่านโยบายควรมุ่งเน้นการลดความเครียดและความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเป็นหลัก ความสุขก็จะเป็นผลสืบเนื่องตามมาเอง
5. การเปลี่ยนแปลงในวิชาเศรษฐศาสตร์
Frey เรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติในวิชาเศรษฐศาสตร์ โดยย้ายจากการเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและผลผลิตเป็นการมุ่งเน้นความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากร Frey เสนอว่าเศรษฐศาสตร์ควรครอบคลุมถึงการวิเคราะห์ทางสังคมและจิตวิทยามากขึ้น เพื่อให้มีมุมมองที่ครบถ้วนในการสร้างนโยบายที่ครอบคลุมและเข้าใจผู้คนที่ลึกซึ้ง
6. ผลกระทบของโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยี
Frey วิเคราะห์ผลกระทบของโลกาภิวัตน์และการพัฒนาเทคโนโลยีที่มีต่อความสุขของผู้คน โดยชี้ให้เห็นทั้งด้านบวกและลบ เขาเสนอว่าการใช้เทคโนโลยีควรได้รับการจัดการอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดผลดีต่อความสุขของสังคมโดยรวม
หนังสือ "Happiness: A Revolution in Economics" จึงเป็นการเรียกร้องให้นักเศรษฐศาสตร์และผู้กำหนดนโยบายหันมาให้ความสำคัญกับความสุขของประชาชนมากกว่าการเน้นเพียงแค่การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสนอแนวทางใหม่ในการวัดและส่งเสริมความสุขในสังคม
ผมชอบตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือเล่มนี้ เช่น
1. นโยบายการทำงานที่ยืดหยุ่น
ตัวอย่างบริษัทในประเทศสวีเดนเริ่มทดลองการทำงานแบบ “Six-Hour Workday” หรือการทำงานวันละ 6 ชั่วโมง เพื่อให้พนักงานมีเวลามากขึ้นสำหรับชีวิตส่วนตัวและครอบครัว พบว่าพนักงานมีความสุขมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น และมีความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ดีขึ้น
2.การสร้างพื้นที่สีเขียวในเมือง
ตัวอย่างมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ได้ลงทุนในการสร้างสวนสาธารณะและเส้นทางจักรยานเพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ผลจากการวิจัยพบว่าผู้ที่อาศัยใกล้พื้นที่สีเขียวมีระดับความสุขและสุขภาพจิตที่ดีกว่า นอกจากนี้ยังลดความเครียดและส่งเสริมการออกกำลังกายด้วย
3. การปรับปรุงระบบการศึกษา
ตัวอย่างในประเทศฟินแลนด์มีระบบการศึกษาที่เน้นการเรียนรู้แบบยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ โดยให้เวลาพักผ่อนและเล่นมากขึ้น ลดการทดสอบมาตรฐาน และให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของนักเรียน ผลจากกิจกรรมนี้ทำให้นักเรียนมีความสุขมากขึ้น มีความเครียดน้อยลง และมีผลการเรียนที่ดีขึ้นในระยะยาว
4. การส่งเสริมสุขภาพจิตในที่ทำงาน
ตัวอย่างบริษัท Google มีนโยบายส่งเสริมสุขภาพจิตพนักงาน เช่น การจัดโปรแกรมการฝึกสติ (Mindfulness) การให้คำปรึกษาทางจิตวิทยา และการสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่เป็นมิตร โดยผลลัพธ์พบว่าพนักงานมีความสุขมากขึ้น มีความคิดสร้างสรรค์และผลิตภาพที่สูงขึ้น และมีการลดลงของอัตราการลาออก
5. การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ตัวอย่างประเทศนอร์เวย์มีนโยบายการเก็บภาษีที่เป็นธรรมและระบบสวัสดิการที่แข็งแกร่งเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือประชากรมีระดับความสุขสูง และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป
6. การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจทางการเมือง
ตัวอย่างประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีระบบประชาธิปไตยแบบตรง (Direct Democracy) ที่ประชาชนสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมืองผ่านการลงประชามติ โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือประชาชนรู้สึกมีอำนาจและมีความสุขมากขึ้น เนื่องจากมีความรู้สึกว่าตนเองมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของพวกเขา
7. การสร้างเมืองที่มีความสุข
ตัวอย่างเมืองโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย ได้ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเมืองเพื่อส่งเสริมความสุขของประชาชน โดยการสร้างทางเดินเท้าและเลนจักรยานเพิ่มขึ้น ปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะ และส่งเสริมกิจกรรมทางวัฒนธรรม พบว่าประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความเครียดน้อยลง และมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น
8.การส่งเสริมความสุขผ่านวัฒนธรรมองค์กร
ตัวอย่างบริษัท Zappos ในสหรัฐอเมริกา มีนโยบายสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นความสุขของพนักงาน โดยจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมความสัมพันธ์ในที่ทำงาน และให้ความสำคัญกับการพัฒนาส่วนบุคคลของพนักงาน โดยผลลัพธ์*ฃพบว่าพนักงานมีความสุขมากขึ้น มีความพึงพอใจในงานสูง และมีการสร้างสรรค์ผลงานที่ดีขึ้น
9. การลดเวลาการเดินทางเพื่อลดความเครียด
ตัวอย่างหลายบริษัทในประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มใช้ระบบการทำงานจากที่บ้าน (Remote Work) และการทำงานแบบยืดหยุ่นเพื่อลดเวลาการเดินทางของพนักงานผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือพนักงานมีเวลามากขึ้นสำหรับชีวิตส่วนตัว มีความเครียดลดลง และมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น
10.การปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน
ตัวอย่างบริษัท Patagonia ในสหรัฐอเมริกา ได้ออกแบบสถานที่ทำงานที่มีการเชื่อมต่อกับธรรมชาติ เช่น มีหน้าต่างบานใหญ่ที่มองเห็นวิวธรรมชาติ มีพื้นที่สีเขียวในออฟฟิศ และสนับสนุนให้พนักงานออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ผลลัพธ์ที่เกิดคือพนักงานมีความสุขมากขึ้น รู้สึกมีแรงบันดาลใจ และมีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น
11. การจัดตั้งนโยบายการทำงานที่สมดุล
ตัวอย่างบริษัท Volkswagen ในเยอรมนีได้ออกนโยบายปิดระบบอีเมลของพนักงานนอกเวลางาน เพื่อให้พนักงานสามารถพักผ่อนอย่างเต็มที่และลดความเครียดจากการทำงานตลอดเวลา โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือพนักงานมีความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น มีสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว และมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น
12. การสนับสนุนกิจกรรมทางสังคมและการอาสาสมัคร
ตัวอย่างในสหราชอาณาจักร องค์กรต่างๆ ได้ส่งเสริมให้พนักงานเข้าร่วมกิจกรรมอาสาสมัครและการช่วยเหลือชุมชน โดยให้เวลาพักเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือพนักงานรู้สึกมีคุณค่าและมีความสุขมากขึ้น เนื่องจากได้มีส่วนร่วมในการทำความดีและช่วยเหลือสังคม
13. การให้การศึกษาเรื่องการจัดการความเครียด
ตัวอย่างเช่น บริษัท SAP ในเยอรมนีได้จัดการฝึกอบรมและโปรแกรมเพื่อช่วยพนักงานจัดการกับความเครียดและเพิ่มความสุข เช่น การฝึกสติ (Mindfulness Training) และการเรียนรู้เทคนิคการผ่อนคลาย โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือพนักงานมีความสุขและความพึงพอใจในชีวิตมากขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น และมีการลาออกน้อยลง
14.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรม
ตัวอย่างเมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้จัดกิจกรรมศิลปะและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น คอนเสิร์ตกลางแจ้ง เทศกาลศิลปะ และการแสดงละครในสวนสาธารณะ โดยผลลัพธ์จากกิจกรรมคือประชาชนมีความสุขมากขึ้น มีความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน และมีสุขภาพจิตที่ดี
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้แนวคิดของ Bruno S. Frey ในการสร้างนโยบายและกิจกรรมต่างๆ ที่มุ่งเน้นการเพิ่มความสุขของประชาชนและพนักงาน ผ่านการปรับปรุงสภาพแวดล้อมการทำงาน การสนับสนุนการมีส่วนร่วมในชุมชน และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความสุขและความพึงพอใจในชีวิต
โดยแนวคิดการเน้นความสุขในเชิงเศรษฐศาสตร์สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายด้านของสังคม และสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เป็นบวกทั้งในด้านความสุขส่วนบุคคลและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมโดยรวมใจ
ผมอยากให้มีนโยบายแบบนี้ในเรื่องความสุขในองค์กร และในประเทศ..
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น