ในวิชามานุษยวิทยาว่าด้วยเพศวิถี มีงานของนักมานุษยวิทยาที่สำคัญที่ผมแนะนำให้นักศึกษาอ่าน เพื่อดีเบตเรื่องชีววิทยา กับวัฒนธรรม ในการประกอบสร้างความเป็นเพศ คนที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ Margaret Mead
Margaret Mead เป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงและผลงานของเธอมีความสำคัญและน่าสนใจหลายเรื่อง นี่คือตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจของ Mead
1. Coming of Age in Samoa (1928) ถือเป็นงานวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Mead โดยเธอได้ศึกษาวัยรุ่นในหมู่เกาะซามัว และพบว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวนั้นไม่เกิดความเครียดและปัญหามากเท่ากับในสังคมตะวันตก ซึ่งผลงานนี้ทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายเกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมและชีววิทยาในการพัฒนามนุษย์
Coming of Age in Samoa ของ Margaret Mead เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลมากในวงการมานุษยวิทยา สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าแบ่งออกได้เป็น
1.1 ผลกระทบของวัฒนธรรมต่อการเติบโต โดย Mead เน้นถึงความสำคัญของวัฒนธรรมในการกำหนดพฤติกรรมและประสบการณ์ของวัยรุ่น แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวเป็นกระบวนการที่ราบรื่นและไม่มีความเครียดเหมือนในสังคมตะวันตก
1.2 ความยืดหยุ่นของบทบาททางเพศ เธอพบว่าบทบาททางเพศในสังคมซามัวไม่เคร่งครัดและมีความยืดหยุ่นมากกว่าในสังคมตะวันตก ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาของเด็กและวัยรุ่น
1.3 การเรียนรู้แบบปล่อยอิสระ จากการศึกษาภาคสนามพบว่า เด็กซามัวได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีความเสรีในการเรียนรู้ โดยไม่มีการควบคุมหรือกดดันจากผู้ใหญ่ในเรื่องการเติบโตหรือการทำตามบทบาทที่คาดหวัง
ตัวอย่างรูปธรรมในงานชิ้นนี้ที่น่าสนใจ อาทิเช่น
การศึกษาผ่านการสังเกตชีวิตประจำวัน โดย Mead ใช้วิธีการสังเกตชีวิตประจำวันของเด็กและวัยรุ่นซามัวในการวิจัยของเธอ พบว่าเด็กในซามัวมีอิสระในการสำรวจและเรียนรู้จากการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยไม่มีการบังคับจากผู้ใหญ่
การเข้าถึงทางเพศที่เปิดเผยและไม่มีการสร้างภาวะความลำบากใจ โดยในสังคมซามัว การพูดคุยและการปฏิบัติทางเพศเป็นเรื่องธรรมดา วัยรุ่นมีโอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องเพศโดยตรงจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคนในครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตกที่มีการกีดกันและการสร้างความรู้สึกผิดในเรื่องเพศ
การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน ซึ่งMead พบว่าการเติบโตของเด็กในซามัวได้รับการสนับสนุนจากทั้งครอบครัวและชุมชน โดยมีการแบ่งปันความรับผิดชอบและการดูแลกันเป็นกลุ่ม ซึ่งทำให้เด็กมีความมั่นคงและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
งานวิจัยนี้ของ Mead จึงช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมในการพัฒนามนุษย์และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยาที่เกี่ยวกับเด็กในยุคต่อมา
โดยพื้นที่ศึกษาของ Margaret Mead ในงานวิจัย "Coming of Age in Samoa" อยู่ที่หมู่เกาะซามัว (Samoa Islands) ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ หมู่เกาะซามัวแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือประเทศซามัว (Independent State of Samoa) เดิมรู้จักในชื่อ Western Samoa จนถึงปี 1997 ประกอบด้วยสองเกาะหลักคือ Upolu และ Savai'i พร้อมกับเกาะเล็ก ๆ อื่น ๆ
รวมถึงสาวอเมริกันซามัวนที่เรียกว่า อเมริกันซามัว (American Samoa) ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยเกาะหลัก Tutuila และกลุ่มเกาะ Manua โดย Mead ทำการวิจัยภาคสนามในหมู่เกาะเหล่านี้ในช่วงปี 1925-1926 โดยเธอเน้นศึกษาวัยรุ่นในหมู่บ้านต่าง ๆ บนเกาะ Upolu ของประเทศซามัว งานวิจัยของเธอเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในวัฒนธรรมซามัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ Coming of Age in Samoa
2. Growing Up in New Guinea (1930) ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องจากการศึกษาวัยรุ่นในวัฒนธรรมต่าง ๆ ของ Mead โดยเน้นศึกษาการเติบโตและพัฒนาของเด็กในหมู่บ้าน Manus ของนิวกินี
Growing Up in New Guinea ของ Margaret Mead ถือเป็นหนังสือที่สำคัญในวงการมานุษยวิทยา โดยเธอศึกษาชีวิตของชาว Manus ในหมู่เกาะนิวกินี สาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ
2.1 ผลกระทบของสังคมต่อการพัฒนาเด็ก ซึ่ง Mead วิเคราะห์วิธีที่สังคม Manus เลี้ยงดูและสอนเด็ก ๆ โดยเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ และเด็กกับเด็กในชุมชน
2.2. ความสำคัญของการเรียนรู้ทางสังคม เธอพบว่าการเรียนรู้ในสังคม Manus เกิดขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน และการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ
2.3 บทบาทของครอบครัวและชุมชน โดย Mead เน้นถึงบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการสร้างบุคลิกภาพและทักษะทางสังคมของเด็ก โดยการสนับสนุนและการเลี้ยงดูแบบร่วมกัน
ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจในงาน ประกอบด้วยประเด็นต่างๆดังนี้
การเลี้ยงดูแบบชุมชน Mead พบว่าการเลี้ยงดูเด็กในหมู่บ้าน Manus เป็นหน้าที่ของทั้งชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่พ่อแม่เท่านั้น เด็กจะได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่หลายคน และทุกคนในหมู่บ้านมีบทบาทในการสอนและเลี้ยงดูเด็ก
การเรียนรู้ผ่านการสังเกตและการมีส่วนร่วม โดยเด็กใน Manus เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ผ่านการสังเกตและการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้ใหญ่ เช่น การตกปลา การทำสวน และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเรียนรู้แบบนี้ทำให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมของตน
การไม่มีความเครียดจากการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็คล้ายกับที่ Mead พบในซามัว เด็กใน Manus เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นโดยไม่มีความเครียดหรือความขัดแย้งใหญ่โต กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน
ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ โดย Mead สังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพศใน Manus เป็นไปอย่างสมดุลและไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างบทบาทของผู้ชายและผู้หญิง การทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ มักจะทำร่วมกันโดยไม่คำนึงถึงเพศ
ดังนั้นงานวิจัย "Growing Up in New Guinea" ของ Mead ช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของวัฒนธรรมและสังคมในการพัฒนาเด็ก และเน้นถึงบทบาทของชุมชนในการสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมนั้น ๆ งานนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและการศึกษาในด้านการพัฒนาเด็กเป็นอย่างมาก
3. หนังสือเรื่อง Sex and Temperament in Three Primitive Societies (1935) โดย Mead ศึกษาสังคม 3 แห่งในนิวกินีและพบว่าบทบาทเพศ (gender roles) และอารมณ์ (temperament) แตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของบทบาทเพศในสังคมมนุษย์ ถือเป็นงานวิจัยที่สำคัญซึ่งเธอศึกษาเรื่องบทบาทเพศและอารมณ์ใน 3 สังคมที่แตกต่างกัน ในนิวกินี สาระสำคัญและตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานนี้มีดังนี้
3.1 ความยืดหยุ่นของบทบาทเพศ โดย Mead แสดงให้เห็นว่าบทบาทเพศไม่ใช่สิ่งที่กำหนดโดยธรรมชาติทางชีววิทยา แต่เป็นผลมาจากวัฒนธรรมและการเลี้ยงดู ซึ่งหมายความว่าความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิงนั้นยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ตามสังคม
3.2 ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบทบาทเพศ งานวิจัยของเธอเน้นย้ำถึงความแตกต่างในบทบาทเพศและอารมณ์ในสามสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกำหนดบทบาทเพศในแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีความหลากหลายและไม่ได้ตายตัว
3.3 การท้าทายแนวคิดเรื่องบทบาทเพศในสังคมตะวันตก ซึ่งผลงานของ Mead ท้าทายแนวคิดเรื่องบทบาทเพศในสังคมตะวันตกที่มองว่าเพศชายต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและเพศหญิงต้องเป็นผู้ดูแลและอ่อนโยน
สำหรับตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในงานชิ้นนี้คือ
สังคม Arapesh โดย Mead พบว่าในสังคม Arapesh ทั้งชายและหญิงมีบทบาทเป็นมิตรและให้ความร่วมมือกัน เด็กทั้งสองเพศได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะเดียวกัน และไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางเพศอย่างชัดเจน เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนและไม่ก้าวร้าว
สังคม Mundugumor มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Arapesh, ในสังคม Mundugumor ทั้งชายและหญิงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและแข่งขันกัน เด็กทั้งสองเพศถูกเลี้ยงดูให้เป็นนักสู้และมีความเข้มแข็ง Mead พบว่าทั้งชายและหญิงในสังคมนี้มีความเข้มงวดและไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
สังคม Tchambuli โดยในสังคม Tchambuli, Mead พบว่าบทบาทเพศกลับกันจากที่พบในสังคมตะวันตก คือเพศหญิงเป็นผู้ที่มีบทบาทนำและทำงานภายนอกบ้าน ขณะที่เพศชายมีบทบาทในการดูแลบ้านและมีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า ผู้หญิงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในชุมชน
Mead ใช้การเปรียบเทียบระหว่าง 3 สังคมนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าบทบาทเพศและอารมณ์เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูและวัฒนธรรม ไม่ใช่จากธรรมชาติทางชีววิทยา งานวิจัยนี้ของเธอทำให้เกิดการทบทวนใหม่เกี่ยวกับบทบาทเพศและมีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยาอย่างมาก
4. หนังสือ Male and Female: A Study of the Sexes in a Changing World (1949) ในงานชิ้นนี้ Mead วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิงในหลายวัฒนธรรม โดยเน้นถึงบทบาททางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมของเพศ เป็นงานวิจัยที่สำคัญของ Margaret Mead ที่สำรวจบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิงในวัฒนธรรมต่าง ๆ สาระสำคัญดังนี้คือ
4.1 การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทเพศในวัฒนธรรมต่าง ๆ โดย Mead สำรวจและเปรียบเทียบบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิงในหลายสังคม เพื่อทำความเข้าใจว่าความแตกต่างเหล่านี้มีสาเหตุมาจากวัฒนธรรมมากกว่าชีววิทยา
4.2. การพิจารณาความยืดหยุ่นของบทบาทเพศ โดยงานวิจัยนี้เน้นถึงความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลงของบทบาทเพศในสังคมต่าง ๆ ซึ่งท้าทายแนวคิดแบบตายตัวที่ว่าเพศชายและหญิงมีบทบาทที่ไม่เปลี่ยนแปลง
4.3 บทบาทของการเลี้ยงดูและสังคม ซึ่ง Mead แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมทางสังคมมีผลกระทบต่อการพัฒนาบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิง
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานชิ้นนี้ คือ
บทบาทของเพศในสังคมต่าง ๆ โดย Mead วิเคราะห์บทบาทของเพศชายและหญิงในหลายสังคม เช่น สังคม Tchambuli ที่เพศหญิงมีบทบาทนำและทำงานภายนอกบ้าน ขณะที่เพศชายมีบทบาทในการดูแลบ้านและมีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า หรือสังคม Mundugumor ที่ทั้งเพศชายและหญิงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและแข่งขันกัน
การเลี้ยงดูเด็กในวัฒนธรรมต่าง ๆ โดย Mead อธิบายว่าการเลี้ยงดูเด็กในแต่ละวัฒนธรรมส่งผลให้เกิดความแตกต่างในพฤติกรรมและบทบาทของเพศชายและหญิง เช่น เด็กชายและเด็กหญิงในสังคม Arapesh ได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางเพศอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทั้งสองเพศมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนและให้ความร่วมมือกัน
ผลกระทบของสังคมสมัยใหม่ต่อบทบาทเพศซึ่ง Mead พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาทเพศในสังคมสมัยใหม่ โดยเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของผู้หญิงที่เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของผู้ชายที่เริ่มมีส่วนร่วมในการดูแลบ้านและเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น
งานวิจัย "Male and Female" ของ Margaret Mead เน้นถึงความหลากหลายและความยืดหยุ่นของบทบาทเพศในวัฒนธรรมต่าง ๆ และท้าทายแนวคิดที่ว่าเพศชายและหญิงมีบทบาทที่ตายตัว งานนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา โดยเน้นให้เห็นถึงบทบาทของวัฒนธรรมในการกำหนดพฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิง
Margaret Mead ใช้แนวคิดหลักหลายประการในการศึกษาวิจัยของเธอ โดยเน้นไปที่วิธีการที่วัฒนธรรมและสังคมมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดหลักที่ Mead ใช้ อาทิเช่น
1. การกำหนดบทบาทเพศโดยวัฒนธรรม โดย Mead เชื่อว่าบทบาทเพศไม่ได้ถูกกำหนดโดยชีววิทยาเพียงอย่างเดียว แต่ถูกสร้างขึ้นและปรับเปลี่ยนได้โดยวัฒนธรรมและสังคม ตัวอย่างในงานวิจัยของเธอ เช่น "Sex and Temperament in Three Primitive Societies" แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความหลากหลายของบทบาทเพศในสังคมต่าง ๆ
2. การเรียนรู้ทางสังคม โดย Mead เน้นถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากการสังเกตและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนและครอบครัว โดยการเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่น ใน "Growing Up in New Guinea" เธอพบว่าเด็กในสังคม Manus เรียนรู้ทักษะและบทบาทจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน
3. ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนา ซึ่ง Mead เชื่อว่าการพัฒนาทางจิตวิทยาและสังคมของบุคคลนั้นถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมที่พวกเขาอาศัยอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนานี้เป็นหัวข้อหลักในงานของเธอ เช่น "Coming of Age in Samoa" ที่เธอศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวเป็นอย่างไร
4. ความยืดหยุ่นของพฤติกรรมมนุษย์ โดย Mead เน้นว่าไม่มีพฤติกรรมใดที่เป็นธรรมชาติหรือไม่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมมนุษย์มีความยืดหยุ่นและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามวัฒนธรรมและการเลี้ยงดู ตัวอย่างเช่น ใน "Male and Female" เธอแสดงให้เห็นว่าบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม
5. การวิจัยภาคสนามแบบเข้าไปมีส่วนร่วม โดย
Mead เป็นผู้บุกเบิกการใช้วิธีการวิจัยภาคสนามแบบเข้ามีส่วนร่วม (participant observation) โดยเธอใช้เวลาร่วมกับชุมชนที่เธอศึกษา เรียนรู้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวันของพวกเขา วิธีการนี้ช่วยให้เธอเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมของชุมชนเหล่านั้นได้ลึกซึ้ง
6. การท้าทายและการวิจารณ์สังคมตะวันตก ซึ่งผลงานของ Mead มักท้าทายแนวคิดและค่านิยมในสังคมตะวันตก โดยเน้นถึงความหลากหลายและความเป็นไปได้ที่จะแตกต่างกันไปของบทบาทและพฤติกรรมของมนุษย์ในวัฒนธรรมต่าง ๆ
แนวคิดเหล่านี้ทำให้ Mead กลายเป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิธีการและแนวคิดในสาขามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ผลงานของ Margaret Mead ทำให้เกิดการสนทนาและการวิจัยที่สำคัญในด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา และยังคงมีอิทธิพลในวงการวิชาการจนถึงปัจจุบัน
เสริมอาหารสมอง ก่อนลงสำรวจชุมชนตลาดยามเช้า …ของนักมานุษยวิทยา..
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น