ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Margaret Mead และผลงานสำคัญของเธอ

ในวิชามานุษยวิทยาว่าด้วยเพศวิถี มีงานของนักมานุษยวิทยาที่สำคัญที่ผมแนะนำให้นักศึกษาอ่าน เพื่อดีเบตเรื่องชีววิทยา กับวัฒนธรรม ในการประกอบสร้างความเป็นเพศ คนที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ Margaret Mead Margaret Mead เป็นนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงและผลงานของเธอมีความสำคัญและน่าสนใจหลายเรื่อง นี่คือตัวอย่างผลงานที่น่าสนใจของ Mead 1. Coming of Age in Samoa (1928) ถือเป็นงานวิจัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Mead โดยเธอได้ศึกษาวัยรุ่นในหมู่เกาะซามัว และพบว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวนั้นไม่เกิดความเครียดและปัญหามากเท่ากับในสังคมตะวันตก ซึ่งผลงานนี้ทำให้เกิดข้อโต้แย้งมากมายเกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมและชีววิทยาในการพัฒนามนุษย์ Coming of Age in Samoa ของ Margaret Mead เป็นหนังสือที่มีอิทธิพลมากในวงการมานุษยวิทยา สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ ผมคิดว่าแบ่งออกได้เป็น 1.1 ผลกระทบของวัฒนธรรมต่อการเติบโต โดย Mead เน้นถึงความสำคัญของวัฒนธรรมในการกำหนดพฤติกรรมและประสบการณ์ของวัยรุ่น แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวเป็นกระบวนการที่ราบรื่นและไม่มีความเครียดเหมือนในสังคมตะวันตก 1.2 ความยืดหยุ่นของบทบาททางเพศ เธอพบว่าบทบาททางเพศในสังคมซามัวไม่เคร่งครัดและมีความยืดหยุ่นมากกว่าในสังคมตะวันตก ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาของเด็กและวัยรุ่น 1.3 การเรียนรู้แบบปล่อยอิสระ จากการศึกษาภาคสนามพบว่า เด็กซามัวได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่มีความเสรีในการเรียนรู้ โดยไม่มีการควบคุมหรือกดดันจากผู้ใหญ่ในเรื่องการเติบโตหรือการทำตามบทบาทที่คาดหวัง ตัวอย่างรูปธรรมในงานชิ้นนี้ที่น่าสนใจ อาทิเช่น การศึกษาผ่านการสังเกตชีวิตประจำวัน โดย Mead ใช้วิธีการสังเกตชีวิตประจำวันของเด็กและวัยรุ่นซามัวในการวิจัยของเธอ พบว่าเด็กในซามัวมีอิสระในการสำรวจและเรียนรู้จากการเล่นและการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ โดยไม่มีการบังคับจากผู้ใหญ่ การเข้าถึงทางเพศที่เปิดเผยและไม่มีการสร้างภาวะความลำบากใจ โดยในสังคมซามัว การพูดคุยและการปฏิบัติทางเพศเป็นเรื่องธรรมดา วัยรุ่นมีโอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องเพศโดยตรงจากการมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและคนในครอบครัว ซึ่งแตกต่างจากสังคมตะวันตกที่มีการกีดกันและการสร้างความรู้สึกผิดในเรื่องเพศ การสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน ซึ่งMead พบว่าการเติบโตของเด็กในซามัวได้รับการสนับสนุนจากทั้งครอบครัวและชุมชน โดยมีการแบ่งปันความรับผิดชอบและการดูแลกันเป็นกลุ่ม ซึ่งทำให้เด็กมีความมั่นคงและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม งานวิจัยนี้ของ Mead จึงช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับบทบาทของวัฒนธรรมในการพัฒนามนุษย์และมีอิทธิพลอย่างมากต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยาที่เกี่ยวกับเด็กในยุคต่อมา โดยพื้นที่ศึกษาของ Margaret Mead ในงานวิจัย "Coming of Age in Samoa" อยู่ที่หมู่เกาะซามัว (Samoa Islands) ซึ่งตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ หมู่เกาะซามัวแบ่งเป็นสองส่วนหลัก ๆ คือประเทศซามัว (Independent State of Samoa) เดิมรู้จักในชื่อ Western Samoa จนถึงปี 1997 ประกอบด้วยสองเกาะหลักคือ Upolu และ Savai'i พร้อมกับเกาะเล็ก ๆ อื่น ๆ รวมถึงสาวอเมริกันซามัวนที่เรียกว่า อเมริกันซามัว (American Samoa) ซึ่งเป็นดินแดนของสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วยเกาะหลัก Tutuila และกลุ่มเกาะ Manua โดย Mead ทำการวิจัยภาคสนามในหมู่เกาะเหล่านี้ในช่วงปี 1925-1926 โดยเธอเน้นศึกษาวัยรุ่นในหมู่บ้านต่าง ๆ บนเกาะ Upolu ของประเทศซามัว งานวิจัยของเธอเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในวัฒนธรรมซามัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ Coming of Age in Samoa 2. Growing Up in New Guinea (1930) ผลงานชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ต่อเนื่องจากการศึกษาวัยรุ่นในวัฒนธรรมต่าง ๆ ของ Mead โดยเน้นศึกษาการเติบโตและพัฒนาของเด็กในหมู่บ้าน Manus ของนิวกินี Growing Up in New Guinea ของ Margaret Mead ถือเป็นหนังสือที่สำคัญในวงการมานุษยวิทยา โดยเธอศึกษาชีวิตของชาว Manus ในหมู่เกาะนิวกินี สาระสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ 2.1 ผลกระทบของสังคมต่อการพัฒนาเด็ก ซึ่ง Mead วิเคราะห์วิธีที่สังคม Manus เลี้ยงดูและสอนเด็ก ๆ โดยเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ และเด็กกับเด็กในชุมชน 2.2. ความสำคัญของการเรียนรู้ทางสังคม เธอพบว่าการเรียนรู้ในสังคม Manus เกิดขึ้นผ่านการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน และการสังเกตพฤติกรรมของผู้ใหญ่และเพื่อน ๆ 2.3 บทบาทของครอบครัวและชุมชน โดย Mead เน้นถึงบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการสร้างบุคลิกภาพและทักษะทางสังคมของเด็ก โดยการสนับสนุนและการเลี้ยงดูแบบร่วมกัน ตัวอย่างรูปธรรมที่น่าสนใจในงาน ประกอบด้วยประเด็นต่างๆดังนี้ การเลี้ยงดูแบบชุมชน Mead พบว่าการเลี้ยงดูเด็กในหมู่บ้าน Manus เป็นหน้าที่ของทั้งชุมชน ไม่ใช่เพียงแค่พ่อแม่เท่านั้น เด็กจะได้รับการดูแลจากผู้ใหญ่หลายคน และทุกคนในหมู่บ้านมีบทบาทในการสอนและเลี้ยงดูเด็ก การเรียนรู้ผ่านการสังเกตและการมีส่วนร่วม โดยเด็กใน Manus เรียนรู้ทักษะต่าง ๆ ผ่านการสังเกตและการเข้าร่วมกิจกรรมของผู้ใหญ่ เช่น การตกปลา การทำสวน และการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา การเรียนรู้แบบนี้ทำให้เด็กมีทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมของตน การไม่มีความเครียดจากการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก็คล้ายกับที่ Mead พบในซามัว เด็กใน Manus เปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นโดยไม่มีความเครียดหรือความขัดแย้งใหญ่โต กระบวนการนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากการสนับสนุนจากครอบครัวและชุมชน ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ โดย Mead สังเกตเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเพศใน Manus เป็นไปอย่างสมดุลและไม่มีการแบ่งแยกที่ชัดเจนระหว่างบทบาทของผู้ชายและผู้หญิง การทำงานและกิจกรรมต่าง ๆ มักจะทำร่วมกันโดยไม่คำนึงถึงเพศ ดังนั้นงานวิจัย "Growing Up in New Guinea" ของ Mead ช่วยให้เข้าใจถึงความสำคัญของวัฒนธรรมและสังคมในการพัฒนาเด็ก และเน้นถึงบทบาทของชุมชนในการสร้างความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในสังคมนั้น ๆ งานนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและการศึกษาในด้านการพัฒนาเด็กเป็นอย่างมาก 3. หนังสือเรื่อง Sex and Temperament in Three Primitive Societies (1935) โดย Mead ศึกษาสังคม 3 แห่งในนิวกินีและพบว่าบทบาทเพศ (gender roles) และอารมณ์ (temperament) แตกต่างกันมากขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ทำให้เกิดความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับความยืดหยุ่นของบทบาทเพศในสังคมมนุษย์ ถือเป็นงานวิจัยที่สำคัญซึ่งเธอศึกษาเรื่องบทบาทเพศและอารมณ์ใน 3 สังคมที่แตกต่างกัน ในนิวกินี สาระสำคัญและตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานนี้มีดังนี้ 3.1 ความยืดหยุ่นของบทบาทเพศ โดย Mead แสดงให้เห็นว่าบทบาทเพศไม่ใช่สิ่งที่กำหนดโดยธรรมชาติทางชีววิทยา แต่เป็นผลมาจากวัฒนธรรมและการเลี้ยงดู ซึ่งหมายความว่าความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิงนั้นยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ตามสังคม 3.2 ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในบทบาทเพศ งานวิจัยของเธอเน้นย้ำถึงความแตกต่างในบทบาทเพศและอารมณ์ในสามสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกำหนดบทบาทเพศในแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีความหลากหลายและไม่ได้ตายตัว 3.3 การท้าทายแนวคิดเรื่องบทบาทเพศในสังคมตะวันตก ซึ่งผลงานของ Mead ท้าทายแนวคิดเรื่องบทบาทเพศในสังคมตะวันตกที่มองว่าเพศชายต้องเป็นผู้แข็งแกร่งและเพศหญิงต้องเป็นผู้ดูแลและอ่อนโยน สำหรับตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในงานชิ้นนี้คือ สังคม Arapesh โดย Mead พบว่าในสังคม Arapesh ทั้งชายและหญิงมีบทบาทเป็นมิตรและให้ความร่วมมือกัน เด็กทั้งสองเพศได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะเดียวกัน และไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางเพศอย่างชัดเจน เพศชายและเพศหญิงมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนและไม่ก้าวร้าว สังคม Mundugumor มีลักษณะตรงกันข้ามกับ Arapesh, ในสังคม Mundugumor ทั้งชายและหญิงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและแข่งขันกัน เด็กทั้งสองเพศถูกเลี้ยงดูให้เป็นนักสู้และมีความเข้มแข็ง Mead พบว่าทั้งชายและหญิงในสังคมนี้มีความเข้มงวดและไม่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น สังคม Tchambuli โดยในสังคม Tchambuli, Mead พบว่าบทบาทเพศกลับกันจากที่พบในสังคมตะวันตก คือเพศหญิงเป็นผู้ที่มีบทบาทนำและทำงานภายนอกบ้าน ขณะที่เพศชายมีบทบาทในการดูแลบ้านและมีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า ผู้หญิงเป็นผู้ตัดสินใจหลักในชุมชน Mead ใช้การเปรียบเทียบระหว่าง 3 สังคมนี้เพื่อแสดงให้เห็นว่าบทบาทเพศและอารมณ์เป็นผลมาจากการเลี้ยงดูและวัฒนธรรม ไม่ใช่จากธรรมชาติทางชีววิทยา งานวิจัยนี้ของเธอทำให้เกิดการทบทวนใหม่เกี่ยวกับบทบาทเพศและมีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยาอย่างมาก 4. หนังสือ Male and Female: A Study of the Sexes in a Changing World (1949) ในงานชิ้นนี้ Mead วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างเพศชายและหญิงในหลายวัฒนธรรม โดยเน้นถึงบทบาททางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อพฤติกรรมของเพศ เป็นงานวิจัยที่สำคัญของ Margaret Mead ที่สำรวจบทบาทและความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิงในวัฒนธรรมต่าง ๆ สาระสำคัญดังนี้คือ 4.1 การศึกษาเปรียบเทียบบทบาทเพศในวัฒนธรรมต่าง ๆ โดย Mead สำรวจและเปรียบเทียบบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิงในหลายสังคม เพื่อทำความเข้าใจว่าความแตกต่างเหล่านี้มีสาเหตุมาจากวัฒนธรรมมากกว่าชีววิทยา 4.2. การพิจารณาความยืดหยุ่นของบทบาทเพศ โดยงานวิจัยนี้เน้นถึงความยืดหยุ่นและการเปลี่ยนแปลงของบทบาทเพศในสังคมต่าง ๆ ซึ่งท้าทายแนวคิดแบบตายตัวที่ว่าเพศชายและหญิงมีบทบาทที่ไม่เปลี่ยนแปลง 4.3 บทบาทของการเลี้ยงดูและสังคม ซึ่ง Mead แสดงให้เห็นว่าการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อมทางสังคมมีผลกระทบต่อการพัฒนาบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิง ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานชิ้นนี้ คือ บทบาทของเพศในสังคมต่าง ๆ โดย Mead วิเคราะห์บทบาทของเพศชายและหญิงในหลายสังคม เช่น สังคม Tchambuli ที่เพศหญิงมีบทบาทนำและทำงานภายนอกบ้าน ขณะที่เพศชายมีบทบาทในการดูแลบ้านและมีอารมณ์ที่ละเอียดอ่อนกว่า หรือสังคม Mundugumor ที่ทั้งเพศชายและหญิงมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและแข่งขันกัน การเลี้ยงดูเด็กในวัฒนธรรมต่าง ๆ โดย Mead อธิบายว่าการเลี้ยงดูเด็กในแต่ละวัฒนธรรมส่งผลให้เกิดความแตกต่างในพฤติกรรมและบทบาทของเพศชายและหญิง เช่น เด็กชายและเด็กหญิงในสังคม Arapesh ได้รับการเลี้ยงดูในลักษณะเดียวกัน โดยไม่มีการแบ่งแยกบทบาททางเพศอย่างชัดเจน ส่งผลให้ทั้งสองเพศมีพฤติกรรมที่อ่อนโยนและให้ความร่วมมือกัน ผลกระทบของสังคมสมัยใหม่ต่อบทบาทเพศซึ่ง Mead พิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของบทบาทเพศในสังคมสมัยใหม่ โดยเน้นถึงการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของผู้หญิงที่เข้าสู่ตลาดแรงงานมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในบทบาทของผู้ชายที่เริ่มมีส่วนร่วมในการดูแลบ้านและเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น งานวิจัย "Male and Female" ของ Margaret Mead เน้นถึงความหลากหลายและความยืดหยุ่นของบทบาทเพศในวัฒนธรรมต่าง ๆ และท้าทายแนวคิดที่ว่าเพศชายและหญิงมีบทบาทที่ตายตัว งานนี้มีอิทธิพลต่อการศึกษามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา โดยเน้นให้เห็นถึงบทบาทของวัฒนธรรมในการกำหนดพฤติกรรมและความสัมพันธ์ระหว่างเพศชายและหญิง Margaret Mead ใช้แนวคิดหลักหลายประการในการศึกษาวิจัยของเธอ โดยเน้นไปที่วิธีการที่วัฒนธรรมและสังคมมีผลกระทบต่อพฤติกรรมและการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดหลักที่ Mead ใช้ อาทิเช่น 1. การกำหนดบทบาทเพศโดยวัฒนธรรม โดย Mead เชื่อว่าบทบาทเพศไม่ได้ถูกกำหนดโดยชีววิทยาเพียงอย่างเดียว แต่ถูกสร้างขึ้นและปรับเปลี่ยนได้โดยวัฒนธรรมและสังคม ตัวอย่างในงานวิจัยของเธอ เช่น "Sex and Temperament in Three Primitive Societies" แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความหลากหลายของบทบาทเพศในสังคมต่าง ๆ 2. การเรียนรู้ทางสังคม โดย Mead เน้นถึงความสำคัญของการเรียนรู้จากการสังเกตและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชนและครอบครัว โดยการเรียนรู้แบบนี้เกิดขึ้นตลอดชีวิต ตัวอย่างเช่น ใน "Growing Up in New Guinea" เธอพบว่าเด็กในสังคม Manus เรียนรู้ทักษะและบทบาทจากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมของชุมชน 3. ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนา ซึ่ง Mead เชื่อว่าการพัฒนาทางจิตวิทยาและสังคมของบุคคลนั้นถูกกำหนดโดยวัฒนธรรมที่พวกเขาอาศัยอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและการพัฒนานี้เป็นหัวข้อหลักในงานของเธอ เช่น "Coming of Age in Samoa" ที่เธอศึกษาว่าการเปลี่ยนแปลงจากวัยเด็กสู่วัยรุ่นในสังคมซามัวเป็นอย่างไร 4. ความยืดหยุ่นของพฤติกรรมมนุษย์ โดย Mead เน้นว่าไม่มีพฤติกรรมใดที่เป็นธรรมชาติหรือไม่เปลี่ยนแปลง พฤติกรรมมนุษย์มีความยืดหยุ่นและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามวัฒนธรรมและการเลี้ยงดู ตัวอย่างเช่น ใน "Male and Female" เธอแสดงให้เห็นว่าบทบาทและพฤติกรรมของเพศชายและหญิงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม 5. การวิจัยภาคสนามแบบเข้าไปมีส่วนร่วม โดย Mead เป็นผู้บุกเบิกการใช้วิธีการวิจัยภาคสนามแบบเข้ามีส่วนร่วม (participant observation) โดยเธอใช้เวลาร่วมกับชุมชนที่เธอศึกษา เรียนรู้จากการมีส่วนร่วมในกิจกรรมประจำวันของพวกเขา วิธีการนี้ช่วยให้เธอเข้าใจวัฒนธรรมและพฤติกรรมของชุมชนเหล่านั้นได้ลึกซึ้ง 6. การท้าทายและการวิจารณ์สังคมตะวันตก ซึ่งผลงานของ Mead มักท้าทายแนวคิดและค่านิยมในสังคมตะวันตก โดยเน้นถึงความหลากหลายและความเป็นไปได้ที่จะแตกต่างกันไปของบทบาทและพฤติกรรมของมนุษย์ในวัฒนธรรมต่าง ๆ แนวคิดเหล่านี้ทำให้ Mead กลายเป็นหนึ่งในนักมานุษยวิทยาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาวิธีการและแนวคิดในสาขามานุษยวิทยาและสังคมวิทยา ผลงานของ Margaret Mead ทำให้เกิดการสนทนาและการวิจัยที่สำคัญในด้านมานุษยวิทยาและสังคมวิทยา และยังคงมีอิทธิพลในวงการวิชาการจนถึงปัจจุบัน เสริมอาหารสมอง ก่อนลงสำรวจชุมชนตลาดยามเช้า …ของนักมานุษยวิทยา..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...