พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคมล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ
1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง
2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีการสร้างสัญลักษณ์ที่เกี่ยวโยงกับสถานที่ และจัดว่าเป็นชายขอบ วงนอกของสังคม (outside society) และมักมีข้อห้าม(taboo) หรือข้อจำกัดในช่วงเวลาแห่งพิธีกรรมนี้ ทำให้ภาวะกฏเกณฑ์ที่ควบคุมหรือสร้างความเป็นปกติของชุมชนอาจต้องหยุดระงับชั่วคราว ละเว้น หรือคลายข้อกำหนดที่เข้มงวด หรือพิธีกรรมดังกล่าวอาจจะสะท้อนสัญลักษณ์แห่งการตายเพื่อการเกิดใหม่
3.rite of incorporation เป็นส่วนของพิธีกรรมที่เปลี่ยนผ่านอย่างสมบูรณ์เพื่อเข้าไปสู่สถานภาพใหม่ โดยการยกเลิกข้อห้าม การได้รับสถานภาพใหม่ ยศใหม่ เครื่องหมายใหม่ รวมทั้งการจัดงานรื่นเริง รับประทานอาหารร่วมกัน
Arnold Van Gennep อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตของปัจเจกบุคคลในช่วงต่างๆ ที่นำไปสู่การเกิดพิธีกรรมที่เรียกว่าrite of passage หรือพิธีกรรมของการเปลี่ยนผ่าน
ในมุมมองของ victor turner พิธีกรรมเป็นการกระทำในเขิงสัญลักษณ์ เป็นพฤติกรรมที่ถูกกำหนดในโอกาสที่เฉพาะไม่ใช่สิ่งที่ทำเป็นปกติในขีวิตประจำวัน โดยเชื่อมโยงกับความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ และศาสนา ซึ่งระบบสัญลักษณ์เป็นหน่วยที่กักเก็บและบรรจุตวสใหมายมากมาย สัญลักษณ์เป็นได้ทั้งสิ่งของ กิจกรรม คำพูด ความสัมพันธ์เหตุการณ์ ลักษณะท่าทาง การแสดงออก เป็นต้น
Turner แบ่งสัญลักษณ์ทางพิธีกรรมออกเป็น 2 แบบคือ 1.Dominant Symbol ที่มีลักษณะcondensation คือความหมายหลายนัยยะ (polysemy) มีความหมายก้ำกึ่งคลุมเครือ (multivocality) เนื่องจากสัญลักษณ์หยึ่งสามารถทดแทนสิ่งต่างๆและการกระทำที่แตกต่างกัน
มีลักษณะที่ทำให้ความหมายที่ไม่สัมพันธ์กัน รวมกันเป็นเอกภาพ (Unification of disparate signification) ที่เกิดจากการเชื่อมโยงความหมาย ที่ซ่อนเร้นหรือแฝงอยู่ในระบบสัญลักษณ์ กับคุณสมบัติหรือคุณลักษณะที่เป็นจริงหรือความคิดที่สังคมกำหนดไว้แล้ว
มีลักษณะของขั้วความหมาย(Polarization of meaning) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2ขั้วคือ
1.1 ขั้วของความรู้สึก (ideological pole) ที่หมายความถึงกลุ่มของความหมายที่อ้างถึงส่วนประกอบของคุณธรรมและระเบียบของสังคม
คือสัญลักษณ์ทำหน้าที่เป็นสื่อและช่องทางของการให้ความหมายและอารมณ์ คือมันเป็นภาวะแบบสองขั้วของสัญลักษณ์ในเชิงของอุดมคติหรือสื่อให้เห็นความหมายของสังคม ในด้านหนึ่งสัญลักษณ์ก็เชื่อมโยงกับอารมณ์ความรู้สึก อาจกล่าวได้ว่า ขั้วอุดมคติที่เทอเนอร์กล่าวถึงคือ “ importance of group norms and values, such as matriliny” หมายความว่ากลุ่มบรรทัดฐาน และค่านิยม เช่นในสังคม Ndembu ที่ยึดถือการสืบเชื้อสายฝ่ายแม่
1.2 ขั้วของความรู้สึก (sensory pole) ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อออกมาโดยตรง ความหมายจะมีลักษณะเป็นไปโดยธรรมชาติ หรือเป็นปรากฏการณ์ทางกายภาพ รวมถึงเป็นกระบวนการปลุกเร้าความต้องการและความรู้สึก อาจกล่าวได้ว่าขั้วของความรู้สึก เทอเนอร์บอกว่า “..and a sensory pole, focused on emotional reactions to the body and bodily functions and fluids, such as milk”.
คือ การเน้นย้ำบนการมีปฎิกริยาด้านอารมณ์ที่เชื่อมโยงไปยังร่างกายและหน้าที่และความลื่นไหลของความเป็นแม่ ในเรื่องของความรู้สึกของความเป็นแม่และการให้น้ำนมของแม่เป็นต้น
2 ในส่วนของ Instrument Symbol คือสัญลักษณ์ที่ใช้เป็นเสมือนวิธีการหรือเครื่องมือที่นำไปสู่เป้าหมายที่เฉพาะในแต่ละพิธีกรรม สัญลักษณ์ดังกล่าว
จะสามารถทำความเข้าใจได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในระบบสัญลักษณ์รวมทั้วหมดที่ประกอบกันเป็นพิธีกรรมเฉพาะ ดังนั้นความหมายของมันเกิดจากความสัมพันธ์กับระบบสัญลักษณ์อื่นๆ
นอกจากนี้ Victor turner ได้ชี้ให้เห็นว่า พิธีกรรมไม่เพียงแต่พิธีกรรมจะอยู่ในกระบวนการแสดงทางสังคม (social drama) โดยกระบวนการของพิธีกรรมแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอนคือ (ล้อไปกับแนวคิดของ Arnold van Gennep )
1 pre-liminal เป็นกระบวนการที่ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มถูกแยกออกไปจากโครงสร้างทางสังคม
2.Liminal เป็นกระบวนการที่สถานภาพของบุคคลในพิธีกรรมไม่ชัดเจนคือ ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิม และยังไม่ได้เข้าสู่สถานภาพใหม่ มีความคลุมเคลือ ก้ำกึ่ง ครึ่งผีครึ่งคน หรือกลับหัวกลับหาง
3.Post-liminal คือ บุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมเริ่มเข้าสู่สถานภาพใหม่ที่สมบูรณ์ทั้งสิทธิใหม่ อำนาจใหม่ บทบาทหน้าที่ใหม่
นอกจากนี้ในหนังสือ the forest of symbol Turner ยังได้แบ่งพิธีกรรมออกเป็น 2ส่วนคือ 1.พิธีกรรมที่เรียกว่า Life -Crisis Ritual เป็นพิธีกรรมของการเปลี่ยนผ่านสถานภาพของบุคลลจากสถานภาพหนึ่งไปสู่สถานภาพหนึ่ง ในช่วงวิกฤตการณ์ของชีวิต เช่น พิธีการเกิด การแต่งงาน การเข้าสู่วัยหนุ่มสาว และพิธีกรรมความตาย 2. Ritualof affliction ที่เป็นพิธีกรรมที่จัดขึ้นเมื่อประสบความโชคร้ายหรือได้รับเคราะห์ ดังเช่น ชาว Ndembu เชื่อว่าความเคราะห์ร้ายสัมพันธ์กับวิญญาณบรรพบุรุษ ที่ถูกทอดทิ้งหรือละเลยทำให้พวกเขาล่าสัตว์ไม่ได้ คลอดลูกลำบาก และนำไปสู่ความเจ็บป่วยต่างๆ จึงต้องมีพิธีกรรมการให้กำเนิด พิธีกรรมการรักษา พิธีกรรมการล่าสัตว์เป็นต้น
ดังนั้นพิธีกรรมจึงเป็นการแสดงทางสังคม (social drama) ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และทำให้สังคมดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งมั่นคง ทำให้โครงสร้างของความขัดแย้งมีความสมดุล รวมทั้งทำหน้าที่สะท้อนภาวะของการท่าทายกฏระเบียบของสังคม และผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วย ภายใต้ภาวะการเกิดใหม่และการจัดระเบียบทางสังคมที่สอดคล้องลงตัว
Reference
The Forest of Symbols: Aspects of Ndembu Ritual (1967), Cornell University Press 1970 paperback
The Ritual Process: Structure and Anti-Structure (1969), Aldine Transaction 1995 paperback
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น