ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Judith Butler กับการศึกษาเพศวิถี

มานุษยวิทยาว่าด้วยเพศและเพศวิถี(Anthropology of Sex and Sexuality ) ปีนี้ จะให้อ่านงานของ Judith Butler … ระหว่างนั่งทำ มคอ.3 ก่อนเปิดเรียน.. หนังสือเล่มหนึ่งที่น่าสนใจ คือ Senses of the Subject (นอกจากหนังสือ Bodies That Matter) โดย Judith Butler ซึ่ง Sense of Subject เป็นหนังสือที่รวบรวมบทความต่างๆ ของ Butler ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของอัตลักษณ์และการประสบประสบการณ์ผ่านร่างกายและประสาทสัมผัส สาระสำคัญของหนังสือมีประเด็นต่างๆที่ส่งมาเช่น 1. อัตลักษณ์และตัวตน โดย Butler วิเคราะห์ว่าตัวตนของเราถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร ผ่านกระบวนการที่ซับซ้อนระหว่างประสบการณ์ส่วนตัวและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 2. ร่างกายและความรู้สึก Butler สำรวจวิธีที่ร่างกายของเรามีส่วนร่วมในการสร้างความหมายและประสบการณ์ โดยเน้นว่าร่างกายไม่เพียงเป็นสิ่งที่เรามี แต่เป็นสิ่งที่เราทำและสัมผัส 3. ปรัชญาของประสาทสัมผัส โดย Butler ถกเถียงว่าประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนและโลกภายนอก 4. ประสบการณ์และอารมณ์ Butler เน้นถึงบทบาทของอารมณ์ในการสร้างความเข้าใจและการตอบสนองต่อประสบการณ์ต่างๆ อารมณ์เป็นตัวกลางที่สำคัญในการสร้างความหมายและการรับรู้ 5. การเมืองของการรับรู้ โดย Butler วิเคราะห์ว่าการรับรู้และประสบการณ์ของเราถูกกำหนดโดยโครงสร้างทางสังคมและการเมืองอย่างไร การสร้างอัตลักษณ์และความหมายมีความเกี่ยวข้องกับอำนาจและการกดขี่ 6. ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและสังคม Butler เน้นว่าร่างกายไม่ใช่แค่สิ่งที่ถูกกำหนดโดยชีววิทยา แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมและวัฒนธรรม โดยสรุป Senses of the Subject เน้นการวิเคราะห์ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับร่างกาย อัตลักษณ์ และประสบการณ์ ผ่านเลนส์ของปรัชญาและทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ครอบคลุมและซับซ้อนเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ในมิติต่างๆ ในหนังสือนี้ใช้ตัวอย่างรูปธรรมหลายๆเรื่อง อาทิเช่น 1. การแสดงออกทางเพศสภาวะ (Gender Performance) Butler ขยายแนวคิดจากงานก่อนหน้าเกี่ยวกับการแสดงออกทางเพศ โดยเธออธิบายว่าการแสดงออกทางเพศสภาพไม่ได้เป็นเพียงการสวมบทบาท แต่เป็นกระบวนการที่ร่างกายและประสาทสัมผัสมีส่วนร่วม การแสดงเพศเป็นการทำซ้ำของพฤติกรรมที่ถูกสังคมยอมรับ ซึ่งกำหนดความหมายของเพศภาวะในสังคมหนึ่งๆ 2. การตอบสนองทางอารมณ์ Butler สำรวจว่าการตอบสนองทางอารมณ์และความรู้สึก เช่น ความรัก ความกลัว หรือความเศร้า เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและถูกกำหนดโดยสังคมและวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น การร้องไห้ในสาธารณะอาจถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอหรือความไม่มั่นคงในบางวัฒนธรรม แต่ในวัฒนธรรมอื่นอาจถูกมองว่าเป็นการแสดงออกที่ถูกต้องและสมเหตุสมผล 3. การสัมผัสและการรับรู้ทางร่างกาย Butler ใช้ตัวอย่างการสัมผัสและการรับรู้ทางร่างกายเพื่ออธิบายว่าประสบการณ์ทางกายภาพสามารถส่งผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนและโลกภายนอก ตัวอย่างเช่น การสัมผัสผิวหนังของคนอื่นอาจสร้างความรู้สึกใกล้ชิดหรือความไม่สบายใจ ขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 4. การตอบสนองต่อบาดแผลทางจิตใจ Butler อธิบายว่าการเผชิญหน้ากับบาดแผลทางจิตใจ เช่น การเสียชีวิตของคนรักหรือประสบการณ์ความรุนแรง สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนและโลกภายนอกอย่างลึกซึ้ง ตัวอย่างเช่น การสูญเสียสามารถทำให้บุคคลรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียส่วนหนึ่งของตัวตนไปด้วย 5. การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม Butler ใช้ตัวอย่างของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเพื่อแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลสามารถสร้างและกำหนดอัตลักษณ์และประสบการณ์ได้ ตัวอย่างเช่น การได้รับการยอมรับหรือการถูกปฏิเสธจากกลุ่มสังคมสามารถมีผลต่อความรู้สึกเกี่ยวกับคุณค่าและตัวตนของบุคคล การใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเหล่านี้ช่วยให้เห็นภาพแนวคิดทางปรัชญาและสังคมศาสตร์ของ Butler อย่างชัดเจนและเข้าใจง่ายขึ้น ผมนึกถึงคำหนึ่งตอนทำงานวิจัยเกี่ยวกับกะเหรี่ยงในพิธีกรรมไหว้เจดีย์ มันมีเรื่องผัสสะ และอารมณ์ความรู้สึกเต็มไปหมด คำว่า"Sensory Ethnography“ ที่มีการนำเอาเรื่องของประสาทสัมผัสมาใช้ในการวิจัยทางชาติพันธุ์วิทยาหรือชาติพันธ์ุวรรณนา เช่นการศึกษา การวิจัยเกี่ยวกับเสียงในชีวิตประจำวัน การรับรู้และการสร้างความหมายของเสียงในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น การวิจัยเกี่ยวกับเสียงในบ้าน การรับฟังเสียงรอบข้างในที่ทำงาน หรือเสียงในสถานที่สาธารณะ เช่น ตลาดหรือสวนสาธารณะ การวิจัยเหล่านี้ใช้การบันทึกเสียงและการสัมภาษณ์เพื่อทำความเข้าใจว่าผู้คนมีปฏิสัมพันธ์และให้ความหมายกับเสียงในบริบทต่างๆ อย่างไร หรือการศึกษาการทำอาหารและการรับรส นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งคือการศึกษาการทำอาหารและการรับรส ตัวอย่างเช่น นักมานุษยวิทยาเข้าร่วมกับชุมชนชาติพันธุ์ ครอบครัวที่ช่วยกันทำอาหาร เพื่อทำความเข้าใจถึงวิธีที่ผู้คนสร้างความหมายและประสบการณ์ผ่านการทำอาหาร การชิมรส และการแบ่งปันอาหารกับผู้อื่น วิธีนี้ช่วยให้เข้าใจวัฒนธรรมการทำอาหารและบทบาทของการรับรสในชีวิตประจำวัน หรือการวิจัยเกี่ยวกับการมองเห็นและการถ่ายภาพ ที่เกี่ยวโยงกับการใช้การถ่ายภาพและวิดีโอในการวิจัยทางชาติพันธุ์วิทยา ตัวอย่างเช่น นักวิจัยอาจถ่ายภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับกิจกรรมประจำวัน พิธีกรรทสำคัญ เช่น การทำงาน การเล่น หรือพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อวิเคราะห์ว่าผู้คนสร้างความหมายและประสบการณ์ผ่านการมองเห็นอย่างไร การใช้สื่อภาพนี้ช่วยให้ได้ข้อมูลที่มีมิติและสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจนขึ้น การสัมผัสและการรับรู้ทางร่างกาย ตัวอย่างการวิจัยเกี่ยวกับการสัมผัสและการรับรู้ทางร่างกาย เช่น การศึกษาวิธีที่ผู้คนสัมผัสและรับรู้พื้นผิวของวัสดุต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ผ้า ไม้ หรือโลหะ งานวิจัยเหล่านี้ใช้การสัมภาษณ์และการสังเกตเพื่อทำความเข้าใจว่าผู้คนให้ความหมายกับการสัมผัสและการรับรู้ทางกายอย่างไร หรือการศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการรับรู้ในพื้นที่ โดยการวิจัยเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวและการรับรู้ในพื้นที่ เช่น การศึกษาว่าผู้คนเคลื่อนไหวในเมืองหรือชนบทอย่างไร และวิธีที่พวกเขารับรู้และสร้างความหมายจากการเคลื่อนไหวในพื้นที่เหล่านั้น การวิจัยนี้อาจใช้การเดินทางร่วมกับผู้คนและการบันทึกการเคลื่อนไหวผ่านวิดีโอและการสัมภาษณ์ ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการศึกษาเรื่องประสาทสัมผัสในมานุษยวิทยาช่วยให้เราเข้าใจวัฒนธรรมและประสบการณ์ของมนุษย์ในมิติที่ลึกซึ้งและหลากหลายมากขึ้น โดยการพิจารณาประสาทสัมผัสต่างๆ ที่มีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการรับรู้และประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสจึงมีความสำคัญในการสร้างและเข้าใจประสบการณ์ของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส เช่น การได้ยิน การมองเห็น การสัมผัส การดมกลิ่น และการลิ้มรส เป็นส่วนสำคัญในการสร้างความหมายและความเข้าใจในชีวิตประจำวัน หากมองภายใต้กรอบแนวคิดแบบ Phenomenology (ปรากฏการณ์วิทยา) ของ Maurice Merleau-Ponty ก็สามารถอธิบายได้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่ในจิตใจ แต่เกี่ยวข้องกับการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกรอบตัวผ่านประสาทสัมผัส ร่างกายเป็นตัวกลางที่สำคัญในการเชื่อมโยงระหว่างบุคคลกับโลกภายนอก ภายใต้การทำงานเชิงประสาทสัมผัส (Sensory Work) ผู้คนสร้างและใช้ประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสในการทำงานและกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างไร เช่น การทำอาหาร การดูแลเด็ก การทำงานในโรงงาน เป็นต้น ทำให้เห็นภาพว่าประสาทสัมผัสมีบทบาทในการปฏิบัติงานและการสร้างความหมายในบริบทต่างๆ รวมทั้งในปัจจุบันที่มีการใช้สื่อและเทคโนโลยีในการวิจัย เช่น วิดีโอ การบันทึกเสียง การถ่ายภาพ และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ ในการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลวิจัย สื่อเหล่านี้สามารถช่วยเก็บข้อมูลที่มีมิติและประสาทสัมผัสที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงการวิจัยเชิงประสบการณ์ (Embodied Research) ที่เป็นการวิจัยที่นักวิจัยมีส่วนร่วมในการเหตุการณ์ การประสบพบเจอกับสิ่งต่างๆ และสร้างประสบการณ์ด้วยตัวเอง (embodiment) เพื่อทำความเข้าใจว่าประสาทสัมผัสและร่างกายมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความหมายและประสบการณ์อย่างไร การมีส่วนร่วมนี้ช่วยให้นักวิจัยเข้าใจความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้คนที่พวกเขาศึกษาอย่างลึกซึ้ง หรือการวิจัยแบบ Multisensory Approach (การศึกษาแบบหลายประสาทสัมผัส) ที่ไม่จำกัดเฉพาะประสาทสัมผัสใดประสาทสัมผัสหนึ่ง แต่รวมถึงการสำรวจและวิเคราะห์ประสาทสัมผัสหลายประการพร้อมกัน เพื่อให้ได้ความเข้าใจที่ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น ดังนั้น เรื่อง เพศ เพศวิถี ไม่ใช่แค่เรื่อง ร่างกาย แต่มีเรื่องผัสสะ อารมณ์ความรู้สึก ที่ต้องอธิบายด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...