วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

ชาติพันธุ์พม่าและการศึกษากะเหรี่ยง ของ Mikael Gravers โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

นักมานุษยวิทยา Mikael Gravers ผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิชาตินิยม ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ และสันติภาพและการปรองดอง ผู้มีประสบการณ์มากมายในการทำงานกับชุมชนกะเหรี่ยงในประเทศไทยและเมียนมาร์ เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพม่ทหรือเมียนมาร์หลายเล่ม เข่น Where Now?, Exploring Ethnic Diversity in Burma และ Nationalism as Political Paranoia in Burma นอกจากนี้เขายังเป็นนักวิจัยในโครงการ “Everyday Justice and Security in the Myanmar Transition” อีกด้วย เขาเล่าถึงความสนใจของเขาสนการศึกษากลุ่มชนกะเหรี่ยงในไทยและพม่าว่า “ใช่ จริงๆ แล้วฉันกำลังอ่าน Political Systems of Highland Burma ของ Edmund Leach ในขณะที่ฉันกำลังเตรียมตัวสำหรับงานภาคสนาม และนั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันมากจนตัดสินใจว่าอยากจะทำงานภาคสนามที่คล้ายกัน แต่ก็ไม่สามารถทำได้ในพม่าในเวลานั้น ฉันอยู่ที่พม่าในปี 1972 แต่นี่เป็นช่วงปีของการครอบครองอำนาจของนายพลเนวินและมันค่อนข้างยากมากกับการทำงานต่างๆ ฉันไปพบกับชาวกะเหรี่ยงโปว์คริสเตียนและเพียงไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ MI (หน่วยข่าวกรองทหาร) บนรถบัสก็หยุดฉันไว้ ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับกะเหรี่ยงโปว์คนนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ MI ก็ไม่เคยถามฉันเกี่ยวกับการมาเยือนครั้งนี้ แต่ฉันตระหนักได้ว่าฉันไม่สามารถทำงานภาคสนามที่เหมาะสมได้ที่นี่ในปี 1972 แต่ฉันยังได้ลงพื้นที่ศึกษาเรื่องกะเหรี่ยงในภาคตะวันตกของประเทศไทยที่อุทัยธานี เมื่อปี พ.ศ. 2513-2515 กับเพื่อนร่วมงานชาวเดนมาร์กสองคนที่เป็นจุดแรก และที่สังขละบุรีที่ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) และมีค่ายพักแรมของอูนู ( U Nu )โดยใช้เวลาเดินทางกว่า 12 ชั่วโมงโดยเรือจนไปถึงสถานที่นั้น เราเห็นช้างป่าลงมาที่แม่น้ำแควเพื่อดื่มน้ำ ฉันไปเยี่ยมคณะเผยแผ่แบ๊บติสต์ และมิชชันนารีชาวอเมริกันชื่อ Emilie Ballard ซึ่งถูกเน วินขับไล่ออกจากพม่าในปี 2505 ได้มอบสื่อภาษากะเหรี่ยงโปว์ที่ยอดเยี่ยมของเธอให้กับเรา ครูคือซอท่าดิน (Saw Tha Din ) ที่เป็นอดีตประธานองค์การกลางกะเหรี่ยง(Karen Central Organization ) จนกระทั่ง พ.ศ. 2490 จึงได้จัดตั้งเป็นสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง ต่อมาเขาได้ลาออก เพราะเขาตระหนักว่าเขาไม่สามารถหยุดนักรบหนุ่มชาวกะเหรี่ยงได้ เขาต้องการเจรจา แต่เขาเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นจึงก้าวลงจากตำแหน่ง เขาถูกส่งตัวเข้าคุกเป็นเวลา 4 ปีโดยอูนูและเนวิน เมื่อออกมาก็ไปสังขละบุรีและทำงานเป็นผู้สอนศาสนา ดังนั้นเขาและภรรยาเป็นครูของผม และนี่คือจุดเริ่มต้นของงานของผมจริงๆ เพราะหลังจากเรียนภาษาแล้ว เขาได้ให้บทเรียนเกี่ยวกับการเมืองกะเหรี่ยงและลัทธิชาตินิยมกะเหรี่ยงกับผมด้วย” Emilie Ballard อธิบายว่าเหตุใดจึงมีลัทธิชาตินิยมกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เข้มแข็งมากเช่นนี้ เขาอธิบายว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่ศาสนาใหม่ แต่ความเชื่อดั้งเดิมของชาวกะเหรี่ยงเป็นสิ่งที่พวกเขาสูญเสียความรู้ และศาสนาไปในอดีต นั่นคือ “พี่ชายที่เป็นคนขาว”(white brother) ที่มาในรูปของมิชชันนารีแบ๊บติสต์ชาวอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้คืน 'หนังสือที่หายไป' ผู้เฒ่าคาเรนเชื่อเรื่องเหล่านี้อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงกล่าวถึงและอ้างถึงบทนี้ว่าหนังสือที่หายไปที่พบคืออะไร? โดยมิชชันนารีได้สร้างเอกสารเกี่ยวกับกะเหรี่ยงขึ้นมาสองฉบับในช่วงทศวรรษที่ 1840 แล้วเขาก็บอกว่า "ถ้าอยากรู้เรื่องชาตินิยมกะเหรี่ยงก็ไปห้องสมุดอังกฤษ หรือไปที่ห้องสมุดสำนักงานในอินเดีย เขาบอก Gravers ว่าเขาทำเอกสารทั้งหมดหายในปี พ.ศ. 2492 แต่เขาอยู่ในคณะผู้แทนกะเหรี่ยงไปลอนดอนในปี พ.ศ. 2489 และพวกเขาก็แจกอนุสรณ์และจุลสารให้กับรัฐสภา เอกสารเหล่านี้ไม่ได้เห็นมานานแล้ว Gravers จึงตัดสินใจค้นหาเอกสาร โดยได้รับเงินสนับสนุนจำนวนหนึ่งในปี 1988 จากสภาวิจัยเดนมาร์ก และหลังจากนั้นไม่กี่วัน เขาก็พบเอกสารเหล่านี้ รวมทั้งหนังสือของ ซอ โพธิ์จิต (Saw Po Chit’ ) เกี่ยวกับลัทธิชาตินิยมกะเหรี่ยง เขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้ค่อนข้างสำคัญที่จะเข้าใจและอธิบายความคาดหวังของชาวกะเหรี่ยงในขณะนั้น (ตอนสิ้นสุดของจักรวรรดิอังกฤษ) ชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากเชื่อว่าอังกฤษจะมาช่วยต่อสู้เพื่อรัฐเอกราชของพวกเขา Gravers บอกว่าเขากำลังคิดจะพิมพ์เอกสารฉบับหนึ่งอีกครั้งในเล่มแก้ไขเกี่ยวกับการสิ้นสุดของจักรวรรดิในพม่าที่กำลังจะมีขึ้น โดยใช้เค้าโครงจากจุลสารในบทความเรื่อง “กะเหรี่ยงสร้างชาติ” (The Karen Making of the Nation) เมื่อปี 2539 (ค.ศ.1996) และการอ้างสิทธิ์ในดินแดนของ KNU นั้นก็ไม่สมจริงเลยจริงๆ เพราะพวกเขาอ้างสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของภาคตะวันตกของประเทศไทยด้วย เพราะพวกเขากล่าวว่าพื้นที่ชายแดนก็เป็นดินแดนกะเหรี่ยงเช่นกันและอาจรวมได้เนื่องจากรัฐบาลไทยสนับสนุนญี่ปุ่นในช่วงเริ่มต้นของสงคราม โดยKNU กล่าวถึงแม่สอดและพื้นที่ชายแดนจังหวัดเชียงใหม่ พวกเขาเชื่อว่าจังหวัดสังขละบุรีและตากเป็นจังหวัดกะเหรี่ยงเก่าแก่ ในอดีตกษัตริย์ไทยทรงแต่งตั้งผู้ดูแลหัวเมืองในแถบนี้ ซึ่งเป็นชาวกะเหรี่ยงในบริเวณชายแดนเมื่อราวปี พ.ศ. 2343 โดยมีหน้าที่เฝ้าชายแดนเพื่อป้องกันการรุกรานของพม่า ชาวกะเหรี่ยงจำนวนมากกลายเป็นพันธมิตรกับกษัตริย์ไทยหลังจากที่พระเจ้าอลองพระยาพิชิตอาณาจักรมอญในปี พ.ศ. 2298 (ค.ศ. 1755 ) ซึ่งรวมถึงรัฐกะเหรี่ยงในปัจจุบันด้วย คำกล่าวอ้างของ KNU นั้นไม่สมจริงและมีเหตุผลเพียงพอ อีกทั้งก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลอังกฤษ เพราะรัฐบาลอังกฤษมองว่าคำกล่าวอ้างของกะเหรี่ยงนี้อยู่ไกลจากความเป็นจริงเกินไป ต่อมาGravers ก็ได้ให้สำเนาหนังสือเล่มนี้แก่ลูกสาวของซอท่าดิน(Saw Tha Din ) ในระหว่างการเยือนสังขละบุรีเมื่อปี พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996 ) ซอท่าดินเสียชีวิตก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์กะเหรี่ยง เราจะเห็นข้อมูลในเอกสารสำคัญว่าชาวกะเหรี่ยงคริสเตียนและชาวพุทธมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับรัฐภายในหรือภายนอกสหภาพ และการแบ่งแยกนี้ก็แพร่หลายและสำคัญมากเช่นกันในปี พ.ศ. 2488(ค.ศ.1945) โดยเฉพาะในปี พ.ศ. 2489 (ค.ศ. 1946) ได้มีองค์กรพุทธแห่งชาติกะเหรี่ยง Burma Karen National Association (BKNA) ที่ไม่เห็นด้วยกับสมาคมแห่งชาติกะเหรี่ยงคริสเตียน (Christian Karen National Association ) พวกเขาต้องการเจรจากับอูนุ และเราได้เห็นการแบ่งแยกนี้หลายครั้งในประวัติศาสตร์ ล่าสุดเกิดขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2537-2538 (ค.ศ. 1994-95 ) เมื่อมีการก่อตั้งองค์กรและกองทัพกะเหรี่ยงประชาธิปไตย (Democratic Karen Buddhist Organization and Army ) และแยกตัวออกจาก KNU Gravers มองว่ามันเป็นความแตกแยก/ความขัดแย้งทางศาสนาจริงๆ หรือเกี่ยวข้องกับทรัพยากรและอำนาจทางการเมืองที่กลุ่มต่างๆ มีมากกว่า ดังนั้นคำถามที่น่าคิดก็คือ ศาสนามีความสำคัญแค่ไหนในความแตกแยกนี้? เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างที่สำคัญของอัตลักษณ์ภายในกลุ่มกะเหรี่ยง แน่นอนว่ามีความขัดแย้งทางการเมือง และความแตกแยกในปี 1994 เมื่อ DKBA ก่อตั้งขึ้น จริงๆ แล้วความแตกแยกนั้นก็เกี่ยวกับชนชั้น และการศึกษาด้วย ทหารแนวหน้าทั้งหมดส่วนใหญ่ยากจน มีการศึกษาน้อย มักเป็นชาวกะเหรี่ยงพุทธ ในขณะที่ผู้นำของ KNU เกือบทั้งหมดเป็นชาวคริสต์ ชนชั้นสูงที่เป็นคริสเตียนสามารถเข้าถึงการศึกษาและโรงพยาบาลในประเทศไทย พวกเขาค่อนข้างมีฐานะดีและส่งลูกไปเรียนที่กรุงเทพ และขณะนี้ก็มีการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากรระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงติดอาวุธด้วย พวกเราคิดว่ายังคงมีอยู่ในปัจจุบันนี้หรือไม่ที่มีการแข่งขันแย่งชิงทรัพยากร เช่น การเข้าถึงทุนการศึกษาและทรัพยากรอื่นๆ ระหว่างชาวกะเหรี่ยงที่เป็นคริสเตียนและพุทธ? ใช่แล้ว ยังคงมีความขัดแย้งที่ยืดเยื้ออยู่ ดังเช่นเหตุการณ์การสร้างเจดีย์เล็กๆ ใกล้โบสถ์คริสต์และมัสยิดของชาวมุสลิม มันไม่ใช่แค่เรื่องศาสนาเท่านั้น นอกจากนี้ยังเกี่ยวกับชนชั้น เศรษฐกิจ และความขัดแย้งทางการเมืองด้วย รวมถึงบทบาทของผู้บริจาคจากต่างประเทศด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่ากลุ่มคริสเตียนบางกลุ่มสามารถให้ทุนการศึกษาได้เนื่องจากได้รับเงินบริจาคจากกลุ่มต่างประเทศ ภายใต้แนวคิดส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการบริจาคทุนการศึกษาและความช่วยเหลือ นี้เป็นการรักษาขอบเขตความแตกต่างระหว่างกลุ่มกะเหรี่ยงเหล่านี้ ระหว่างกะเหรี่ยงคริสเตียนกับกะเหรี่ยงชาวพุทธ นอกจากนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจยังมีความเชื่อมโยงกับนักธุรกิจชาวไทย ในขณะที่ผู้นำของ KNU มีการติดต่อกับบริษัทต่างๆ ในญี่ปุ่น เป็นต้น บริษัทต่างชาติต้องการโครงการพัฒนาต่างๆ ในรัฐกะเหรี่ยง และเราได้เห็นแนวโน้มเดียวกันในพื้นที่ขัดแย้ง (อื่นๆ) ของพม่า ซึ่งถูกเรียกว่า "ทุนนิยมหยุดยิง" (Ceasefire Capitalism ) เมื่อเจ้าหน้าที่กลายเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ ดังนั้น คำว่า “ระบบทุนนิยมหยุดยิง” (Ceasefire Capitalism ) เป็นคำที่ริเริ่มโดย Kevin Woods ผู้เขียนเกี่ยวกับรัฐคะฉิ่น ตัวอย่างเช่น การตัดไม้และการค้าไม้อย่างผิดกฎหมาย การทำเหมืองแร่ การทำเหมืองทองแดง รวมทั้งการทำสวนยางโดยกองทัพพม่า และโดยบริษัทต่างชาติด้วย และนี่เป็นสิ่งที่แย่มากในสายอนุรักษ์ธรรมชาติ เพราะสิ่งนี้อาจสร้างความเสียหายอย่างมากต่อทรัพยากรธรรมชาติ.นอกจากนี้ยังอาจขัดขวางการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างเหมาะสมและส่งผลให้มีการยึดครองและขยายที่ดินอย่างกว้างขวางในรัฐกะเหรี่ยงของพม่า ที่ร้ายไปกว่านั้นผู้นำกะเหรี่ยงคนใหม่ก็ปฏิบัติ 'ทุนนิยมหยุดยิง' ด้วยเช่นกัน จากข้อมูลฃฃในเมียนมาร์ กลุ่มติดอาวุธกะเหรี่ยงทั้งหมดมีส่วนร่วมในธุรกิจดังกล่าว และพวกเรายังสามารถเห็นกลุ่มแตกแยกบางกลุ่ม เช่น สภาสันติภาพกะเหรี่ยง และกองกำลังสันติภาพกะเหรี่ยงที่ลงนามในข้อตกลง และได้รับใบอนุญาตสำหรับการเพาะปลูกและเหมืองแร่ หรือใบอนุญาตการค้าจากกองทัพเมียนมาร์ พวกเขาตั้งรกรากอยู่ที่นั่นพูดได้ว่าครึ่งกองพัน รวมถึง DKBA ก็เข้ายึดที่ดินด้วย และเมื่อถูกเปลี่ยนเป็น Border Guard Force (BGF) สิ่งเหล่านี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป เจ้าหน้าที่กะเหรี่ยงบางคนมีฐานะร่ำรวย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ชั้นนำใน BGF, DKBA และ KNU มีส่วนร่วมในธุรกิจ เชื่อกันว่าบางส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด บ้างก็มีสวนยางพารา ดังนั้น นี่อาจพูดได้ว่าสิ่งนี้อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหม่ระหว่างผู้ประกอบการทางทหารเหล่านี้กับประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากการยึดครองที่ดินและความไม่เป็นธรรม ผมคิดว่ากะเหรี่ยงที่อยู่ในไทย กะเหรี่ยงที่อยู่ในพม่าแบะอพยพโยกย้ายมาเป็นแรงงานในไทย และกองกำลังกะเหรี่ยงในพม่า ล้วนมีความคิดที่แตกต่างกันในทางการเมืองแบะความเชื่อ แต่พวกันก็มีอุดมการ๊์เป้าหมายร่วมกันถึงอิสระเสรีภาพและประชาธิปไตย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...