วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

An Anthropology of Disappearance มานุษยวิทยาว่าด้วยการหายตัวหรือการไม่ปรากฏ โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

An Anthropology of Disappearance ผู้คนทั่วโลกหายไปจากครอบครัว ชุมชน และการจ้องมองของรัฐ ในฐานะเหยื่อของระบอบการปกครองที่กดขี่ หรือขณะอพยพไปตามเส้นทางลับ หนังสือเล่มนี้รวบรวมนักวิชาการที่มีส่วนร่วมทางชาติพันธุ์วิทยากับการหายตัวไปดังกล่าวในบริบททางวัฒนธรรม สังคม และการเมืองที่หลากหลาย ใช้มุมมองทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับคำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตายของมนุษย์ การหายไปและการปรากฏ พิธีกรรมและการไว้ทุกข์ ความจำกัดและโครงสร้าง ความเป็นพลเมืองและความเป็นบุคคล ตลอดจนสิทธิ์เสรีและอำนาจ บทต่างๆ เหล่านี้จะสำรวจมิติทางการเมืองของการหายตัวไป และกล่าวถึงความท้าทายด้านระเบียบวิธี ญาณวิทยา และจริยธรรมในการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการหายตัวไปและการหายตัวไป มีงานของนักมานุษยวิทยาที่น่าสนใจหลายคน โดยเฉพาะนักมานุษยวิทยาเหล่านี้ ล้วนอยู่ในบริบทของประเทศที่ถูกกดขี่ และมีประสบการณ์ที่ถูกดขี่ และสัมผัสกับการสูญหายของผู้คน เช่น Laura Huttunen เป็นศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาสังคมที่มหาวิทยาลัย Tampere ประเทศฟินแลนด์ ในปี 2556-2557 เธอดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นไปที่คำถามเกี่ยวกับบุคคลสูญหายและหายตัวไปในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา ในปี 2561-2565 เธอเป็นผู้นำโครงการวิจัยที่มุ่งเน้นไปที่การหายตัวไปในบริบทการย้ายถิ่น หรืองานศึกษาของ Gerhild Perl เธอเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาสังคมที่มหาวิทยาลัย Trier ประเทศเยอรมนี ผลงานของเธอได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างๆ เช่น วารสารมานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม และ วารสารการศึกษาระหว่างวัฒนธรรม วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอกของเธอเกี่ยวกับความตายระหว่างการอพยพข้ามทะเลสเปน-โมร็อกโก ได้รับรางวัล Maria Ioannis Baganha Award และรางวัลวิทยานิพนธ์จากสมาคมมานุษยวิทยาเยอรมัน แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความที่แแน่นอนที่ถูกยอมรับร่วมกันเพราะความสูญหายขึ้นอยู่กับบริบทในปต่ละสังคมวัฒนธรรม แต่คำว่า บุคคลที่สูญหาย มักจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของบุคคลภายใต้สถานการณ์ที่น่าสงสัย อย่างไรก็ตาม ผู้สูญหายยังรวมถึงบุคคลที่ไม่ทราบที่อยู่แต่ไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลนั้นด้วย ตามคำกล่าวของ Hirschel และ Lab คำว่าบุคคลหายควรใช้กับการหายตัวไปทั้งหมด ทั้งโดยสมัครใจและไม่สมัครใจ หรือบังคับให้สูญหาย เนื่องจากมีบ่อยครั้งที่เราไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสองสถานการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน ดังนั้นผู้สูญหายอาจรวมถึงบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้ง การหักหลัง คนที่มีอำนาจทางการเมือง กฏหมาย เช่น ผู้สูญหายจากอาชญากรรมทางการเมืองในยุคเผด็จการของบราซิล ผู้สูญหายจากการต่อต้านการพัฒนา รวมถึงบุคคลที่ไม่ทราบแหล่งที่อยู่แน่นอน ติดต่อไม่ได้ หรือบุคคลที่หายตัวไปโดยความสมัครใจของตนเอง หน่วยงานตำรวจและสถาบันอื่นๆ ต่างมีหลักเกณฑ์ในการจำแนกรายงานผู้สูญหายเป็นของตนเอง ซึ่งต่างกันไปในแต่ละหน่วยงาน และในแต่ละประเทศ กรณีงานขาติพันธุ์วรรณนาว่าด้วยการสูญหาย ผมนึกถึงงานศึกษาในแคชเมียร์ เรื่อง Resisting Disappearance : Military Occupation and Women's Activism in Kashmi ของ Ather Zia ที่บรรยายว่า “ในฤดูหนาวอันหนาวเหน็บของแคชเมียร์ ผู้หญิงคนหนึ่งเปิดประตูทิ้งไว้เพื่อรอการกลับมาของลูกชายคนเดียวของเธอ ทุกเดือนในสวนสาธารณะในศรีนาการ์ เด็กจะระลึกถึงพ่อของเธอขณะที่เธอร่วมไว้ทุกข์ร่วมกับแม่ นักเคลื่อนไหวหญิงที่ก่อตั้งสมาคมผู้ปกครองของผู้สูญหาย (APDP) มุ่งความสนใจของสาธารณชนไปที่ชายชาวแคชเมียร์ 8,000 ถึง 10,000 คนซึ่งกองกำลังรัฐบาลอินเดียมีส่วนในการหายตัวไปตั้งแต่ปี 1989 การเคลื่อนไหวผ่านสื่อของเธอ ถูกรายล้อมไปด้วยกองทหารอินเดีย ช่างภาพข่าวจากต่างประเทศ และผู้สังเกตการณ์ที่อยากรู้อยากเห็น นักเคลื่อนไหวกลุ่ม APDP ร้องไห้ คร่ำครวญ และร้องเพลง ขณะถือรูปถ่ายและไฟล์บันทึกชีวิตของคนที่ตนรักซึ่งหายตัวไป ในการละทิ้งพิธีกรรมไว้ทุกข์ตามประเพณีอย่างสุดโต่งนี้ พวกเขาสร้างปรากฏการณ์แห่งการไว้ทุกข์ที่ต่อสู้กับความเงียบข่มขู่ของรัฐบาลเกี่ยวกับชะตากรรมของลูกชาย สามี และพ่อของพวกเขา Ather Zia ในฐานะนักมานุษยวิทยาและเพื่อนนักเคลื่อนไหวชาวแคชเมียร์ ที่ต่อต้านการหายตัวไป (Resisting Disappearance ) พวกเขาติดตามบรรดาพ่อแม่ที่สูญเสีย และหญิงม่าย พวกเขาเดินทางไปก้าวสู่ศาล ค่ายทหาร และบางคนเข้าสู่ห้องดับจิตอย่างกล้าหาญเพื่อค้นหาญาติที่หายไปของพวกเขา Zia ให้ความกระจ่างว่าพลวัตของเพศและความบอบช้ำทางจิตใจในแคชเมียร์ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเผชิญกับความขัดแย้งที่ดำเนินมายาวนานที่สุดของเอเชียใต้ผ่านการผสมผสานระหว่างชาติพันธุ์วรรณนา กวีนิพนธ์ และภาพถ่าย โดยให้ข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียดว่าผู้หญิงและผู้ชายชาวแคชเมียร์มีส่วนร่วมกับการเมืองแห่งการต่อต้านอย่างไร รวมทั้งการเผชิญกับความรุนแรงทางทหารภายใต้การดำเนินการของรัฐบาลอินเดียที่เพิ่มขึ้นด้วย หรืองานของ Paul Sant Cassia เรื่อง Bodies of the Evidence ที่มีการวิเคราะห์การใช้และการละเมิดต่อผู้เสียชีวิต ชาวไซปรัสกรีกและตุรกีที่เสียชีวิตจากความรุนแรงระหว่างชุมชนระหว่างปี 1963-74 โดยนักการเมืองต่อสู้เพื่อผลประโยชน์โดยการควบคุมทั้งซากศพและวิธีที่ผู้สูญเสียจะคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น แต่ในที่สุด ผู้หญิงบางคนก็กบฏและทำลายห่วงโซ่แห่งการหลอกลวง เขาได้พรรณนาถึงกลยุทธ์การทำลายล้างที่หน่วยงานทางการเมืองต่างๆ ใช้การแบ่งแยกทางชาติพันธุ์เพื่อเปลี่ยนผู้ที่หายตัวไปให้เป็นตัวแทนของจินตนาการทางการเมือง ความกลัว ที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดในระหว่างการสู้รบระหว่างชาวไซปรัสกรีกและตุรกีระหว่างปี 1963 ถึง 1974 ผู้คนกว่า 2,000 คน ทั้งชาวไซปรัสกรีกและตุรกี ได้ "สูญหาย" ในไซปรัส ซึ่งเป็นเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่มีการกระจายประชากรเป็นชาวกรีก 80% และชาวเติร์ก 18% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่มีนัยสำคัญสำหรับประชากรเพียง 600,000 คน ที่มีการค้นพบศพเพียงไม่กี่ศพ ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่ ทุกคนยังคงโศกเศร้าจากเพื่อนและญาติที่รอดชีวิต ความขัดแย้งยังไม่ได้รับการแก้ไขและความทรงจำอันแสนเจ็บปวดยังคงมีอยู่กับผู้มีชีวิต ในทุกวันคนสูญหายไปจำนวนมาก ทั้งสมัครหรือไม่สมัครใจ ทั้งถูกกระทำจากอำนาจมืด อำนาจรัฐ จากสงครามความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ไม่ว่าจะแรงงานข้ามชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานประมง ผู้อพยพ เด็ก ผู้หญิง คนไร้บ้าน และอื่นๆ .. ความสูญหายยังรวมไปถึงคนบางกลุ่มที่สูญหายไปจากความคิดของเรา หรือเป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความคิดของเรา แม้ตัวตนของเขาจะปรากฏหรือดำรงอยู่ แต่ก็สูญหายจากการรับรู้ และการมองเห็นคุณค่าของพวกเขา บางครั้งการทำให้เขามีขีวิต มีเสียงตลอดเวลา จะทำให้เขาไม่สูญหายไป และประกาศก้องถึงความรุนแรง การกดขี่และความไม่ยุติธรรมในทางสังคม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สตรีนิยมกับสิ่งแวดล้อม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Aldo Leopold(1994) เขียนหนังสือที่รวบรวมบทความของเขาชื่อ Sand Country Almanac เขาได้อธิบายถึงปรัชญาของนักสตรีนิยมสิ่งแวดล้อมว่า ผู้หญิงมีควา...