ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2024

เพศวิถี การขายบริการทางเพศ และสิทธิอนามัยเจริญพันธ์ ในมิติทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ทำการบ้านหน่อย เพราะต้องเตรียมประเด็นแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาป.โท …ผมลองสำรวจหนังสือที่น่าสนใจซึ่งครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพการเจริญพันธุ์ การขายบริการทางเพศ และมิติทางมานุษยวิทยา มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจในปัจจุบันดังนี้ 1. Sex Work Matters: Exploring Money, Power, and Intimacy in the Sex Industry” โดย Melissa Hope Ditmore, Antonia Levy, และ Alys Willman หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์แง่มุมต่าง ๆ ของการขายบริการทางเพศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเมือง และผลกระทบทางสุขภาพของผู้ทำงานในอาชีพนี้ มีการศึกษาเรื่องการสร้างอำนาจในการตัดสินใจและการจัดการกับการตีตราในอาชีพขายบริการทางเพศ 2.Reproductive Justice: An Introduction โดย Loretta J. Ross และ Rickie Solinger หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดเรื่องความยุติธรรมทางการเจริญพันธุ์ โดยครอบคลุมการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิในการควบคุมการเจริญพันธุ์และความยุติธรรมทางเพศ รวมถึงผลกระทบของนโยบายและการปฏิบัติต่อผู้หญิงในเรื่องสิทธิการเลือกที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร 3.The Managed Body: Developing Girls and Menstrual Health in the Global South” โดย Chr...

อารมณ์ เพศวิถี สุขภาพทางเพศ และระเบียบวิธีวิจัย โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และเพศวิถีของผู้หญิงชายบริการเป็นประเด็นที่สามารถศึกษาได้ในหลายมิติ โดยเฉพาะการทำความเข้าใจความรู้สึกและประสบการณ์ของผู้ให้บริการทางเพศในบริบทที่ซับซ้อนทางสังคมและเศรษฐกิจ ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้มีหลายแง่มุม เช่น 1. อารมณ์กับการแสดงออกทางเพศ: ผู้หญิงชายบริการอาจต้องควบคุมหรือปรับแต่งอารมณ์ส่วนตัวให้เข้ากับความต้องการของลูกค้า การสร้างภาพลักษณ์และการแสดงบทบาทที่คาดหวัง เช่น การแสดงความรู้สึกเชิงบวก ความสนใจ หรือความเสน่หา แม้จะไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นจริง ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกส่วนตัวกับบทบาทที่ต้องเล่น 2. อารมณ์และความเปราะบางทางอารมณ์ การให้บริการทางเพศอาจส่งผลต่ออารมณ์อย่างลึกซึ้ง ทั้งความรู้สึกเหงา เศร้า หรือซึมเศร้า เนื่องจากลักษณะของงานที่อาจเป็นการขายร่างกายและอารมณ์ในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ การรับมือกับการถูกตีตราจากสังคมยังส่งผลให้เกิดความเครียดหรือความอึดอัดใจ 3. การจัดการอารมณ์ (Emotional Labor): การให้บริการทางเพศมักเกี่ยวข้องกับ “แรงงานทางอารมณ์” หรือการจัดการอารมณ์ของตนเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพอใจ ผู้หญิงชายบริการต้องควบคุมห...

หนังสือThe Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequalityของ Sandra Lipsitz โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือThe Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequality โดย Sandra Lipsitz Bem เป็นหนังสือสำคัญในแวดวงการศึกษาทางด้านเพศและความไม่เท่าเทียมทางเพศ โดย Bem ได้นำเสนอแนวคิดและเลนส์การมองที่แตกต่างเพื่อทำความเข้าใจการสร้างความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงวิธีที่สังคมและวัฒนธรรมต่าง ๆ กำหนดบทบาทและอัตลักษณ์ทางเพศ โดยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับโครงสร้างที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม และเสนอแนวทางใหม่ในการมองเรื่องเพศที่ไม่ตกอยู่ในกับดักของกรอบคิดทางสังคมแบบเก่า ๆ โดยเนื้อหาภายในจะเน้นไปที่การวิเคราะห์ความเชื่อทางสังคมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกเพศ โดยใช้แนวคิดจากทฤษฎีจิตวิทยาและสังคมวิทยา เพื่อลดอคติและนำเสนอวิธีการมองเพศที่หลากหลายมากขึ้น สาระสพคัญในหนังสือ “The Lenses of Gender: Transforming the Debate on Sexual Inequality” Sandra Lipsitz Bem ได้เสนอการใช้ “เลนส์” หรือกรอบความคิดสามประการในการทำความเข้าใจเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคม ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นวิธีที่เพศสภาพถูกสร้างขึ้นมาและคงอยู่ โดยแต่ละเลนส์สะท้อนความคิดทางวัฒนธรรมที่ฝังรากลึกในสังค...

การดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง : ประวัติศาสตร์และมุมมองทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

กำลังจะไปสอนเพศวิถีแต่อยากพูดเรื่องการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองและการตายดี เพราะมีลูกศิษย์ทำการศึกษาเรื่องนี้ ตอน1 จุดเริ่มต้นและข้อถกเถียง การดูแลแบบประคับประคองได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ปี ค.ศ 1960 โดยเป็นรูปแบบหนึ่งของการดูแลที่เน้นการบรรเทาความทุกข์เมื่อป่วยผู้ไม่มีโอกาสหายหรือเมื่อผู้ป่วยถึงจุดที่จะต้องสิ้นสุดของชีวิต การดูแลแบบประคับประคองมีต้นกำเนิดในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา โดยสถาบันระดับโลก เช่น องค์การอนามัยโลก (WHO) และวิธีคิดและรูปแบบการดำนเนินการถูกนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในสังคมต่างๆ การศึกษาทางมานุษยวิทยาได้เน้นย้ำมานานแล้วถึงประสบการณ์และความต้องการที่หลากหลายในการเจ็บป่วยและการตาย และได้สร้างปัญหาหรือตั้งคำถามให้กับแนวคิดสากลที่อยู่เบื้องหลังการดูแลแบบประคับประคอง พัฒนาการทางประวัติศาสตร์และสถาบันของการดูแลแบบประคับประคอง เน้นความเชื่อมโยงระหว่างหลักการดูแลแบบประคับประคองและแนวคิดเรื่องการเสียชีวิตหรือการตายที่ดี จากนั้นจึงหันเหกลับไปสู่การรักษาทางการแพทย์สำหรับความตายและทางเลือกในการดูแลตัวเอง การศึกษาทางมานุษยวิทยาใช้กระบวนการศ...

แนวคิด Representation of Identity ของ Stuart Hall โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Stuart Hall เป็นนักทฤษฎีวัฒนธรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากในด้านการศึกษาเรื่องอัตลักษณ์ (identity) และการสื่อสารเชิงวัฒนธรรม หนึ่งในแนวคิดที่สำคัญของเขาคือ Representation of Identity หรือการเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์ และอีกแนวคิดหนึ่งคือ Circuit of Culture หรือวัฏจักรทางวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อมโยงกับการผลิตและการบริโภควัฒนธรรม 1. Representation of Identity (การเป็นตัวแทนของอัตลักษณ์) Hall มองว่าอัตลักษณ์ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือมีแก่นแท้ที่คงอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ผ่านการเป็นตัวแทน (representation) โดยการเป็นตัวแทนหมายถึงกระบวนการที่สัญลักษณ์ ภาพลักษณ์ หรือการสื่อสารต่างๆ นำเสนอความหมายเกี่ยวกับตัวตน อัตลักษณ์ของเราจึงถูกกำหนดและนิยามผ่านการสื่อสารในสื่อและวัฒนธรรม Hall เชื่อว่า อัตลักษณ์เป็นกระบวนการที่ไหลลื่นและสร้างขึ้น ผ่านสัญลักษณ์และภาษาที่ใช้ในวัฒนธรรม เช่น ภาพยนตร์ โทรทัศน์ สื่อโฆษณา และงานศิลปะ การเป็นตัวแทนนี้ไม่ใช่กระบวนการที่เป็นกลางหรือเป็นธรรมชาติ แต่มักมีการแสดงถึงอำนาจ ความไม่สมดุล และการต่อรองกันระหว่างกลุ่มต่าง...

วัฒนธรรมแฟน มองผ่านความคิดของHenry Jenkins โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

แนวคิดเรื่องแฟนคลับ (Fan club) ของ Henry Jenkins ได้รับการกล่าวถึงอย่างลึกซึ้งในงานของเขาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมแฟนๆ หรือ fan culture ซึ่ง Jenkins มองว่าแฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคเนื้อหาทางวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่เป็น “ผู้สร้างสรรค์” และ “ผู้ร่วมมือ” ที่สำคัญในกระบวนการผลิตความหมายในวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ Jenkins แนะนำแนวคิดเรื่อง “วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม” (Participatory Culture) ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่แฟนคลับมีบทบาทในการสร้างเนื้อหาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแฟนฟิคชั่น (Fan fiction) การสร้างแฟนอาร์ต (Fan art) หรือการจัดทำสื่อในรูปแบบต่างๆ การมีส่วนร่วมนี้ทำให้แฟนคลับเป็นผู้มีอำนาจในกระบวนการสร้างความหมายและสร้างชุมชนแฟน (Fan communities) ขึ้นมา เขายังเน้นว่าแฟนคลับไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ติดตามที่ถูกปฏิบัติแบบเป็นกลุ่มผู้บริโภคเท่านั้น แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งนำไปสู่การสร้างความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ และแฟนคลับยังสามารถใช้สื่อหรือเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาชื่นชอบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านการตีความใหม่และการ...

ผีในห้าง ความเพลิดเพลินของผู้คนต่อเรื่องผีๆ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผีในห้าง : เมื่อผมเห็นคนแต่งผีเดินเต็มห้าง…มันทำให้ผมรู้สึกเพลิดเพลินมากกว่าความน่ากลัว สินค้าเกี่ยวกับผีวางขายในห้าง ทั้งโดนัท พวกขนมต่างๆล้วนตกแต่งธีมอาโลวีน ผู้คนที่รอเข้าคิวซื้อบัตรชมภาพยนตร์ สัปเหร่อ และธี่หยด ใครว่าผีและความตายขายไม่ได้ เป็นสินค้าไม่ได้….นักมานุษยวิทยาเริ่มทำงาน ด้วยถ่ายภาพและสัมภาษณ์.. ความเพลิดเพลินต่อความกลัวเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบทางอารมณ์ของปัจเจกบุคคลยุคใหม่ สุนทรียศาสตร์ทางวรรณกรรมของเรื่องลึกลับจึงเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้อ่านโดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีการศึกษาที่เริ่มต้นจากชนชั้นกลางในอเมริกาและยุโรป (Barrow, 1986; Garoutte, 1992; Treitel, 2004; Tromp, 2006; McGarry, 2008; Monroe, 2008) ที่ทำให้เรื่องผีและวิญญาณกลายเป็นความตื่นเต้นท้าทายของผู้คน เช่นเดียวกับการต่อสู้การใช้ชีวิตในสังคมที่คาดเดาหรือมองไม่เห็นอนาคตได้ เรื่องของผีและวิญญาณของผู้ตายที่เคยเป็นมรดกตกทอดในยุคก่อนสมัยใหม่ เคยถูกมองว่าเป็นความโง่เขลา เป็นความงมงายและเป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไม่ได้ถูกมองเช่นนั้นในปัจจุบัน แต่ผีกลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งของความทันสมัย ลัทธิความเชื่อเรื่อ...

ภาวะของความหลอกหลอน อำนาจที่กระทำต่อคนตัวเล็กตัวน้อย และกลุ่มชาติพันธุ์ในไทย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือเรื่อง Ghostly Matters: Haunting and the Sociological Imagination เขียนโดย Avery F. Gordon ถื เป็นงานเขียนที่น่าสนใจ เพราะผู้เขียนสำรวจแนวคิดเรื่องการหลอกหลอน (haunting) ในฐานะเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เน้นความหมายในเชิงเหนือธรรมชาติ แต่ยังอธิบายการหลอกหลอนในเชิงโครงสร้างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตปัจจุบัน สาระสำคัญของหนังสือมีอยู่กลายประเด็น แต่ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ 1. การหลอกหลอน (Haunting) ในฐานะเครื่องมือในการวิเคราะห์สังคม โดย Gordon มองว่าการหลอกหลอนไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ลึกลับ แต่มันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเปิดเผยสิ่งที่ถูกกดทับหรือมองข้ามในสังคม การหลอกหลอนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ การล่าอาณานิคม และความไม่เท่าเทียมทางเพศ ที่ยังมีอิทธิพลต่อสังคมปัจจุบัน แม้บางครั้งปัญหาเหล่านี้อาจถูกมองว่า “ตายไปแล้ว” ในเชิงประวัติศาสตร์ 2. ความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน แนวคิดการหลอกหลอนในงานเขียน...