หนังสือ “Profiles in Ethnology” เขียนโดย Elman R. Service เป็นหนังสือคลาสสิกในด้านมานุษยวิทยาที่รวบรวมข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วิทยาเกี่ยวกับกลุ่มชนต่างๆ ทั่วโลก โดยเน้นการวิเคราะห์ทางวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคมของชุมชนมนุษย์ หนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกในปี 1958 และได้รับการปรับปรุงข้อมูลในรุ่นหลังๆ เพื่อให้ทันสมัยมากขึ้น
สาระสำคัญของหนังสือ Profiles in Ethnology คือการมุ่งเน้นการอธิบายลักษณะและวิถีชีวิตของกลุ่มชนในสังคมแบบต่างๆ รวมถึงการแยกแยะความแตกต่างทางวัฒนธรรมในด้านโครงสร้างสังคม เศรษฐกิจ ศาสนา และวิถีชีวิตทางการเมือง โดยจัดกลุ่มสังคมเป็น 4 ประเภทหลัก
1. กลุ่มชนเผ่า (Band societies): สังคมขนาดเล็กที่มักอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เช่น ชนเผ่าอินเดียในทวีปอเมริกาเหนือ
2. สังคมแบบเผ่า (Tribal societies): สังคมที่มีการจัดองค์กรที่ซับซ้อนขึ้น เช่น ชาว Nuer ในแอฟริกา
3. สังคมที่มีผู้นำ (Chiefdoms): สังคมที่มีการแบ่งชั้นทางสังคม เช่น ชาว Polynesians
4. สังคมที่มีรัฐ (State societies): สังคมที่มีโครงสร้างการปกครองเป็นรัฐ เช่น อาณาจักรในเมโสโปเตเมีย
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ที่น่าสนใจคือหนังสือจะมีการอธิบายถึงตัวอย่างกลุ่มชนต่างๆ เช่น ชาว San (Bushmen) ในแอฟริกาใต้ที่ยังคงมีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนล่าสัตว์ ชาว Yanomami ในอเมริกาใต้ที่เป็นสังคมชนเผ่าที่มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร
Elman R. Service นำเสนอทฤษฎีการวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ในเชิงวัฒนธรรม โดยเฉพาะในเรื่องโครงสร้างสังคมที่แสดงถึงพัฒนาการจากสังคมขนาดเล็กสู่สังคมขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น
หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญ เพราะหนังสือเล่มนี้ถูกใช้เป็นหนังสือเรียนพื้นฐานในหลายมหาวิทยาลัย เพราะสามารถแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของมนุษย์ผ่านกรณีศึกษาของกลุ่มชนที่หลากหลาย Elman R. Service ยังเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการแบ่งสังคมตามระดับวิวัฒนาการ
หนังสือ “Profiles in Ethnology” ของ Elman R. Service เป็นงานเขียนที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในสาขามานุษยวิทยา โดยเน้นการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของกลุ่มชนหลากหลายที่มีความแตกต่างทางภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ โดย Elman R. Service ใช้หลักการทางชาติพันธุ์วิทยา (Ethnography) ในการศึกษาและวิเคราะห์สังคมมนุษย์ โดยเน้นการพัฒนาทฤษฎีเชิงวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ผ่านการเปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองระหว่างกลุ่มชนต่างๆ หนังสือเล่มนี้จึงเป็นการรวบรวมบทวิเคราะห์และข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มชนในหลากหลายภูมิภาค ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา แอฟริกา เอเชีย หรือโอเชียเนีย
สิ่งที่น่าสนใจในหนังสือคือ การวิเคราะห์สังคมและวัฒนธรรมผ่านกรอบทฤษฎีของ Service ที่แบ่งสังคมออกเป็นสี่ประเภท: กลุ่มชนเผ่า (Bands), เผ่า (Tribes), สังคมผู้นำ (Chiefdoms) และรัฐ (States) แนวคิดนี้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของสังคมจากรูปแบบที่เรียบง่ายและพึ่งพาธรรมชาติไปจนถึงสังคมที่ซับซ้อนและมีการจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบมากขึ้น
ตัวอย่างที่น่าสนใจที่หยิบยกมาเป็นตัวอย่างเช่น
1. ชนเผ่า San (หรือที่รู้จักในชื่อ Bushmen) ในแอฟริกาใต้:
San เป็นกลุ่มชนเผ่าขนาดเล็กที่ยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบล่าสัตว์และเก็บของป่า การดำรงชีวิตของพวกเขาเน้นการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติ โดยไม่มีระบบเศรษฐกิจหรือการปกครองที่ซับซ้อน พวกเขาสื่อสารกันด้วยภาษาเสียงคลิกที่มีเอกลักษณ์ และยังคงสืบทอดประเพณีและความเชื่อที่เกี่ยวกับธรรมชาติ เช่น การเต้นรำที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณและการรักษาโรค
2. ชาว Yanomami ในอเมริกาใต้ โดย
ชาว Yanomami เป็นหนึ่งในตัวอย่างของสังคมแบบเผ่า (Tribe) ที่มีการจัดองค์กรเป็นเครือญาติ แต่ไม่มีระบบการจัดการแบบรัฐบาลกลาง พวกเขามีการต่อสู้กับเผ่าอื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากรและการป้องกันอาณาเขต แต่ขณะเดียวกันก็มีพิธีกรรมที่ซับซ้อน เช่น การใช้สารเสพติดอย่างเช่นกัญชาเพื่อเข้าสู่สภาวะวิญญาณ พิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณบรรพบุรุษ และความเชื่อในโลกหลังความตาย
3. ชน Trobriand Islanders ในแปซิฟิก:
กลุ่ม Trobriand Islanders อาศัยอยู่ในหมู่เกาะนอกชายฝั่งปาปัวนิวกินี และเป็นที่รู้จักในฐานะกลุ่มสังคมที่มีระบบเศรษฐกิจแบบการแลกเปลี่ยนที่ซับซ้อนโดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนทรัพย์สินในระบบ Kula ที่เป็นการแลกเปลี่ยนเปลือกหอยหายากระหว่างหัวหน้าเผ่าต่างๆ นอกจากนี้ การจัดการเรื่องทางสังคม การสืบทอดอำนาจ และความสัมพันธ์ทางเพศก็เป็นสิ่งที่มีลักษณะเฉพาะ
4. สังคม Polynesian Chiefdoms:
Polynesia เป็นพื้นที่ที่มีการจัดระบบสังคมแบบ Chiefdom หรือสังคมที่มีผู้นำซึ่งมีอำนาจอย่างเป็นทางการในการควบคุมทรัพยากรและการเมืองในชุมชน หัวหน้าเผ่ามักมีฐานะเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณและศาสนาในสังคมด้วย การแบ่งชั้นชนในสังคมนี้เห็นได้ชัดเจน มีผู้นำสูงสุด และชนชั้นล่างสุดที่ทำงานเพื่อสนับสนุนอำนาจของผู้นำ
5. รัฐโบราณในเมโสโปเตเมีย
ตัวอย่างของสังคมรัฐที่มีการปกครองเป็นระบบ ได้แก่ รัฐโบราณในเมโสโปเตเมีย เช่น บาบิโลน และซูเมอร์ ซึ่งเป็นสังคมที่มีการจัดองค์กรทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างซับซ้อน โดยมีการจัดการทรัพยากรผ่านระบบชลประทาน การเขียน และการจัดตั้งระบบกฎหมาย ตัวอย่างเช่น กฎหมายนูร์อัมมู ที่ใช้ควบคุมการกระทำของประชาชน
6.ชนเผ่า Kalinga (ฟิลิปปินส์) ซึ่งชนเผ่า Kalinga เป็นหนึ่งในกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาของจังหวัดคาลิงาในฟิลิปปินส์ตอนเหนือ พวกเขามีวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการทำนาขั้นบันไดและการเกษตรเป็นหลัก วัฒนธรรมของ Kalinga เป็นวัฒนธรรมที่เน้นการรักษาความสัมพันธ์ทางเครือญาติ การแต่งงาน และการทำสัญญาสันติภาพระหว่างกลุ่มชนต่างๆ สิ่งที่น่าสนใจในวัฒนธรรม Kalinga คือระบบการรักษาสันติภาพผ่าน Bodong หรือสนธิสัญญาสันติภาพ ซึ่งเป็นวิธีการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างเผ่าและหมู่บ้านที่เคยขัดแย้งกัน
ในเชิงโครงสร้างทางสังคม Kalinga เป็นสังคมแบบ Tribal society ตามแนวคิดของ Service ที่มีผู้นำในแต่ละชุมชนซึ่งมักเป็นผู้สูงอายุที่มีความรู้และอำนาจในการตัดสินข้อพิพาท การใช้ Bodong แสดงให้เห็นถึงวิธีการแก้ไขข้อขัดแย้งในแบบชนเผ่าที่ไม่พึ่งพารัฐหรือกฎหมายกลาง แต่ใช้เครือข่ายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มแทน
7.ชาว Maya (อเมริกากลาง) โดยชนเผ่า Maya เป็นที่รู้จักในฐานะอารยธรรมโบราณที่มีความก้าวหน้าในด้านการเกษตร สถาปัตยกรรม ดาราศาสตร์ และการเขียน แม้ว่า Maya ในยุคปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมากหลังจากการล่าอาณานิคม แต่กลุ่มชนที่สืบทอดวัฒนธรรม Maya ยังคงอยู่ในเม็กซิโก กัวเตมาลา และเบลีซ โดยสังคมของ Maya โบราณจัดอยู่ในประเภท State society ที่มีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนมากขึ้น มีการจัดตั้งเมืองรัฐที่มีผู้นำศาสนาและการเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางของสังคม นอกจากนี้ Maya ยังมีระบบการเขียนที่ใช้ในการบันทึกประวัติศาสตร์ ศาสนา และพิธีกรรมสำคัญต่างๆ พวกเขาสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ เช่น พีระมิดและวัดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและศาสนาที่เข้มแข็ง
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ การศึกษาทางดาราศาสตร์และปฏิทินของ Maya ซึ่งสะท้อนถึงความก้าวหน้าทางวิทยาการที่น่าทึ่ง พวกเขาสามารถคำนวณวัฏจักรของดวงดาวและดวงจันทร์ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแสดงถึงความรู้ทางธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าแม้ไม่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่
8. ชนเผ่า Zulu (แอฟริกาใต้) โดยชนเผ่า Zulu เป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีชื่อเสียงในแอฟริกาใต้และเคยเป็นอาณาจักรที่ทรงอำนาจในช่วงศตวรรษที่ 19 ภายใต้การนำของ Shaka Zulu ผู้นำคนสำคัญที่ขยายอาณาเขตและจัดตั้งระบบการทหารที่เข้มแข็ง วัฒนธรรม Zulu มีลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นในเรื่องการเป็นนักรบและความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งระหว่างชุมชน
ตามแนวคิดของ Service สังคม Zulu ในช่วงเวลาของ Shaka จัดอยู่ในประเภท Chiefdom ซึ่งมีผู้นำที่เป็นผู้มีอำนาจควบคุมทรัพยากรและการตัดสินใจทางการเมือง ในช่วงเวลานั้น Zulu มีการแบ่งแยกชนชั้นอย่างชัดเจน และใช้การจัดระเบียบทหารเพื่อควบคุมและขยายอาณาจักร สิ่งที่น่าสนใจคือ การใช้ยุทธวิธีการรบแบบ “bull horn formation” ที่ Shaka Zulu คิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างความได้เปรียบในสงคราม
วัฒนธรรมของ Zulu ยังคงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน โดยมีพิธีกรรมสำคัญ เช่น พิธีเต้นรำประเพณีที่มีเอกลักษณ์ รวมถึงความเชื่อในวิญญาณบรรพบุรุษและการบูชาธรรมชาติ นอกจากนี้ ภาษาและศิลปะการแสดงของ Zulu ยังเป็นส่วนสำคัญในวัฒนธรรมแอฟริกาตอนใต้
แนวคิดในงานของ Elman R. Service มีความสำคัญในการทำให้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสังคมและวัฒนธรรม มุมมองของเขามีความสำคัญในการเปรียบเทียบโครงสร้างทางสังคมที่แตกต่างกัน และทฤษฎีการพัฒนาสังคมนี้ยังมีการใช้อธิบายความเปลี่ยนแปลงในระดับโลกจนถึงปัจจุบัน
การศึกษาของ Service ยังให้มุมมองที่เป็นแบบจำลองสำหรับนักมานุษยวิทยาในรุ่นหลังในการทำความเข้าใจความซับซ้อนของวัฒนธรรมและสังคมโดยใช้วิธีการเปรียบเทียบ ซึ่งในหนังสือ “Profiles in Ethnology” ของ Elman R. Service แม้จะไม่ได้พูดถึงทุกกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีอยู่ในโลก แต่สามารถนำแนวคิดของเขามาประยุกต์ใช้เพื่อวิเคราะห์ชนเผ่าต่างๆ ได้อย่างน่าสนใจ
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น