มานุษยวิทยากับการทำงานสนาม
การทำงานภาคสนาม (Field work) เป็นหัวใจสำคัญของการสืบค้นความรู้ทางมานุษยวิทยา อาจกล่าวได้ว่าเป็นรากฐานของระเบียบวิจัย ดังที่ มาร์กาเร็ต มี้ด นักมานุษยวิทยาผู้มีชื่อเสียงกล่าวว่า “เราไม่มีทางสร้างนักมานุษยวิทยาได้นอกจากส่งพวกเขาออกไปภาคสนาม การสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตนี้เป็นเครื่องหมายแสดงความแตกต่างของเรากับศาสตร์อื่นๆ”
คำว่า "สนาม" (field) หมายถึงพื้นที่ที่สมาชิกของกลุ่มที่จะถูกวิจัยโดยผู้วิจัยพักอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน "สนาม" อาจเป็นอินเทอร์เน็ต พิพิธภัณฑ์ โรงเรียน ห้องสมุด โรงพยาบาล ห้องทดลอง ตลาด ร้านอาหารในเมือง พื้นที่เสมือน ฯลฯ "สนาม" กลายเป็นห้องทดลองสำเร็จรูปสำหรับนักวิจัย นักมานุษยวิทยา การทำงานภาคสนามเป็นการสืบเสาะ ค้นคว้า ค้นหา ทางมานุษยวิทยาที่ผู้วิจัยพำนักอาศัยหรือเยี่ยมชมสถานที่สำรวจเป็นเวลานานไม่น้อยกว่าหนึ่งปี เพื่อให้ได้รับประสบการณ์โดยตรงและเก็บรวบรวมข้อมูล
นอกจากนี้ยังมีผู้นิยามงานภาคสนามว่าเป็น "การศึกษาผู้คนและวัฒนธรรมของพวกเขาในที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ งานภาคสนามทางมานุษยวิทยามีลักษณะเด่นที่แตกต่างจากการอยู่อาศัยเป็นเวลานานของผู้ศึกษาในสนาม แต่ยังเน้นเรื่องของการมีส่วนร่วมและการสังเกตการณ์ผู้คน วัฒนธรรมและสังคม และความพยายามที่จะเข้าใจมุมมองภายในของชาวพื้นเมืองและเพื่อให้ได้มุมมองแบบองค์รวมของนักวิทยาศาสตร์สังคม” (อ้างใน Robben and Sluka 2007: 7)
งานภาคสนามมีความสำคัญสำหรับนักมานุษยวิทยาสังคมและวัฒนธรรม นักมานุษยวิทยากายภาพ และนักมานุษยวิทยาโบราณคดี มันเป็นวิธีการหนึ่งที่พวกเขาปฏิบัติตามในสาขาที่แตกต่างกันตลอดชีวิตการศึกษา
นักมานุษยวิทยาอาศัยการทำงานภาคสนามเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด เป็นเพราะอย่างที่ Srivastava กล่าวไว้ “เมื่อเทียบกับวิธีการอื่นๆ การทำงานภาคสนามให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนและความหมายที่พวกเขาอ้างถึงการกระทำของพวกเขา
การทำงานภาคสนามยังสอนให้รู้จักความแตกต่างระหว่าง 'สิ่งที่ผู้คนคิด' (what people think ) ‘สิ่งที่ผู้คนพูด'(what people say) 'สิ่งที่ผู้คนทำ (what people do ) และ 'สิ่งที่ผู้คนพูดว่าพวกเขาควรจะทำ'”
(what people say they ought to have done)
การทำงานภาคสนามเป็นลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ช่วยนักมานุษยวิทยาในการสำรวจชีวิตมนุษย์ ที่มีความยืดหยุ่นอย่างสูงแก่ผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม เนื่องจากสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการและเทคนิคในการตรวจสอบ ค้นหาและรวบรวมข้อมูล ที่สามารถสร้างสรรค์และเพิ่มกระบวนการที่ใหม่กว่า ได้ตลอดเวลา รวมถึงการกำหนด "กลยุทธ์ หริอวิธีการจัดการในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสนาม เพื่อรับมือกับความท้าทายที่คาดไม่ถึงของการทำงานภาคสนาม
ประวัติของการทำงานภาคสนามในมานุษยวิทยา แม้ว่าบรรพบุรุษของมานุษยวิทยาจะสนใจอย่างมากในการรู้ว่าผู้คนทั่วโลกใช้ชีวิตอย่างไร แต่ก็ไม่กระตือรือร้นที่จะออกไปสำรวจด้วยตัวเอง นักวิชาการชาวยุโรปเหล่านี้ในศตวรรษที่สิบเก้าค่อนข้างชอบที่จะพึ่งพาการสอบถามของมิชชันนารี นักเดินเรือ พ่อค้า ผู้บริหารท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งประจำอยู่ในสถานที่ที่พวกเขาสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาณานิคม นักวิชาการดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่าเป็นนักมานุษยวิทยาแบบนั่งบนหอคอย (Armchair Anthropologist)
E..B. Tylor (1832-1917) หนึ่งในนักมานุษยวิทยารุ่นแรกของเรา ผู้ซึ่งอาจให้คำจำกัดความของวัฒนธรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดและเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีการพัฒนามนุษย์ (เรียกว่าวิวัฒนาการนิยม) ได้ช่วยเหลือนักโบราณคดีสมัครเล่นในการสำรวจภาคสนามของเขาไปยังเม็กซิโกในช่วงกลางทศวรรษ 1850 . หนังสือเล่มแรกของเขา Anahuac หรือ Mexico and the Mexicans, Ancient and Modern (1861) ขึ้นอยู่กับงานภาคสนามนี้ นักมานุษยวิทยาร่วมสมัยอีกคนหนึ่งร่วมกับ Tylor และเป็นผู้ส่งเสริมในลัทธิวิวัฒนาการ นักวิชาการชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า L. H. Morgan (1818-1881 ) เป็นที่รู้จักจากการศึกษาเกี่ยวกับครอบครัว การแต่งงาน และเครือญาติ เขาทำงานภาคสนามเป็นครั้งแรกในหมู่ชาวอิโรควัวส์ ซึ่งเป็นชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองในทศวรรษที่ 1840 เขาเผยแพร่การค้นพบของเขาในรูปแบบของหนังสือชื่อ League of the Iroquois (1851) แตกต่างจากนักมานุษยวิทยาที่บนหอคอย(Armchair Anthropologist) ในสมัยของเขา เพราะว่ามอร์แกนยังคงสำรวจภาคสนามท่ามกลางชนเผ่าอื่นๆ ในอเมริกาเหนือเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับระบบเครือญาติของพวกเขา แม้ว่างานภาคสนามซึ่งเป็นกระบวนการศึกษาทางมานุษยวิทยาเต็มรูปแบบยังไม่ได้รับการแนะนำในระเบียบวิจัย แต่มอร์แกนก็มีอิทธิพลในการส่งเสริมการพัฒนาและการใช้วิธีลำดับวงศ์ตระกูลระหว่างการทำงานภาคสนาม ในขณะที่ศึกษาเรื่องครอบครัว การแต่งงาน และเครือญาติ
ทั้งนี้มีการทำงานภาคสนามจำนวนมาก ที่ถูกศึกษาโดยทั้งนักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษและชาวอเมริกันในช่วงปลายศตวรรษที่19 อย่าง W.H.R. Rivers (1864-1922) และ A.C. Haddon (1855-1940) ได้จัดคณะสำรวจไปยังช่องแคบ Torres ในมหาสมุทรแปซิฟิกในออสเตรเลียในปี 1898 และ Franz Boas (1858-1942) นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันทีมีขื่อเสียง ได้ทำงานภาคสนามครั้งแรกในกลุ่มของชาวเอสกิโม ในเกาะแบฟฟิน ประเทศแคนาดาในปีค.ศ 1883 ริเวอร์สมุ่งความสนใจไปที่การทำความเข้าใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทางเครือญาติ รวมถึงการศึกษาโทดาแห่งอินเดียตอนใต้ (Todas of Southern India ) นักมานุษยวิทยาก็ตระหนักถึงความสำคัญของการเยี่ยมชมและรวบรวมความรู้โดยตรงเกี่ยวกับสังคมที่พวกเขาสนใจแทนที่จะสร้างทฤษฎีจากบ้านของพวกเขาเอง แต่ใช้สนามที่พวกเขาเข้าไปอยู่สร้างทฤษฎีขึ้นมา
โบแอส(Boas)ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งมานุษยวิทยาอเมริกัน ประณามการมองภาพรวมแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่เผยแพร่โดยนักมานุษยวิทยาในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 โดยอิงจากข้อมูลที่มีอยู่น้อยนิดจากผู้อื่น สำหรับโบแอส การตั้งหรือสร้างทฤษฎีหนึ่งๆ จะต้องขึ้นอยู่กับข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณนาที่เหมาะสมที่รวบรวมโดยมือหนึ่ง โบแอสเชื่ออย่างเด็ดขาดว่าสาขามานุษยวิทยาทุกแขนงต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและให้มุมมอง ความคิดของเขานี้ทำให้เขาสามารถสร้าง "ประวัติศาสตร์ของการเติบโตของความคิดที่มีความแม่นยำมากกว่าวิธีการเปรียบเทียบแบบทั่วไป" (Hyatt 1990:43)
ดังนั้น โบแอสจึงแนะนำวิธีใหม่ในการทำงานภาคสนามในมานุษยวิทยา โดยเขาเน้นที่งานภาคสนามเชิงชาติพันธุ์วรรณนา ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม และวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ทฤษฎีสัมพัทธภาพทางวัฒนธรรมของเขาได้นำข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ มาสู่การศึกษามานุษยวิทยา เนื่องจากการเน้นย้ำเปลี่ยนจากการให้เหตุผลของนักมานุษยวิทยาผู้ตรวจสอบไปสู่การรับรู้และการตีความของผู้ถูกศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่ถูกค้นหา สืบสวนและสอบสวนโดยนักมานุษยวิทยา นี่คือการกำจัดความคิดที่เป็นกลางของสังคมหนึ่งที่ถูกอ้างว่าเหนือกว่าอีกสังคมหนึ่งหรือถูกต้องกว่าอีกสังคมหนึ่ง
เรื่องเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของการทำงานสนามทางมานุษยวิทยา เรื่องนี้จะไม่สมบูรณ์หากไม่ได้กล่าวถึงคุณูปการที่สำคัญของ Bronislaw Malinowski นักมานุษยวิทยาชาวโปแลนด์ ในการทำงานภาคสนามและการพัฒนาวิชาการด้านมานุษยวิทยาสังคมในอังกฤษ
มาลิโนว์สกี้เปลี่ยนวิธีการทำงานภาคสนามในการสืบสวน เสาะหาข้อมูลทางมานุษยวิทยา ผลงานตีพิมพ์ของเขาจากประสบการณ์ของเขากับชาวเกาะโทรเบี้ยนในปาปัวนิวกินีทำให้พี่น้องนักมานุษยวิทยาและคนอื่นๆ เข้าใจถึงวิธีการวิจัยวัฒนธรรม สังคม และผู้คนอย่างสอดคล้องกัน เขาเน้นเรื่องนี้เป็นหลักในขณะที่ทำงานภาคสนามเชิงชาติพันธุ์วรรณนาแบบเข้มข้น การเข้าร่วมสังเกตการณ์พิธีกรรมและการสื่อสารด้วยภาษาท้องถิ่น สองอันแรกนั้นคล้ายกับที่ Boas เสนอ โดยมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย คือ Malinowski ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการสร้างสายสัมพันธ์ การอยู่เป็นเวลานาน (ประมาณหนึ่งปีหรือสองปี) และทำความรู้จักกับสังคมที่กำลังศึกษาอย่างน่าเชื่อที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อเป็นแนวทางในการนี้ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมซึ่งแสดงถึงการมีส่วนร่วมของผู้ตรวจสอบในเหตุการณ์ประจำวันและการติดต่อสื่อสารระหว่างกันเป็นสิ่งที่จำเป็น ทั้งการอยู่กับผู้ถูกวิจัย ถูกศึกษาและมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกวัน นักมานุษยวิทยาจะต้องสร้างความสะดวกสบายและความไว้วางใจในระดับหนึ่งในหมู่ผู้ที่ถูกศึกษา ซึ่งก็คือเจ้าของชุมชน สิ่งนี้สามารถสร้างขึ้นได้ด้วยการสื่อสารในภาษาท้องถิ่นคำอธิบายโดยละเอียดของ Malinowski เกี่ยวกับการปฏิบัติของการแลกเปลี่ยนในวงแหวน Kula ใน Argonauts of the Western Pacific (1922) ที่โด่งดังของเขา โดยใช้วิธีการทำงานภาคสนามของมาลีนอฟสกี้ ยังคงเป็นจุดเด่นของการสืบค้นและเสาะหาข้อมูลเชิงชาติพันธุ์วรรณนา
นอกจากนี้ความน่าสนใจประการหนึ่งในงานสนามก็คือ การเข้ามาทำงานภาคสนามทางมานุษยวิทยาของผู้หญิง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่มีผู้ชายครอบงำ เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 โดย Elsie Clews Parsons เป็นหนึ่งในผู้หญิงไม่กี่คนในยุคของเธอที่ทำงานภาคสนามในภาคตะวันตกเฉียงใต้ของอเมริกาในปี 1910 สะท้อนให้เห็นว่าผู้หญิงเข้าถึงได้มากกว่าในชีวิตของผู้คน ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้รับการสนับสนุนโดย E. B. Tylor ในช่วงศตวรรษที่ 19 ซึ่งเสนอว่า ภรรยาควรช่วยสามีทำงานภาคสนามเพื่อช่วยในด้านดังกล่าว (Visweswaran, 1997) โบแอสสนับสนุนความรู้สึกนี้เช่นกันเพราะเขาเชื่อว่า “ผู้หญิงสามารถเข้าถึงด้านต่างๆ ของชีวิตทางสังคมที่ผู้ชายไม่มี เขามองว่าผู้หญิงมีสัญชาตญาณและมีทักษะในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมากกว่า และกระตุ้นให้พวกเขารวบรวมข้อมูลด้านการแสดงออกทางอารมณ์ของชีวิต” (Modell, 1984: 181)
ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นักเรียนของ Boasอย่างเช่น Ruth Benedict, Margaret Mead, Cora Du Bois ฯลฯ เป็นผู้หญิงที่ทำงานภาคสนามในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 30 และกลายเป็นนักมานุษยวิทยาชั้นนำในยุคนั้น ในช่วงปลายทศวรรษ 1940 ผู้หญิงอย่างแมรี ดักลาส ก้าวขึ้นสู่แถวหน้า โดยทำงานภาคสนามในคองโก และมีชื่อเสียงจากผลงานด้านพิธีกรรมที่บริสุทธิ์ มลทิน และสัญลักษณ์ ผู้หญิงเหล่านี้ผ่านการวิจัยของพวกเขายังนำแนวคิดเรื่องสตรีนิยมและเรื่องเพศมาใช้ในผลงานของพวกเขาและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นอย่างมากต่อแนวทางที่วิชาการทางมานุษยวิทยาปฏิบัติกัน และสะท้อนความก้าวหน้าในประวัติศาสตร์วิชาการด้านมานุษยวิทยาที่พัฒนาจากนักมานุษยวิทยาเหล่านี้เป็นรากฐานสำคัญ
***ภาพวิถีชีวิตชาวสุรินทร์ ตลาดยามเช้า และการหาอยู่หากิน
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น