ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ศาสนากับทุนนิยม โดย น้ฐวุฒิ สิงห์กุล

เมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของศาสนากับทุนนิยม ผมนึกถึงหนังสือชื่อ Religion and the Rise of Capitalismโดย Benjamin M. Friedman เป็นหนังสือที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและการพัฒนาระบบทุนนิยม โดยผู้เขียนสำรวจว่าความคิดทางศาสนา โดยเฉพาะคริสต์ศาสนาภายหลังการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ (Protestant Reformation) มีอิทธิพลต่อแนวคิดทางเศรษฐกิจและการเติบโตของทุนนิยมสมัยใหม่อย่างไร เนื้อหาหลักของหนังสือประกอบด้วยความคิดที่น่าสนใจคือ 1. ความคิดทางศาสนาที่สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ Friedman อธิบายว่า แนวคิดศาสนาที่ส่งเสริมคุณธรรมส่วนบุคคล เช่น การทำงานหนัก ความอดออม และการลงทุนในอนาคต สะท้อนออกมาในพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของสังคมยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 17 และ 18 ศาสนาโปรเตสแตนต์เน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ระหว่างการประพฤติดีในโลกนี้กับการประสบความสำเร็จในชีวิตหลังความตาย ทำให้การแสวงหาความมั่งคั่งในโลกนี้ไม่ถูกมองว่าเป็นบาป 2. การเปลี่ยนแปลงความคิดเรื่องบาปและความร่ำรวย โดย Friedman วิเคราะห์ว่าการปฏิรูปศาสนาเปลี่ยนมุมมองเรื่อง “บาป” ที่เกี่ยวข้องกับความมั่งคั่งและการใช้ชีวิตอย่างหรูหรา คริสตจักรคาทอลิกดั้งเดิมมองว่าการสะสมทรัพย์สินเป็นบาป แต่เมื่อแนวคิดโปรเตสแตนต์เริ่มแผ่ขยาย ความร่ำรวยที่ได้จากการทำงานหนักและการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพกลับกลายเป็นสิ่งที่ได้รับการยอมรับและส่งเสริม 3. ประวัติศาสตร์แห่งการเชื่อมโยงศาสนาเข้ากับ ระบบทุนนิยม ซึ่ง Friedman อ้างอิงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เช่น การเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับแนวคิดทางศาสนา Friedman ให้ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มธุรกิจและสังคมชนชั้นกลาง ที่มองว่าการทำงานหนักและการสะสมทรัพย์สินเพื่อการพัฒนาชุมชนเป็นสิ่งที่ดีตามหลักศาสนา เขายังอธิบายถึงบทบาทของนักเศรษฐศาสตร์เช่น Adam Smith ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดศาสนาในเรื่องของเศรษฐศาสตร์จริยธรรมและตลาดเสรี 4. การวิพากษ์ระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่ไม่เน้นคุณค่า ไม่เน้นศีลธรรม แต่เน้นมูลค่าและผลประโยขน์ ซึ่ง Friedman ชี้ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและเศรษฐกิจมีการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยปัจจุบัน การแสวงหากำไรกลายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าเป็นธรรมชาติของระบบเศรษฐกิจ แต่แนวคิดศาสนาในอดีตที่ส่งเสริมคุณธรรมทางเศรษฐกิจได้กลายเป็นฐานทางจริยธรรมให้กับทุนนิยมสมัยใหม่ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ที่น่าสนใจมีหลายเรื่อง ดังที่ Friedman ให้ตัวอย่างประเทศอังกฤษในศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีการเติบโตของชนชั้นกลางที่ยึดถือความเชื่อทางศาสนาแบบโปรเตสแตนต์ว่า การประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจและการทำงานอย่างหนักเป็นการแสดงถึงความโปรดปรานจากพระเจ้า แนวคิดนี้ทำให้ชนชั้นกลางในอังกฤษมีการสะสมทุน และการพัฒนาธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพและนวัตกรรมใหม่ๆ นอกจากนี้ Friedman ยังวิเคราะห์ถึงการเติบโตของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ศาสนาโปรเตสแตนต์แบบ evangelism ช่วยส่งเสริมความคิดทางเศรษฐกิจที่เน้นการออมและการลงทุนระยะยาว ทำให้ระบบทุนนิยมแบบอเมริกันมีความโดดเด่นในการเติบโตอย่างรวดเร็ว (Evangelism โดยเฉพาะคือกลุ่ม Evangelical Christians ซึ่งเชื่อในการประกาศข่าวดี (Gospel) และยึดถือคัมภีร์ไบเบิลเป็นศูนย์กลางของความเชื่อและชีวิต) ในบริบททางประวัติศาสตร์ Evangelism มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาและยุโรป การยึดถือความเชื่อในความซื่อสัตย์ ความขยันหมั่นเพียร และการทำงานเพื่อพระเจ้าได้ส่งเสริมให้เกิดแนวคิดเรื่องการทำงานอย่างหนักและการออมทรัพย์ ซึ่งมีส่วนในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจทุนนิยม อีกกรณีตัวอย่างบทบาทของโปรเตสแตนต์ในเนเธอร์แลนด์ โดย Friedman ให้ตัวอย่างของ สาธารณรัฐดัตช์ ในช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งในเวลานั้นเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งที่สุดในยุโรป สาธารณรัฐดัตช์ได้รับอิทธิพลจากความคิดทางศาสนาโปรเตสแตนต์ โดยเฉพาะแนวคิด Calvinism ที่ส่งเสริมความเรียบง่าย ความอดออม และการทำงานหนัก คนดัตช์เริ่มสร้างอุตสาหกรรมการเงิน การธนาคาร และการค้าระหว่างประเทศที่ทรงอิทธิพล Friedman อธิบายว่าการสะสมความมั่งคั่งจากการค้าในสังคมดัตช์นั้นไม่ถือเป็นสิ่งผิด แต่กลับถูกมองว่าเป็นการแสดงถึงพรจากพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงศาสนาในสกอตแลนด์ ที่เริ่มจากชุมชนเกษตรกรรมสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจ สกอตแลนด์ในศตวรรษที่ 18 เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ Friedman อ้างถึง ศาสนาโปรเตสแตนต์ในรูปแบบของ Presbyterianism มีบทบาทสำคัญในการปลูกฝังค่านิยมเกี่ยวกับการศึกษา การขยันหมั่นเพียร และการพึ่งพาตนเอง สกอตแลนด์มีการปฏิรูปการศึกษาที่มุ่งเน้นความรู้ทางโลกควบคู่กับศาสนา ส่งผลให้ชุมชนชนบทเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นเศรษฐกิจที่ทันสมัยมากขึ้น Friedman อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงทางศาสนานี้มีบทบาทในการทำให้สกอตแลนด์กลายเป็นศูนย์กลางของการคิดทางเศรษฐศาสตร์และการพัฒนาของระบบทุนนิยม โดยมีนักปรัชญาเศรษฐกิจเช่น Adam Smith ที่เป็นผลผลิตของระบบการศึกษานี้ การเติบโตของอุตสาหกรรมการเงินในเมืองเจนีวา (Geneva) เมืองเจนีวา ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแนวคิด Calvinism เป็นอีกตัวอย่างที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจการเงินและการธนาคาร Friedman ชี้ให้เห็นว่าค่านิยมทางศาสนาที่เน้นความอดออมและการทำงานหนักช่วยสนับสนุนให้เมืองเจนีวากลายเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญ การที่ประชากรยึดมั่นในหลักความเชื่อทางศาสนาเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างสมถะและการสะสมความมั่งคั่งเพื่อการลงทุน ทำให้เกิดระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง และกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่มีเศรษฐกิจรุ่งเรือง อเมริกาตอนต้น ความเชื่อทางศาสนาและการเติบโตของระบบการศึกษา โดย Friedman ให้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเกี่ยวกับอาณานิคมในอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มโปรเตสแตนต์ที่เน้นการศึกษาและการพึ่งพาตนเอง อาณานิคมในรัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Bay Colony) เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดโปรเตสแตนต์เรื่องความสำคัญของการศึกษา เพื่อให้คนสามารถอ่านพระคัมภีร์และทำความเข้าใจธรรมะเองได้ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาระบบการศึกษาและสถาบันอุดมศึกษาต่างๆ อย่างรวดเร็ว การให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และการศึกษาเชิงปฏิบัติช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในอาณานิคมนี้ให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งในช่วงศตวรรษที่ 18 การค้าทางทะเลและการเผยแพร่ศาสนาในอังกฤษและอาณานิคม ซึ่ง Friedman ยังวิเคราะห์ถึงบทบาทของศาสนาโปรเตสแตนต์ในการขยายตัวของจักรวรรดิอังกฤษผ่านการค้าทางทะเล เขาอธิบายว่าความเชื่อทางศาสนาไม่ได้เพียงแต่มีบทบาทในการสร้างแนวคิดทุนนิยมในประเทศต้นกำเนิด แต่ยังส่งผลต่อการเผยแพร่ทุนนิยมและศาสนาผ่านอาณานิคมในส่วนต่าง ๆ ของโลกผ่านการค้าขาย การจัดตั้งอาณานิคม และการเผยแพร่ศาสนา สรุป ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ “Religion and the Rise of Capitalism” แสดงให้เห็นว่า ความคิดทางศาสนาโปรเตสแตนต์ ไม่ว่าจะเป็น Calvinism, Presbyterianism หรือแนวคิด Evangelical ได้มีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและสังคมสมัยใหม่ในหลายภูมิภาคของโลก ผมสนใจว่าแนวคิดเหล่านี้เมื่อทาเทียบกับพระพุทธศาสนาบ้านเรา ที่เน้นการสร้างถาวรวัตถุ เครื่องรางของขลัง ให้คนมาทำบุญ กราบไหว้ เพื่อความสำเร็จและความร่ำรวย ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะศาสนาต้องถูกค่ำจุนด้วยพุทธบริษัทและฆาราวาส ที่เป็นคนมีชื่อเสียง มีภาพลักษณ์ที่ดี มีอำนาจบารมี แน่นอนว่า ความขลังของพระพุทธศาสนาถูกควบรวมกับมูลค่า ไม่ใช่คุณค่าเพียงอย่างเดียวเหมือนเมื่อก่อน …

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...