ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัฒนธรรมการใช้กี่เอว โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

วัฒนธรรมการทอผ้าแบบกี่เอว ในหนังสือ Textiles from the Andes โดย Penelope Dransart และ Helen Wolfe เป็นหนังสือที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผ้าทอจากภูมิภาคแอนดีส ซึ่งครอบคลุมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์การทอผ้าของชาวอินคาและกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ในภูมิภาคนี้ หนังสือเล่มนี้สำรวจความซับซ้อนทางเทคนิค การออกแบบลวดลาย และบทบาททางสังคมและพิธีกรรมของผ้าในชีวิตของชาวแอนดีส ผู้เขียนได้เขียนหนังสือที่เจาะลึกถึงประวัติศาสตร์และความสำคัญของการทอผ้าในวัฒนธรรมแอนดีส (Andes) ครอบคลุมถึงภูมิภาคที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอินคา (ปัจจุบันคือเปรู โบลิเวีย และส่วนหนึ่งของชิลี) หนังสือเล่มนี้อธิบายถึงวิธีการทอผ้าและการใช้กี่เอว (backstrap loom) ในกระบวนการผลิตผ้า พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับบริบททางวัฒนธรรมและสังคมในแง่ของพิธีกรรม ชนชั้น และสถานะทางสังคม ความสำคัญทางวัฒนธรรมของผ้าในแอนดีส ผ้าทอในแอนดีสมีความหมายเชิงวัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง ไม่ใช่เพียงแค่การใช้งานในชีวิตประจำวัน แต่ยังเป็นตัวแทนของความเชื่อทางศาสนาและพิธีกรรม ผ้าทอถูกใช้ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ การบูชาเทพเจ้า และการทำพิธีฝังศพ นอกจากนี้ ผ้าทอยังเป็นตัวชี้วัดสถานะและชนชั้นทางสังคม ผู้ปกครองและชนชั้นสูงในสังคมมักจะสวมใส่ผ้าที่มีลวดลายและสีสันที่ซับซ้อน ซึ่งแสดงถึงอำนาจและอิทธิพล ความสำคัญของผ้าในสังคมแอนดีส ในงานของ Penelope Dransart และ Helen Wolfe อธิบายว่าผ้าไม่ใช่เพียงแค่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งในพิธีกรรม ศาสนา และการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชน ผ้าที่ถูกทอขึ้นมามักใช้ในงานพิธีทางศาสนา เช่น การบูชาเทพเจ้า และการฝังศพ นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมและอำนาจ โดยเฉพาะในสังคมอินคา ผ้าทอมีบทบาทในการแสดงความมั่งคั่งและอิทธิพล ความโดดเด่นคือ เทคนิคการทอผ้าแบบดั้งเดิม หนังสืออธิบายถึงกระบวนการทอผ้าด้วย กี่เอว ซึ่งเป็นเครื่องมือทอผ้าแบบโบราณที่ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน กี่เอวช่วยให้ผู้ทอสามารถสร้างลวดลายที่ซับซ้อนและปรับความตึงของเส้นด้ายได้ตามต้องการ โดยผ้าทอในแอนดีสมักจะเป็นผ้าลวดลายหน้าเดี่ยว (warp-faced) ที่ลวดลายจะเกิดจากการทอเส้นด้ายแนวตั้ง (warp) เป็นหลัก ผู้ทอสามารถบังคับให้เกิดลวดลายที่หลากหลายได้ด้วยการเล่นกับการไขว้ของเส้นด้าย การทอผ้ามีเทคนิคการทอผ้าหลายประเภทที่พบในภูมิภาคแอนดีส เช่น การทอผ้าด้วย กี่เอว (backstrap loom) ซึ่งเป็นเครื่องมือทอผ้าที่เรียบง่ายแต่สามารถสร้างลวดลายที่ซับซ้อนได้ ผู้ทอใช้วัสดุจากธรรมชาติ เช่น ขนสัตว์ลามะ อัลปากา และวิคุนญา เพื่อสร้างผ้าคุณภาพสูง นอกจากนี้ หนังสือยังอธิบายถึงการย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติที่ได้จากพืชและแร่ธาตุ เช่น สีแดงจากครั่ง (cochineal) สีฟ้าจากอินดิโก และสีเหลืองจากดอกไม้ ลวดลายและสีสันที่สะท้อนความเชื่อ หนังสือมีตัวอย่างเชิงรูปธรรมของลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ เช่น ลวดลายที่สะท้อนถึงภูเขาและแม่น้ำ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเชื่อของชาวอินคา การเลือกใช้สีที่ได้มาจากพืชและแร่ธรรมชาติ เช่น สีแดงจากครั่ง (cochineal) สีเหลืองจากดอกไม้ และสีฟ้าจากแร่ธาตุ สะท้อนถึงการผสมผสานของธรรมชาติและจิตวิญญาณ ลวดลายและสีสันเหล่านี้ยังบ่งบอกถึงชนชั้นและบทบาทในสังคม เช่น ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมสำคัญจะมีลวดลายที่ซับซ้อนและสีที่เด่นชัดมากกว่าผ้าสำหรับการใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นลวดลายทางเรขาคณิต และสัญลักษณ์บนผ้าทอมีความหมายเฉพาะเจาะจงในวัฒนธรรมแอนดีส ลวดลายที่ใช้บ่อย ได้แก่ ลวดลายตัวอักษร “tocapu” ซึ่งเป็นลวดลายที่แสดงถึงอำนาจของชนชั้นสูงในสังคมอินคา และลวดลายที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เช่น ภูเขา แม่น้ำ และสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ลวดลายเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อทางศาสนาและการเชื่อมโยงกับธรรมชาติ นอกจากนี้ ผ้าที่ทอขึ้นมาเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาหรือการบูชาเทพเจ้ายังมีลวดลายที่เชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ บทบาทของผู้หญิงในงานทอผ้า ผู้เขียนเน้นถึงบทบาทของผู้หญิงในกระบวนการทอผ้า โดยทั่วไปการทอผ้าในแอนดีสมักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ผู้หญิงจะเริ่มเรียนรู้การทอผ้าตั้งแต่อายุยังน้อย และการทอผ้าถือเป็นศิลปะที่ต้องการทักษะสูงและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ลวดลายที่ผู้หญิงทอไม่เพียงแต่สะท้อนถึงฝีมือ แต่ยังแสดงถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความเชื่อที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน โดยลวดลายที่เรียกว่า “tocapu” ซึ่งเป็นลวดลายที่พบในผ้าทอของชนชั้นสูงในสังคมอินคา ลวดลายนี้ประกอบไปด้วยรูปทรงเรขาคณิตที่มีความซับซ้อน บางลายเป็นสัญลักษณ์เฉพาะที่ใช้เพื่อบ่งบอกถึงสถานะของบุคคล หรือเพื่อเชื่อมโยงกับเทพเจ้า การใช้ผ้าทอในพิธีกรรมศาสนา เช่น การนำผ้าไปถวายให้กับเทพเจ้าหรือเพื่อเป็นเครื่องบูชาในงานพิธีต่าง ๆ ผ้าที่ถูกนำมาใช้ในพิธีกรรมนี้มักจะมีการทอลวดลายที่เชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์ บทบาทของผ้าในพิธีกรรมและสังคม ในสังคมอินคาการใช้ผ้าทอในพิธีกรรมต่างๆ เช่น การบูชาเทพเจ้า และการทำพิธีฝังศพ ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมมักจะมีลวดลายและสีที่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ นอกจากนี้ ผ้าทอในแอนดีสยังมีบทบาทสำคัญในสังคมเชิงเศรษฐกิจ เช่น ใช้เป็นสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยนระหว่างชุมชน และเป็นสิ่งของที่แสดงถึงความมั่งคั่งและอิทธิพลของผู้ถือครอง การใช้ผ้าทอในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินคา โดยชาวอินคานำผ้าทอที่มีลวดลายสลับซับซ้อนและสีสันสวยงามไปใช้ในการบูชาเทพเจ้า เช่นการถวายผ้าให้กับ Inti เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่สำคัญที่สุดของชาวอินคา ผ้าที่ใช้ในพิธีกรรมเหล่านี้มักจะถูกสร้างขึ้นจากเส้นใยที่มีคุณภาพสูง เช่น ขนวิคุนญา ซึ่งเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายอินคา ผ้าทอที่ใช้ในพิธีกรรมการฝังศพ โดยผ้าทอถูกใช้ห่อหุ้มศพในพิธีฝังศพของชาวแอนดีส โดยเฉพาะศพของชนชั้นสูง ผ้าที่ห่อศพมักจะเป็นผ้าที่มีลวดลายทางศาสนาและสัญลักษณ์ที่เชื่อว่าช่วยในการเดินทางของผู้ตายไปสู่โลกหลังความตาย ในปัจจุบันมีการฟื้นฟูและการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้า ในหนังสือยังกล่าวถึงความพยายามในการอนุรักษ์ศิลปะการทอผ้าแบบดั้งเดิมของชาวแอนดีส โดยมีการตั้งกลุ่มช่างทอผ้าและองค์กรเพื่อสนับสนุนการสืบสานทักษะการทอผ้าในชุมชนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคนี้ กระบวนการผลิตผ้าแบบดั้งเดิมกำลังกลับมาได้รับความสนใจทั้งในเชิงวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับกี่เอวของกะเหรี่ยง โดยกี่เอวเป็นเครื่องทอผ้าที่สำคัญในวัฒนธรรมของชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยและเมียนมา เครื่องทอกี่เอวใช้เทคนิคการทอผ้าด้วยการยึดปลายด้านหนึ่งของผ้าไว้ที่เอวของผู้ทอ อีกปลายหนึ่งยึดไว้กับต้นไม้หรือเสาหรือวัตถุอื่นๆ วิธีการทอนี้ไม่เพียงแค่ผลิตเสื้อผ้าและผ้าใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์เกี่ยวกับวิถีชีวิต การดำรงชีพ และความเป็นชุมชน ชาวกะเหรี่ยงใช้กี่เอวทอผ้าที่มีลวดลายหลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและสถานะของบุคคลในชุมชน….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...