หนังสือเรื่อง Ghostly Matters: Haunting and the Sociological Imagination เขียนโดย Avery F. Gordon ถื เป็นงานเขียนที่น่าสนใจ เพราะผู้เขียนสำรวจแนวคิดเรื่องการหลอกหลอน (haunting) ในฐานะเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง หนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่เน้นความหมายในเชิงเหนือธรรมชาติ แต่ยังอธิบายการหลอกหลอนในเชิงโครงสร้างทางสังคมและประวัติศาสตร์ที่ยังคงส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิตปัจจุบัน
สาระสำคัญของหนังสือมีอยู่กลายประเด็น แต่ประเด็นที่ผมคิดว่าน่าสนใจคือ
1. การหลอกหลอน (Haunting) ในฐานะเครื่องมือในการวิเคราะห์สังคม โดย Gordon มองว่าการหลอกหลอนไม่ใช่แค่ปรากฏการณ์ลึกลับ แต่มันเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยเปิดเผยสิ่งที่ถูกกดทับหรือมองข้ามในสังคม การหลอกหลอนสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่ยังคงฝังรากลึกอยู่ เช่น การเหยียดเชื้อชาติ การล่าอาณานิคม และความไม่เท่าเทียมทางเพศ ที่ยังมีอิทธิพลต่อสังคมปัจจุบัน แม้บางครั้งปัญหาเหล่านี้อาจถูกมองว่า “ตายไปแล้ว” ในเชิงประวัติศาสตร์
2. ความเชื่อมโยงระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
แนวคิดการหลอกหลอนในงานเขียนของ Gordon ชี้ให้เห็นว่าประวัติศาสตร์และประสบการณ์ในอดีตที่ยังคงส่งผลต่อปัจจุบันอย่างไม่รู้ตัว หรือเป็นสิ่งที่เรามองข้าม เธอแสดงให้เห็นว่าการหลอกหลอนเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้สิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นชัดในเชิงวัตถุหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์กลับมามีบทบาทอีกครั้ง
3. การสร้างสรรค์จินตนาการเชิงสังคมวิทยา (Sociological Imagination) Gordon ชี้แนะให้เราใช้จินตนาการในเชิงสังคมวิทยาเพื่อมองเห็นความไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเป็นการพิจารณาประสบการณ์ของบุคคลต่างๆ ในสังคมผ่านมุมมองที่กว้างขึ้น โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตส่วนบุคคลกับกระบวนการทางสังคมที่กว้างขวางขึ้น
แนวคิดหลักที่น่าสนใจที่เขาใช้เชื่อมโยงกับตัวอย่างเชิงรูปธรรมหรือปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมในพื้นที่ต่างๆบนโลกคือ
1. “การปรากฏตัวของสิ่งที่ไม่ปรากฏ”
Gordon อธิบายว่ามีสิ่งที่ถูกมองข้ามหรือถูกทำให้มองไม่เห็นในประวัติศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ในรูปแบบของการหลอกหลอน เช่น การกดขี่ การปิดกั้นความเป็นธรรม และความอยุติธรรม การหลอกหลอนจึงเป็นปรากฏการณ์ที่สามารถเปิดเผยความจริงที่ซ่อนเร้นเหล่านี้
2. “การหลอกหลอนเป็นสิ่งที่มีพลังและอำนาจ”
Gordon มองว่าการหลอกหลอนไม่ใช่สิ่งที่อ่อนแอหรือแค่สัญลักษณ์ของความตายหรืออดีต แต่มันมีพลังที่ยังคงอยู่และมีผลต่อความสัมพันธ์ทางสังคมของผู้คนในปัจจุบัน ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การล่าอาณานิคม
ที่เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่ประเทศต่างๆ ในอดีตถูกล่าอาณานิคม แม้ว่าประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคมยังคงหลอกหลอนผู้คนในยุคปัจจุบัน เช่น ความยากจน การแบ่งแยกชนชั้น และการเหยียดเชื้อชาติ
หรือกรณีการฆาตกรรมหรือความรุนแรงทางสังคม
Gordon ยกตัวอย่างเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่คนกลุ่มหนึ่งถูกสังหารหรือถูกกดขี่ แม้เหตุการณ์จะจบลงแล้ว แต่การหลอกหลอนของเหตุการณ์นั้นยังคงสร้างผลกระทบในปัจจุบัน เช่น การประท้วงหรือการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม
ใน “Ghostly Matters: Haunting and the Sociological Imagination” Avery F. Gordon นำเสนอการหลอกหลอนเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดจากความไม่เป็นธรรมทางสังคมและการกดทับ ซึ่งยังคงส่งผลกระทบในสังคมปัจจุบัน แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปแล้ว ตัวอย่างเชิงรูปธรรมอื่นๆ ที่มีในหนังสืออาทิเช่น
1. ประวัติศาสตร์การกดขี่และการเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา โดย Gordon ยกกรณีของการกดขี่เชื้อชาติคนผิวดำในสหรัฐฯ มาเป็นตัวอย่างของการหลอกหลอนทางสังคม แม้ว่าการเลิกทาสจะสิ้นสุดลงในปี 1865 แต่การเหยียดเชื้อชาติยังคงเป็นสิ่งที่หลอกหลอนสังคมอเมริกันมาจนถึงปัจจุบัน ปรากฏการณ์นี้แสดงออกในรูปของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงทรัพยากร และความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐที่คนผิวดำต้องเผชิญ เช่น การยิงคนผิวดำโดยตำรวจ หรือความรุนแรงต่อชุมชนคนผิวสี การหลอกหลอนนี้ทำให้ประเด็นการเหยียดเชื้อชาติกลายเป็นหัวข้อที่ยังคงถูกพูดถึงและต่อสู้กันในปัจจุบัน
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กรณีของ Emmett Till ในปี 1955 เด็กชายผิวดำวัย 14 ปีที่ถูกกลุ่มคนผิวขาวรุมสังหารในมิสซิสซิปปี การเสียชีวิตของเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรุนแรงที่เกิดจากการเหยียดผิว ซึ่งยังคงหลอกหลอนสังคมอเมริกัน แม้เหตุการณ์จะผ่านไปหลายทศวรรษแล้ว Emmett Till ก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและความเท่าเทียมที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของคนผิวดำรุ่นหลัง
2. ความรุนแรงต่อผู้หญิงและเพศสภาพ ซึ่ง Gordon เน้นย้ำถึงการหลอกหลอนที่เกิดจากความรุนแรงต่อผู้หญิงและการกดขี่ทางเพศ แม้ปัญหานี้จะถูกกดทับหรือมองข้ามไปบ่อยครั้ง แต่การหลอกหลอนของความรุนแรงเหล่านี้กลับมามีบทบาทอีกครั้งในการเคลื่อนไหวทางสังคม เช่น การเคลื่อนไหว #MeToo ที่เกิดขึ้นจากการเปิดเผยเรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศของผู้หญิงในวงการบันเทิงและธุรกิจ การเคลื่อนไหวนี้เป็นตัวอย่างของการที่เหตุการณ์ในอดีตยังคงมีผลกระทบต่อการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบัน
กรณีของ The Salem Witch Trials ในศตวรรษที่ 17 ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ Gordon ใช้ในการแสดงถึงการหลอกหลอนทางสังคม เหตุการณ์การล่าแม่มดใน Salem ไม่ได้จบลงแค่ในประวัติศาสตร์ แต่ยังคงสะท้อนถึงการกดขี่ผู้หญิงและการควบคุมพฤติกรรมของผู้หญิงที่ยังคงดำรงอยู่ในสังคมปัจจุบัน รูปแบบของการควบคุมและการลงโทษผู้หญิงที่ “แตกต่าง” หรือ “ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน” ของสังคมยังคงหลอกหลอนการเมืองเรื่องเพศสภาพในปัจจุบัน
3. การกดขี่ทางชนชั้นและแรงงาน โดย Gordon ยกกรณีของการกดขี่แรงงานในระบบทุนนิยมเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการหลอกหลอน แม้ว่าประวัติศาสตร์การกดขี่แรงงานในยุคอุตสาหกรรมจะดูเหมือนสิ้นสุดลงแล้วในทางกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง แรงงานยังคงถูกกดขี่และเอาเปรียบอย่างต่อเนื่อง เช่น การทำงานในสภาพที่ย่ำแย่ การจ่ายค่าจ้างที่ไม่เป็นธรรม หรือการไม่มีสิทธิเสรีภาพทางแรงงานที่เหมาะสม ปรากฏการณ์นี้สะท้อนถึงการหลอกหลอนของระบบทุนนิยมและการเอาเปรียบทางชนชั้นที่ยังคงฝังรากลึกในสังคมโลก
ตัวอย่างเช่น แรงงานข้ามชาติ ที่ทำงานในโรงงานหรืออุตสาหกรรมเกษตรในหลายประเทศ แม้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิแรงงานอย่างกว้างขวาง แต่การกดขี่และการเอาเปรียบยังคงดำเนินอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ การหลอกหลอนของประวัติศาสตร์แรงงานในยุคอุตสาหกรรมส่งผลให้เรายังคงเห็นรูปแบบการกดขี่เหล่านี้ในระบบแรงงานยุคปัจจุบัน
4. การหลอกหลอนของอำนาจการเมืองในกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดย Gordon ยังยกตัวอย่างการหลอกหลอนที่เกิดขึ้นจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เช่น กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา ในปี 1994 หรือ การฆ่าล้างชาวยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง (Holocaust) เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้จบสิ้นแค่ในประวัติศาสตร์ แต่ยังคงหลอกหลอนผู้คนรุ่นหลังผ่านความทรงจำและบาดแผลทางสังคม การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยังคงถูกสะท้อนผ่านพิพิธภัณฑ์ อนุสรณ์สถาน และการรำลึกถึงผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นเครื่องเตือนถึงอำนาจของรัฐที่ใช้ในการควบคุมและทำลายชีวิตผู้คน
ตัวอย่างเช่น การรำลึกถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในนาซีเยอรมัน ผ่านพิพิธภัณฑ์ Holocaust หรือการสร้างภาพยนตร์และสื่อที่เกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น เป็นตัวอย่างของการที่เหตุการณ์ในอดีตยังคงหลอกหลอนสังคมปัจจุบันผ่านความทรงจำร่วมที่ไม่อาจลืมได้
หากเราลองประยุกต์ใช้แนวคิดการหลอกหลอน (haunting) ของ Avery F. Gordon ในการอธิบายเรื่องชนกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทย สามารถช่วยให้เราเห็นถึงการกดขี่และความไม่เป็นธรรมที่ชนกลุ่มนี้เผชิญ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยแม้ว่าบางประเด็นหรือเหตุการณ์จะดูเหมือนว่าผ่านไปแล้ว แต่ผลกระทบและความทรงจำเกี่ยวกับการกดขี่ยังคง “หลอกหลอน” ชีวิตของพวกเขาและสังคมไทย
1. การล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรมและการกดขี่ทางชนเผ่า เฉกเช่นประวัติศาสตร์การกดขี่และความไม่เท่าเทียมระหว่างชนกลุ่มชาติพันธุ์และคนในเมืองในประเทศไทย เช่น ชาวกะเหรี่ยง แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนในทางกฎหมาย แต่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงยังคงถูกทำให้เป็น “กลุ่มชายขอบ” ในสังคม โดยสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแนวคิดเรื่องการหลอกหลอนสามารถอธิบายถึงผลกระทบที่ตกค้างจากการกดขี่ในอดีตที่ยังคงมีบทบาทในปัจจุบัน
ตัวอย่างเช่น นโยบายการพัฒนาประเทศในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้มุ่งเน้นการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (cultural assimilation) ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ รวมถึงชาวกะเหรี่ยง ซึ่งถูกผลักให้ต้องละทิ้งวิถีชีวิตดั้งเดิมและปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมกระแสหลักของคนในเมือง การบังคับให้ชาวกะเหรี่ยงเข้าเรียนในโรงเรียนที่ใช้ภาษาไทย หรือการผลักดันให้พวกเขาเปลี่ยนวิถีการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนให้เป็นเกษตรเชิงเดี่ยว ล้วนเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการสูญเสียอัตลักษณ์และการกดขี่ทางวัฒนธรรม ซึ่งยังคง “หลอกหลอน” ชีวิตของพวกเขาในปัจจุบัน
2. ความขัดแย้งเรื่องที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติดังเช่น ชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทยมักเผชิญกับปัญหาเรื่องการเข้าถึงที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะในพื้นที่ป่า ซึ่งรัฐบาลไทยมักประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติหรือเขตอนุรักษ์ การขับไล่ชาวกะเหรี่ยงออกจากที่ดินที่พวกเขาอาศัยและทำกินมาเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน อาจดูเหมือนเป็นการพัฒนาที่มุ่งอนุรักษ์ธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นผลมาจากการกดขี่และการจัดการที่ดินที่ไม่เป็นธรรม เหตุการณ์เหล่านี้ยังคง “หลอกหลอน” ชาวกะเหรี่ยงผ่านความยากลำบากในการดำรงชีวิตและการสูญเสียสิทธิ์ในการใช้ที่ดิน
ตัวอย่างที่เด่นชัดคือ กรณีบ้านบางกลอย ที่ชาวกะเหรี่ยงถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ป่าแก่งกระจาน โดยเจ้าหน้าที่รัฐมีเหตุผลว่าต้องการปกป้องทรัพยากรป่าไม้ แต่ชาวบ้านบางกลอยหลายคนบอกว่าพวกเขาอาศัยในพื้นที่นั้นมาหลายชั่วอายุคน และการขับไล่ทำให้พวกเขาต้องละทิ้งวิถีชีวิตที่เคยยึดถือ การสูญเสียที่ดินทำกินและการถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐานนี้ยังคง “หลอกหลอน” ชาวกะเหรี่ยงหลายรุ่นที่ยังคงต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของตน
3. การถูกลดคุณค่าและการมองเห็นเป็น “อื่น” โดยชาวกะเหรี่ยงมักถูกมองว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ล้าหลังหรือแตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ ซึ่งมักถูกทำให้เป็นตัวแทนของ “ความเป็นอื่น” (Otherness) ในสังคมไทย สื่อมวลชนและการศึกษาอาจสร้างภาพลักษณ์ที่ผิดเพี้ยนของชนกลุ่มนี้ ทำให้คนในเมืองมองว่าชาวกะเหรี่ยงเป็นคนที่ต้องการการพัฒนาและความช่วยเหลือจากรัฐ การสร้างภาพลักษณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการกดขี่ที่ยังคงหลอกหลอนในรูปแบบของการเลือกปฏิบัติและการไม่ยอมรับในสังคม
การที่ชาวกะเหรี่ยงถูกมองว่าเป็นเพียงวัตถุแห่งการศึกษาเชิงนโยบายการพัฒนา หรือการท่องเที่ยว เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการที่พวกเขาถูกกดทับและลดคุณค่า การหลอกหลอนของประวัติศาสตร์นี้ทำให้พวกเขายังคงถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ต้องการการดูแลและไม่สามารถจัดการตัวเองได้ ทั้ง ๆ ที่ชาวกะเหรี่ยงมีความรู้และวิถีชีวิตที่ยั่งยืนกับธรรมชาติที่พวกเขาดูแลมาหลายรุ่น
4. กรณีของบิลลี่ หรือ พอละจี รักจงเจริญ ชาวกะเหรี่ยงที่หายตัวไปอย่างลึกลับในปี 2014 หลังจากถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน สามารถอธิบายได้ผ่านแนวคิดการหลอกหลอน (haunting) ของ Avery F. Gordon ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการกดขี่และความไม่เป็นธรรมที่ยังคง “หลอกหลอน” สังคมไทยในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของการสูญหายและความไม่เป็นธรรม โดย กรณีของบิลลี่เป็นตัวอย่างหนึ่งของความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักจะไม่ได้รับการคุ้มครองและการดูแลตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสม การสูญหายของบิลลี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เหตุการณ์ที่จบลงด้วยการหายตัวไปของบุคคลหนึ่งคน แต่กลายเป็นสิ่งที่ยังคง “หลอกหลอน” ครอบครัวของบิลลี่ ชุมชนกะเหรี่ยง และสังคมไทย โดยที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากทางการเกี่ยวกับชะตากรรมของเขา การหายตัวไปของบิลลี่สะท้อนถึงความเปราะบางของชนกลุ่มชาติพันธุ์และการขาดความคุ้มครองทางกฎหมาย ซึ่งทำให้เกิดความหวาดกลัวและความไม่ไว้วางใจในกระบวนการยุติธรรม
บิลลี่เป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิที่ดินและสิทธิมนุษยชนของชาวกะเหรี่ยง เขามีบทบาทในการต่อสู้เรื่องสิทธิในการอยู่อาศัยในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะในกรณีที่ชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยถูกเจ้าหน้าที่ขับไล่ออกจากพื้นที่และมีการเผาบ้านเรือนและยุ้งฉางของพวกเขาในปี 2011 ซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม กรณีของบิลลี่สะท้อนถึงการที่การต่อสู้เพื่อสิทธิในที่ดินของชาวกะเหรี่ยงยังคง “หลอกหลอน” ชุมชนนี้และสังคมไทยโดยรวม แม้ว่าประวัติศาสตร์ของการขับไล่ชาวกะเหรี่ยงจะเกิดขึ้นแล้ว แต่ผลกระทบของการสูญเสียที่ดินและสิทธิในการอยู่อาศัยยังคงสร้างความทุกข์ยากและความไม่เป็นธรรมที่ตกทอดมายังคนรุ่นปัจจุบัน
การเลือกปฏิบัติและการเพิกเฉยต่อความทุกข์ของชนกลุ่มชาติพันธุ์ แนวคิดการหลอกหลอนยังสามารถอธิบายถึงความไม่เท่าเทียมที่ชนกลุ่มชาติพันธุ์เช่นชาวกะเหรี่ยงต้องเผชิญในสังคมไทย ซึ่งมักถูกมองข้ามหรือเพิกเฉยเมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงหรือการละเมิดสิทธิ การที่กระบวนการสืบสวนกรณีของบิลลี่ดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรจากเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชนในระยะแรก เป็นตัวอย่างของการเพิกเฉยต่อความยุติธรรมสำหรับชนกลุ่มชาติพันธุ์
การเลือกปฏิบัตินี้ยังคง “หลอกหลอน” ชาวกะเหรี่ยงในแง่ของการที่พวกเขาไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายและสิทธิมนุษยชนอย่างเท่าเทียมกับคนไทยในเมือง กรณีบิลลี่จึงเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ที่ยาวนานของชาวกะเหรี่ยงเพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
สุดท้าย การต่อสู้ของชุมชนเพื่อความทรงจำและความเป็นธรรม การหลอกหลอนยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่ชุมชนกะเหรี่ยงและครอบครัวของบิลลี่ยังคงต่อสู้เพื่อความทรงจำและความเป็นธรรม แม้จะมีการพบหลักฐานชิ้นส่วนกระดูกของบิลลี่ในปี 2019 แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังคงไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด การที่ครอบครัวและชุมชนกะเหรี่ยงต้องต่อสู้เพื่อนำเรื่องของบิลลี่ขึ้นมาสู่การรับรู้ของสาธารณะ เป็นส่วนหนึ่งของการที่ “เหตุการณ์” นี้ยังคงหลอกหลอนพวกเขาและสังคม
การหลอกหลอนในกรณีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การสูญเสียทางกายภาพของบิลลี่ แต่ยังสะท้อนถึงการต่อสู้ของชุมชนในการรักษาความทรงจำและเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงมีบทบาทในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน
ความไม่เป็นธรรมที่ยังคงอยู่ในสังคมไทย การหายตัวไปของบิลลี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการสูญเสียบุคคลหนึ่งคน แต่เป็นสัญลักษณ์ของความกดขี่ การเลือกปฏิบัติ และการละเลยต่อสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังคง “หลอกหลอน” สังคม
ดังนั้นการใช้แนวคิดการหลอกหลอนของ Gordon ในการศึกษาเรื่องชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ทำให้เราเห็นว่าความไม่เป็นธรรมทางสังคม วัฒนธรรม และสิทธิในการครอบครองที่ดินไม่ได้จบสิ้นไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต แต่ยังคง “หลอกหลอน” ผ่านผลกระทบที่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ทั้งในแง่ของวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ การเข้าถึงทรัพยากร และการรับรู้ทางสังคม
สรุป การหลอกหลอนในมุมมองของ Gordon ไม่ใช่เพียงแค่ปรากฏการณ์ลึกลับหรือการปรากฏตัวของวิญญาณ แต่เป็นกระบวนการทางสังคมที่ทำให้ประวัติศาสตร์และความอยุติธรรมที่ถูกกดทับกลับมาเป็นที่รับรู้และส่งผลกระทบต่อชีวิตในปัจจุบัน การหลอกหลอนทำให้เราสามารถทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และโครงสร้างอำนาจที่ยังคงมีผลต่อสังคมในปัจจุบัน หนังสือ “Ghostly Matters” จึงเป็นหนังสือที่ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการทำความเข้าใจความไม่เป็นธรรมและปัญหาทางสังคมที่ยังคงมีอิทธิพลต่อโลกปัจจุบันในรูปแบบที่มองไม่เห็น
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น