หนังสือเรื่อง Celebrations of Death: The Anthropology of Mortuary Ritual โดย Peter Metcalf และ Richard Huntington (1991) เป็นหนังสือที่สำรวจเรื่องพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความตายจากมุมมองทางมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ที่สนใจการศึกษาพิธีกรรมเกี่ยวกับความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆ และการที่มนุษย์ตอบสนองต่อความตายและความสูญเสียอย่างไรในเชิงสังคมและวัฒนธรรม
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เน้นการวิเคราะห์พิธีกรรมหลังความตายในหลายวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นที่ประเด็นเกี่ยวกับบทบาททางสังคมและความหมายทางวัฒนธรรมของพิธีกรรมความตาย นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การเผาศพ การฝังศพ และการทำพิธีกรรมเกี่ยวกับวิญญาณในบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ ภายใต้พื้นฐานทางมานุษยวิทยาของพิธีกรรมความตายและการเฉลิมฉลองความตาย โดยใช้ตัวอย่างการฝังศพและพิธีกรรมความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก เช่น ในหมู่ชนพื้นเมืองของแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ เพื่ออธิบายบทบาทของพิธีกรรมในสังคม และการเชื่อมโยงพิธีกรรมความตายกับความเชื่อทางศาสนา รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมความตายกับอารมณ์ความรู้สึกของการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงของสถานะในสังคม พิธีกรรมเกี่ยวกับวิญญาณ บทบาทของผู้ตายในสังคม และการจัดการกับความรู้สึกสูญเสีย
ตัวอย่างพิธีกรรมความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆที่น่าสนใจ เช่น
1. พิธีกรรมการฝังศพในอินโดนีเซีย ในหนังสือเล่มนี้มีการกล่าวถึง พิธีกรรมของชนพื้นเมือง Toraja ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นการจัดพิธีศพที่ยิ่งใหญ่ โดยกระบวนการฝังศพอาจกินเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน หลังจากผู้ตายเสียชีวิต การจัดพิธีกรรมนี้มีบทบาทสำคัญในสังคม เนื่องจากสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและการยอมรับของชุมชน
2. พิธีกรรมการเผาศพของชาวฮินดูในอินเดีย พิธีกรรมการเผาศพในศาสนาฮินดู เน้นการปลดปล่อยวิญญาณจากร่างกายเพื่อให้วิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ การเผาศพเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตสู่ความตาย และการยอมรับวัฏจักรของชีวิต
3. พิธีกรรมความตายของชาวแอฟริกันบางกลุ่ม ซึ่งหลายกลุ่มชาติพันธุ์ในแอฟริกามีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมโยงระหว่างผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่กับบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเชื่อว่าผู้ตายสามารถมีบทบาทต่อชุมชนที่ยังมีชีวิต
4.พิธีฝังศพของชาวอียิปต์โบราณ การฝังศพของชาวอียิปต์โบราณสะท้อนถึงความเชื่อในชีวิตหลังความตายและการฟื้นคืนชีพ การทำมัมมี่เป็นการรักษาร่างกายเพื่อให้วิญญาณสามารถกลับมารวมกับร่างได้ในภพหน้า พิธีกรรมที่ซับซ้อนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ตายมีชีวิตนิรันดร์
5. พิธีฝังศพของชาวไวกิ้ง
ชาวไวกิ้งจะทำพิธีเผาศพพร้อมกับทรัพย์สินของผู้ตาย เช่น อาวุธ เรือ หรือข้าวของเครื่องใช้ เพื่อให้ผู้ตายสามารถใช้ชีวิตในโลกหลังความตายได้ พิธีนี้สะท้อนถึงความเชื่อในการเดินทางของผู้ตายไปสู่ดินแดนของเทพเจ้า
6. พิธีกรรมฝังศพของชาวญี่ปุ่น (Buddhist Funerals in Japan) ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนา ซึ่งพิธีกรรมการเผาศพเป็นที่นิยมอย่างมาก หลังจากเผาศพแล้ว เถ้ากระดูกจะถูกแบ่งให้ญาติแต่ละคนเพื่อนำไปเก็บในเจดีย์ที่ครอบครัวดูแล การทำพิธีนี้มีลำดับขั้นตอนอย่างละเอียด เช่น การสวดมนต์โดยพระสงฆ์ การแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ และการเยี่ยมสุสานในช่วงเทศกาลพิเศษเช่น โอบ้ง ซึ่งเชื่อกันว่าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมายังโลกในช่วงเวลานี้
ทั้งนี้ความหมายเชิงสัญลักษณ์ สะท้อนผ่านการจัดการกับร่างกายและวิญญาณหลังการตายมีความสำคัญมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น เนื่องจากเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตายยังคงมีความสัมพันธ์กับครอบครัว แม้ว่าจะเสียชีวิตไปแล้ว
7. พิธีกรรมการจัดการศพของชาวมายาโบราณ (Ancient Maya Death Rituals) ในวัฒนธรรมมายาโบราณ พิธีกรรมความตายเป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อในชีวิตหลังความตายที่เชื่อมโยงกับจักรวาลวิทยา ชาวมายามีความเชื่อในเรื่องโลกวิญญาณซึ่งมีความสัมพันธ์กับเทพเจ้าและดวงดาว การจัดการศพของผู้ปกครองหรือบุคคลสำคัญจะมีความซับซ้อน โดยจะฝังศพในสถานที่สำคัญและทำพิธีเซ่นไหว้เพื่อให้วิญญาณของผู้ตายได้ขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ รวมทั้งการให้ความสำคัญของสถานที่ โดยหลุมฝังศพของชาวมายามักจะตั้งอยู่ใต้โครงสร้างทางสถาปัตยกรรม เช่น วัดหรือพีระมิด ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา พิธีกรรมที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับความเชื่อในการเดินทางของวิญญาณและการเข้าถึงดินแดนแห่งเทพเจ้า
8. พิธีความตายของชาวทิเบต (Tibetan Sky Burial)
การฝังศพบนฟ้า (Sky Burial) เป็นหนึ่งในพิธีกรรมการจัดการศพที่สำคัญของชาวทิเบต ซึ่งอาศัยอยู่ในภูมิภาคที่มีภูมิประเทศที่ยากลำบากและมีทรัพยากรจำกัด หลังจากการตาย ร่างของผู้เสียชีวิตจะถูกนำไปยังพื้นที่สูง ซึ่งจะถูกแยกชิ้นและนำไปให้แร้งกิน การกระทำนี้มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในพุทธศาสนาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด โดยการที่แร้งกินร่างกายเป็นการทำบุญเพื่อสัตว์และแสดงถึงการปล่อยวางจากโลกทางกายภาพ โดยความหมายเชิงสัญลักษณ์ของการทำ Sky Burial เป็นการปล่อยให้ร่างกายของผู้ตายคืนสู่ธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ และเป็นการตอกย้ำหลักธรรมเรื่องอนัตตา ซึ่งกล่าวถึงการไม่มีตัวตนถาวร และการปล่อยให้วิญญาณเดินทางไปสู่อีกภพหนึ่ง
9. พิธีศพของชาวแอชานติในกานา (Ashanti Funeral Rituals in Ghana) โดยในวัฒนธรรมแอชานติ พิธีศพเป็นงานใหญ่ที่มีการจัดขึ้นหลายวันหรือหลายสัปดาห์ มีการรวมตัวของสมาชิกในครอบครัวและชุมชนเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้ตาย พิธีนี้มักจะมีการเต้นรำ การร้องเพลง และการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีแดงหรือดำเพื่อแสดงถึงความโศกเศร้า หลังจากการทำพิธี การฝังศพจะถูกจัดขึ้นในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่มีความหมายพิเศษในเชิงจิตวิญญาณ
หากภิจารณาความหมายทางสังคม พิธีกรรมศพของชาวแอชานติสะท้อนถึงความเชื่อเรื่องการเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษ และความสำคัญของผู้ที่เสียชีวิตในฐานะบรรพบุรุษที่ยังคงมีบทบาทในชีวิตของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ พิธีกรรมเหล่านี้ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสายสัมพันธ์ทางครอบครัวและชุมชน
10. พิธีฝังศพใต้ทะเลของชาวฮาวาย (Hawaiian Sea Burial) ในวัฒนธรรมโบราณของชาวฮาวาย การจัดพิธีฝังศพมีความหลากหลาย หนึ่งในพิธีกรรมที่สำคัญคือการฝังศพใต้ทะเล ซึ่งเกี่ยวข้องกับความเชื่อใน “คาเน” (Kāne) เทพเจ้าแห่งทะเลและชีวิต การฝังศพใต้ทะเลเป็นการมอบร่างของผู้ตายให้กับทะเล ซึ่งเป็นแหล่งชีวิตและความมั่งคั่งของชุมชน การทำพิธีนี้มีการกล่าวคำอธิษฐานและขอพรจากเทพเจ้า ทั้งนี้หากพิจารณาความหมายเชิงจิตวิญญาณนั้น การฝังศพใต้ทะเลเป็นสัญลักษณ์ของการกลับคืนสู่แหล่งที่มาและการปล่อยวิญญาณให้เดินทางไปสู่ชีวิตใหม่ในธรรมชาติ
11. พิธีฝังศพทุติยภูมิของชาวมาลากาซี (Malagasy Secondary Burial) เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าพิธีกรรมการฝังศพครั้งที่สองของชาวมาลากาซีในมาดากัสการ์ หลังจากที่มีการฝังศพเบื้องต้นไปแล้ว ชาวมาลากาซีจะมีพิธี Famadihana หรือการนำกระดูกของผู้ตายกลับขึ้นมาเพื่อทำความสะอาดและทำพิธีใหม่อีกครั้ง พิธีนี้แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณที่เริ่มต้นจากการเป็นผู้ตายไปสู่การเป็นบรรพบุรุษที่ได้รับการเคารพ โดยกระบวนการนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนสถานะของผู้ตายในมุมมองทางสังคมพิธีกรรมทุติยภูมิเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดการกับร่างกายของผู้ตาย แต่เป็นการยืนยันว่าชุมชนยังคงเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษและใช้พิธีกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางสังคมใหม่ๆ
12. การจัดการศพของชาวมินังกาเบาในอินโดนีเซีย (Minangkabau Funeral Rites) ในวัฒนธรรมของชาวมินังกาเบา มีการทำพิธีกรรมเพื่อส่งวิญญาณของผู้ตายไปยังอีกโลกหนึ่ง หลังจากการทำพิธีฝังศพ ร่างกายของผู้ตายจะถูกเฝ้าดูแลเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยมีการจัดงานเลี้ยงและการทำบุญเพื่อให้วิญญาณของผู้ตายสามารถเดินทางไปสู่โลกของบรรพบุรุษได้อย่างสมบูรณ์ การปฏิบัตินี้เชื่อมโยงกับความเชื่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจากผู้ตายไปเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพ พิธีกรรมเหล่านี้สะท้อนถึงการจัดระเบียบทางสังคมใหม่ ชุมชนต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพิธีกรรมที่เกิดขึ้นช่วยให้ชุมชนสามารถยอมรับและปรับตัวกับการสูญเสียได้
การเชื่อมโยงกับทฤษฎีทางมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้ มีการเชื่อมโยงแนวคิดที่น่าสนใจ คือ
แนวคิดที่ใช้ในหนังสือ
1. แนวคิดพิธีเปลี่ยนผ่านของ Arnold van Gennep's Rites of Passageฃ หนังสือใช้แนวคิดของ van Gennep ในการอธิบายว่าพิธีกรรมความตายเป็นขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนสถานะของบุคคลจากชีวิตสู่ความตาย ซึ่งรวมถึงการแยกตัวออกจากโลกของผู้มีชีวิต การเปลี่ยนผ่านระหว่างภพ และการรวมตัวเข้ากับโลกหลังความตายหรือสถานะของบรรพบุรุษ ผู้เขียนเชื่อมโยงกับทฤษฎีการเปลี่ยนผ่านของ Arnold van Gennep ซึ่งเสนอว่าพิธีกรรมความตายเป็นการเปลี่ยนผ่านของสถานะจากผู้มีชีวิตไปสู่ความตาย โดยมีขั้นตอนการแยกตัวออกจากสังคม การเปลี่ยนสถานะ และการรวมตัวเข้ากับกลุ่มใหม่ (เช่น วิญญาณหรือบรรพบุรุษ)
2. แนวคิดสัญลักษณ์นิยม ของ Victor Turner's Symbolism and Communitas แนวคิดของ Turner เกี่ยวกับการใช้สัญลักษณ์ในพิธีกรรมมีบทบาทสำคัญในการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างพิธีกรรมและโครงสร้างทางสังคม สัญลักษณ์ที่ใช้ในพิธีกรรมมีความหมายลึกซึ้งทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงการรวมตัวกันและความสัมพันธ์ในสังคม นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงกับทฤษฎีของ Victor Turner เกี่ยวกับ พิธีกรรมและการแสดงออกทางสังคม ซึ่งอธิบายถึงความหมายทางสัญลักษณ์ของพิธีกรรมและบทบาทในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสังคม หารวมทั้ง Turner ได้เน้นถึงบทบาทของสภาวะก้ำกึ่ง คลุมเครือ ครึ่งๆกลางๆ ที่เรียกว่า liminality หรือช่วงเวลาที่พิธีกรรมเกิดขึ้นในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน การแสดงออกทางอารมณ์ในช่วงนี้เป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสถานะทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.แนวคิดStructural-Functionalism (โครงสร้างหน้าที่นิยม) แนวคิดนี้อธิบายว่าพิธีกรรมความตายมีบทบาททางสังคมในการรักษาและสร้างความสมดุลให้กับโครงสร้างทางสังคม เมื่อมีการเสียชีวิต พิธีกรรมช่วยทำให้ชุมชนสามารถปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและรักษาความมั่นคงทางสังคมไว้ได้ ตัวอย่างเช่น พิธีศพของชาวแอชานติที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน
4. แนวคิด Symbolic Interactionism (การปฏิสัมพันธ์เชิงสัญลักษณ์) แนวคิดนี้มุ่งเน้นที่ความหมายที่ผู้คนสร้างขึ้นจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสัญลักษณ์ในพิธีกรรมความตาย พิธีกรรมเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการแสดงออกทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นกระบวนการสร้างความหมายร่วมกัน เช่น การใช้เสื้อผ้าสีดำหรือแดงในพิธีศพของชาวแอฟริกาเพื่อแสดงถึงความเคารพและความโศกเศร้า
5. แนวคิด Cultural Materialism (วัตถุนิยมทางวัฒนธรรม) ผู้เขียนพิจารณาถึงเงื่อนไขทางวัตถุที่ส่งผลต่อพิธีกรรมความตาย เช่น ทรัพยากรธรรมชาติที่จำกัด การเข้าถึงวัตถุดิบ หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมในการจัดการศพ ตัวอย่างเช่น พิธี Sky Burial ของชาวทิเบตซึ่งเกิดขึ้นในภูมิภาคที่ไม่สามารถฝังศพได้ เนื่องจากดินแข็งจากสภาพอากาศ ทำให้ชาวทิเบตเลือกใช้วิธีนี้ในการจัดการศพ
6. แนวคิดเรื่องจิตสำนึกร่วม
Durkheim มองพิธีกรรมความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันทางศาสนา ซึ่งทำหน้าที่ในการรวมตัวและสร้างความเป็นเอกภาพให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สมาชิกในชุมชนต้องเผชิญกับการสูญเสียของบุคคล Durkheim มองว่าพิธีกรรมทางศาสนา ไม่เพียงแต่ช่วยเยียวยาความโศกเศร้า แต่ยังเป็นการรักษา solidarity (ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) ของชุมชนไว้ได้ ความเชื่อในวิญญาณและการปฏิบัติพิธีกรรมทำให้สมาชิกในสังคมสามารถรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษและกับชุมชนในปัจจุบัน
Durkheim อธิบายว่าความเชื่อเกี่ยวกับวิญญาณบรรพบุรุษและการจัดการกับความตายเป็นกระบวนการที่สร้าง ศีลธรรมและสำนึกร่วม (collective consciousness) และรักษาความเป็นปึกแผ่นของชุมชน แม้ว่าสมาชิกคนหนึ่งจะจากไป แต่พิธีกรรมเหล่านี้ทำให้การรวมตัวกันของสังคมยังคงดำเนินต่อไป
Emile Durkheim มองว่าอารมณ์ในพิธีกรรมความตายเป็นส่วนหนึ่งของ collective consciousness หรือจิตสำนึกร่วมของสังคม การแสดงออกทางอารมณ์ในพิธีกรรมช่วยเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและความมั่นคงของสังคม แม้ว่าจะมีการสูญเสียสมาชิกไปก็ตาม
Durkheim มองว่าพิธีกรรมความตายมีบทบาทในการสร้างความเป็นเอกภาพและความเข้มแข็งของชุมชน แม้ว่าจะสูญเสียสมาชิกไป แต่การทำพิธีกรรมและความเชื่อเรื่องวิญญาณบรรพบุรุษช่วยให้สังคมยังคงเดินหน้าต่อไปได้
7.. แนวคิดเรื่องอารมณ์กับความตายของ Robert Hertz
Robert Hertz ซึ่งเป็นศิษย์ของ Durkheim ได้ขยายความแนวคิดเกี่ยวกับพิธีกรรมความตาย โดยเขาเน้นไปที่ พิธีกรรมศพแบบทุติยภูมิหรือฝังศพครั้งที่สอง (secondary burial rites) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สองหลังจากการฝังศพเบื้องต้น Hertz ให้ความสำคัญกับการแบ่งระยะของพิธีกรรมและการจัดการร่างกายของผู้ตายที่เชื่อมโยงกับการเดินทางของวิญญาณ ไปยังอีกโลกหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อของสังคมเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง
Hertz อธิบายว่าร่างกายของผู้ตายเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนผ่านทางสังคม การจัดการศพทั้งทางกายภาพและทางพิธีกรรมเป็นกระบวนการที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนสถานะจากผู้ที่ยังมีชีวิตไปสู่การเป็นบรรพบุรุษหรือวิญญาณที่ได้รับการเคารพ ในหลายวัฒนธรรม การฝังศพเบื้องต้นและการฝังศพทุติยภูมิมักจะสะท้อนถึงกระบวนการนี้ เช่น การรอให้ร่างกายเน่าเปื่อยจนถึงจุดที่สามารถทำพิธีฝังศพอย่างสมบูรณ์ได้
โดย Hertz เน้นถึงการเปลี่ยนสถานะของผู้ตายในพิธีกรรมความตายและวิธีที่สังคมจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น การทำพิธีกรรมทุติยภูมิเป็นวิธีที่สังคมใช้ในการจัดระเบียบอารมณ์และความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียการสำรวจและวิเคราะห์บทบาทของอารมณ์ (Emotion) ในบริบทของพิธีกรรมความตายอย่างลึกซึ้ง อารมณ์เป็นองค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อการจัดการกับความสูญเสียและการดำเนินพิธีกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความตาย หนังสือเล่มนี้นำเสนอวิธีที่วัฒนธรรมต่าง ๆ ใช้พิธีกรรมในการแสดงออกและจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของการสูญเสียสมาชิกในครอบครัวหรือชุมชน
ตัวอย่าง การแสดงออกของอารมณ์ในพิธีกรรมความตาย ผู้เขียนเน้นย้ำถึงความสำคัญของการแสดงออกทางอารมณ์ในพิธีกรรมความตาย วัฒนธรรมต่าง ๆ มีวิธีการเฉลิมฉลองและจัดการกับอารมณ์โศกเศร้าอย่างหลากหลาย เช่น การร้องไห้ การเต้นรำ หรือการแสดงความเคารพผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกของตนได้อย่างเปิดเผยและเป็นระบบ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในพิธีกรรม Famadihana ของชาวมาลากาซี การนำกระดูกของผู้ตายกลับขึ้นมาทำความสะอาดและห่อผ้าพันใหม่ เป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพต่อบรรพบุรุษ อีกทั้งยังเป็นการสร้างความรู้สึกของการเชื่อมโยงและการปลดปล่อยอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย
บทบาทของพิธีกรรมในการจัดการกับอารมณ์โศกเศร้า โดยพิธีกรรมความตายไม่เพียงแต่เป็นการแสดงความเคารพต่อผู้ตายเท่านั้น แต่ยังเป็นกระบวนการที่ช่วยให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถจัดการกับอารมณ์โศกเศร้าและความสูญเสียได้ การทำพิธีกรรมช่วยให้บุคคลสามารถแยกแยะและจัดการกับอารมณ์ของตนในรูปแบบที่สังคมยอมรับและสนับสนุน
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในวัฒนธรรมญี่ปุ่น โอบ้ง (Obon) เป็นเทศกาลที่เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษจะกลับมาเยี่ยมเยือนครอบครัว การทำพิธีสวดมนต์และการเยี่ยมเยือนสุสานช่วยให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถจัดการกับอารมณ์โศกเศร้าและรู้สึกถึงการเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษได้อย่างสมดุล
การใช้พิธีกรรมเป็นช่องทางในการแสดงออกทางอารมณ์ โดยพิธีกรรมความตายมักเป็นช่องทางที่สังคมใช้ในการควบคุมและแสดงออกทางอารมณ์ การจัดพิธีกรรมตามแบบแผนช่วยให้การแสดงออกทางอารมณ์เป็นไปอย่างมีโครงสร้างและไม่เกิดความวุ่นวาย ซึ่งช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในชุมชน ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในพิธีศพของชาวแอฟริกันบางกลุ่ม เช่น ชาว Ashanti พิธีเต้นรำและการร้องเพลงเป็นวิธีที่ชุมชนใช้ในการแสดงออกถึงความโศกเศร้าและความเคารพต่อผู้ตาย ในขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งทางสังคมและการเชื่อมโยงกันระหว่างสมาชิกในชุมชน
การจัดการกับอารมณ์ผ่านสัญลักษณ์และพิธีกรรม
หนังสือยังสำรวจถึงการใช้สัญลักษณ์และพิธีกรรมในการจัดการกับอารมณ์ ตัวอย่างเช่น การใช้สี การแต่งกาย หรือการใช้วัตถุทางพิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นตัวแทนของอารมณ์และความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับความตาย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในพิธีศพของชาวฮาวาย การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการปล่อยวางอารมณ์ที่เกี่ยวข้องกับการตาย การใช้ดอกไม้และเครื่องประดับทางพิธีกรรมเป็นตัวแทนของความรักและความเคารพที่มีต่อผู้ตาย
การบำบัดทางอารมณ์ผ่านพิธีกรรม โดย พิธีกรรมความตายยังถูกใช้เป็นวิธีการบำบัดทางอารมณ์สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ การเข้าร่วมพิธีกรรมช่วยให้บุคคลสามารถปลดปล่อยความเครียดและความโศกเศร้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในพิธีกรรม Sky Burial ของชาวทิเบต การให้ร่างกายของผู้ตายกับแร้งเป็นการปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสีย การกระทำนี้ช่วยให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่สามารถเผชิญกับความโศกเศร้าและรับมือกับการสูญเสียได้อย่างสงบ
มุมมองเกี่ยวกับความตายที่น่าสนใจในหนังสือประกอบด้วย
1. พิธีกรรมความตายในมุมมองเชิงสังคมและวัฒนธรรม
หนังสือเสนอว่าพิธีกรรมความตาย(mortuary ritual) มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงสังคมและสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยการตายไม่ได้เป็นเพียงการสูญเสียของปัจเจกบุคคล แต่ยังเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อชุมชนทั้งในด้านสังคมและวัฒนธรรม โดยตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในบางวัฒนธรรม การตายของสมาชิกสำคัญ เช่น ผู้นำชุมชน จะถูกจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ เพื่อแสดงถึงบทบาทของผู้ตายในสังคมและเพื่อแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ
2. พิธีกรรมความตายสะท้อนการเปลี่ยนผ่านทางสังคม ผู้ศึกษาใช้แนวคิด Rites of Passage ของ Arnold van Gennep ซึ่งกล่าวถึงพิธีกรรมในฐานะการเปลี่ยนผ่านของสถานะในชีวิตมนุษย์ พิธีกรรมความตายเป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านของบุคคลจากสถานะผู้มีชีวิตสู่ผู้ตาย ในทางกลับกันสำหรับผู้ที่ยังมีชีวิต พิธีกรรมเหล่านี้ช่วยสร้างสมดุลทางสังคมและจิตใจในการยอมรับการสูญเสีย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การเผาศพในอินเดียตามศาสนาฮินดู ไม่ใช่เพียงการจัดการกับร่างกายที่ตายไปแล้ว แต่ยังเป็นการเตรียมวิญญาณให้พร้อมสำหรับการเกิดใหม่ในวัฏจักรของชีวิต ตามความเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรมและ สังสารวัฏ (samsara)
3. บทบาทของความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ในหลายวัฒนธรรม ความตายไม่ถือเป็นการสิ้นสุด แต่เป็นการเปลี่ยนไปสู่อีกภพหนึ่ง ความเชื่อเหล่านี้มีผลต่อรูปแบบของพิธีกรรมและการจัดการกับร่างกายของผู้ตาย ตัวอย่างเช่น การฝังศพ การเผาศพ หรือการจัดการกับวิญญาณหลังความตาย ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น พิธีกรรมของชาวToraja ในอินโดนีเซีย ซึ่งการฝังศพจะจัดขึ้นเมื่อครอบครัวมีทรัพยากรพร้อม เนื่องจากเชื่อว่าการฝังศพจะช่วยให้วิญญาณของผู้ตายเดินทางสู่ดินแดนของบรรพบุรุษอย่างสงบสุข พิธีนี้มีความซับซ้อนและมักใช้เวลานานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน
4. แนวคิดการจัดการกับความสูญเสีย
หนังสือยังกล่าวถึงบทบาทของพิธีกรรมในการช่วยให้สังคมและครอบครัวจัดการกับความสูญเสียและความโศกเศร้า พิธีกรรมมักจะมีโครงสร้างที่ช่วยให้ผู้เข้าร่วมสามารถยอมรับและปรับตัวต่อการตายของคนที่พวกเขารัก ซึ่งในบางวัฒนธรรมจะมีการทำพิธีเพื่อทำให้วิญญาณสงบและไม่กลับมารบกวนผู้ที่ยังมีชีวิต
โดยตัวอย่างเชิงรูปธรรม ในบางชุมชนแอฟริกาตะวันตก เช่น ชาว Ashanti พิธีกรรมหลังความตายจะมุ่งเน้นไปที่การทำให้วิญญาณของผู้ตายสงบสุขและย้ายไปอยู่ในสถานะของบรรพบุรุษ ซึ่งสามารถปกป้องและดูแลครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ได้
5. แนวคิดเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Anthropology) ซึ่ง Victor Turner มีอิทธิพลอย่างมากต่อมานุษยวิทยาพิธีกรรม ได้กล่าวถึงพิธีกรรมความตายในฐานะที่เป็นการแสดงออกของสัญลักษณ์ (symbolism) ซึ่งเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมและการเปลี่ยนสถานะของบุคคลในสังคมผ่านกระบวนการของพิธีกรรม เช่น การแต่งกาย การใช้วัตถุทางสัญลักษณ์ในพิธี และการร้องเพลงหรือสวดมนต์เพื่อส่งวิญญาณไปสู่ภพใหม่
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในพิธีศพของชาวมุสลิม จะมีการใช้ผ้าขาวพันศพก่อนการฝัง เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการเตรียมตัวของผู้ตายในการพบพระเจ้า การละหมาดและการอ่านคัมภีร์อัลกุรอานถือเป็นวิธีการส่งวิญญาณให้ไปสู่สวรรค์
โดยสรุปหนังสือCelebrations of Death: The Anthropology of Mortuary Ritual เป็นหนังสือที่มีคุณค่าสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจพิธีกรรมความตายจากมุมมองทางมานุษยวิทยา โดยอธิบายถึงความหมายเชิงวัฒนธรรมและสังคมของพิธีกรรมที่เกิดขึ้นในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก นอกจากนี้ หนังสือยังช่วยให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจบทบาทของความตายในชีวิตมนุษย์ และวิธีที่สังคมตอบสนองต่อความสูญเสียและการเปลี่ยนแปลง การนำเสนอการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับบทบาทและความหมายของพิธีกรรมความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก โดยเชื่อมโยงกับแนวคิดทางมานุษยวิทยา เช่น การเปลี่ยนผ่านสถานะทางสังคมและบทบาทของสัญลักษณ์ในพิธีกรรม ผู้สนใจสามารถใช้หนังสือเล่มนี้เพื่อเข้าใจว่าพิธีกรรมเหล่านี้ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับความตาย แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ทางสังคม
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์บทบาทของอารมณ์ในพิธีกรรมความตายอย่างละเอียด ผ่านตัวอย่างจากวัฒนธรรมต่าง ๆ และการใช้แนวคิดทางมานุษยวิทยาเพื่ออธิบายว่าพิธีกรรมเหล่านี้ช่วยให้สังคมสามารถจัดการกับอารมณ์โศกเศร้าและความสูญเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษานี้ช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนและความสำคัญของอารมณ์ในกระบวนการพิธีกรรมความตายและการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในสังคม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น