แนวคิดเรื่องแฟนคลับ (Fan club) ของ Henry Jenkins ได้รับการกล่าวถึงอย่างลึกซึ้งในงานของเขาที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมแฟนๆ หรือ fan culture ซึ่ง Jenkins มองว่าแฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคเนื้อหาทางวัฒนธรรมอย่างเดียว แต่เป็น “ผู้สร้างสรรค์” และ “ผู้ร่วมมือ” ที่สำคัญในกระบวนการผลิตความหมายในวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์
Jenkins แนะนำแนวคิดเรื่อง “วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม” (Participatory Culture) ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่แฟนคลับมีบทบาทในการสร้างเนื้อหาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเขียนแฟนฟิคชั่น (Fan fiction) การสร้างแฟนอาร์ต (Fan art) หรือการจัดทำสื่อในรูปแบบต่างๆ การมีส่วนร่วมนี้ทำให้แฟนคลับเป็นผู้มีอำนาจในกระบวนการสร้างความหมายและสร้างชุมชนแฟน (Fan communities) ขึ้นมา
เขายังเน้นว่าแฟนคลับไม่ใช่แค่กลุ่มผู้ติดตามที่ถูกปฏิบัติแบบเป็นกลุ่มผู้บริโภคเท่านั้น แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่มีบทบาททางสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งนำไปสู่การสร้างความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองผ่านการเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ และแฟนคลับยังสามารถใช้สื่อหรือเรื่องราวต่างๆ ที่พวกเขาชื่นชอบเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมผ่านการตีความใหม่และการเคลื่อนไหวทางสังคมอีกด้วย
ผลงานชิ้นสำคัญของ Jenkins ที่เกี่ยวกับแนวคิดนี้คือหนังสือ “Textual Poachers: Television Fans & Participatory Culture” (1992) ซึ่งเป็นงานที่วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างแฟนๆ และการสร้างความหมายในโลกของวัฒนธรรมป๊อป
ในหนังสือ “Textual Poachers: Television Fans & Participatory Culture” (1992) ของ Henry Jenkins ถือเป็นงานบุกเบิกในการศึกษาแฟนคลับและวัฒนธรรมแฟน (fan culture) โดย Jenkins ใช้คำว่า “Textual Poachers” เพื่อเปรียบเทียบแฟนคลับกับผู้บุกรุก (poachers) ที่ “ขโมย” เนื้อหาหรือตัวบท (text) จากผู้สร้างต้นฉบับ เช่น ผู้สร้างภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ แล้วนำมาดัดแปลง ตีความใหม่ และสร้างผลงานหรือเนื้อหาของตนเองขึ้นมา
สาระสำคัญและแนวคิดหลักในหนังสือเล่มนี้ก็คือ
1. วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม (Participatory Culture) Jenkins เน้นว่าแฟนคลับเป็นผู้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการผลิตและสร้างความหมายจากเนื้อหาที่พวกเขาชื่นชอบ แฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้รับเนื้อหาจากสื่อ แต่ยังใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการผลิตสื่อใหม่ๆ เช่น แฟนฟิคชั่น (fan fiction) แฟนอาร์ต (fan art) หรือการทำวิดีโอ เพื่อขยายขอบเขตของตัวบทเดิมและแสดงถึงมุมมองหรือความต้องการของพวกเขา 2. การ “ลักลอบ” ตีความและสร้างสรรค์ (Textual Poaching) แฟนคลับถูกมองว่าเป็น “ผู้บุกรุก” ที่ “ยึดครอง” เนื้อหาจากสื่อที่พวกเขาติดตาม เช่น รายการโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ จากนั้นแฟนคลับจะนำเนื้อหาเหล่านั้นมาตีความใหม่ในบริบทที่มีความหมายต่อตัวพวกเขาเอง การลักลอบนี้เป็นการตั้งคำถามและท้าทายอำนาจของผู้ผลิตสื่อหลักในกระบวนการสร้างความหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์ ซึ่งแฟนคลับมักจะมองเห็นความสัมพันธ์ของตนเองกับเนื้อหานั้นต่างไปจากเจตนาของผู้สร้าง
3. ชุมชนแฟนและการสร้างความหมายร่วมกัน (Fan Communities) Jenkins ยังให้ความสำคัญกับชุมชนของแฟนคลับที่เป็นพื้นที่ให้ผู้คนได้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สร้างเนื้อหาใหม่ และสนับสนุนซึ่งกันและกัน ชุมชนแฟนเหล่านี้มักจะสร้างสรรค์วัฒนธรรมย่อย (subculture) ที่มีความเป็นตัวของตัวเองและสร้างความหมายที่แตกต่างจากสิ่งที่สื่อกระแสหลักต้องการนำเสนอ
4. อำนาจของแฟนคลับในยุคดิจิทัล Jenkins ตั้งข้อสังเกตว่าในยุคที่เทคโนโลยีเข้าถึงได้ง่าย แฟนคลับสามารถเข้ามามีบทบาทในการสร้างสรรค์เนื้อหาหรือชุมชนได้อย่างเสรีมากขึ้น เช่น การสร้างเว็บไซต์ หรือใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ผลงานของตนเอง ซึ่งการกระจายข้อมูลนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสื่อกระแสหลักเพียงอย่างเดียว
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมของแนวคิดที่น่าสนใจคือ
1. แฟนฟิคชั่น (Fan Fiction) แฟนฟิคชั่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการที่แฟนคลับนำเรื่องราวจากหนังสือหรือภาพยนตร์ที่พวกเขาชื่นชอบมาต่อยอด สร้างเรื่องราวใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของพวกเขาเอง ตัวอย่างเช่น แฟนคลับของ Harry Potter อาจเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ไม่ได้รับการนำเสนอในเนื้อหาต้นฉบับ หรือแฟนคลับของ Star Trek อาจเขียนเรื่องราวที่ขยายโลกของซีรีส์นั้นในรูปแบบที่พวกเขาต้องการเห็น
2. แฟนอาร์ต (Fan Art) แฟนอาร์ตเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่แฟนคลับสร้างผลงานศิลปะที่อิงจากเนื้อหาต้นฉบับ แต่ดัดแปลงให้ตรงกับความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา เช่น การวาดภาพตัวละครในสถานการณ์หรือโลกที่แตกต่างจากต้นฉบับ โดยแฟนอาร์ตสามารถแสดงออกถึงมุมมองส่วนตัวของแฟนคลับเกี่ยวกับตัวละครหรือเรื่องราวที่พวกเขาชื่นชอบ
3. วัฒนธรรม Remix และ Mashup แฟนคลับบางคนสร้างผลงานโดยการรีมิกซ์ (Remix) หรือมาชอัพ (Mashup) เนื้อหาต่างๆ เข้าด้วยกัน เช่น การทำวิดีโอแฟนเมด (fan-made videos) ที่ใช้ภาพจากภาพยนตร์หรือซีรีส์ต่างๆ ประกอบกับเสียงเพลง หรือการทำวิดีโอที่นำเนื้อหาจากหลายๆ เรื่องมารวมกัน เช่น การผสมผสานตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกับโลกของอีกเรื่องหนึ่ง
ผลกระทบและความสำคัญ หนังสือเล่มนี้เป็นงานสำคัญที่ทำให้การศึกษาแฟนคลับถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่ควรค่าแก่การวิเคราะห์ในฐานะส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมร่วมสมัย แฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้บริโภคอย่างที่เคยถูกมองในอดีต แต่เป็นผู้ที่มีบทบาทในกระบวนการสร้างสรรค์และสร้างความหมายในวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์
การนำแนวคิดของ Henry Jenkins มาอธิบายกรณีของ แฟนคลับการ์ตูนและภาพยนตร์ของดิสนีย์ จะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงบทบาทของแฟนคลับในการสร้างสรรค์เนื้อหาและขยายความหมายของเนื้อหาต้นฉบับ โดยเน้นการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและการตีความใหม่ของแฟนคลับดังนี้
1. การสร้างเนื้อหาใหม่โดยแฟนคลับ (Fan Fiction และ Fan Art)
แฟนคลับดิสนีย์มักจะสร้างแฟนฟิคชั่นและแฟนอาร์ตที่ดัดแปลงเรื่องราว ตัวละคร และโลกที่สร้างขึ้นในภาพยนตร์หรือการ์ตูนของดิสนีย์ ตัวอย่างเช่น แฟนคลับอาจเขียนเรื่องราวที่ขยายชีวิตของตัวละครจาก Frozen อย่าง Elsa และ Anna หลังจากเนื้อหาต้นฉบับจบลง หรือการวาดแฟนอาร์ตที่แสดงให้เห็นถึงตัวละครดิสนีย์ในสถานการณ์ที่ไม่เคยมีในต้นฉบับ เช่น ตัวละครเจ้าหญิงดิสนีย์ในโลกที่เป็นนักรบหรือฮีโร่สมัยใหม่ นี่เป็นการแสดงถึงการ “ลักลอบ” นำเรื่องราวหรือเนื้อหามาดัดแปลงให้ตรงกับความต้องการของแฟนคลับเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Textual Poaching ของ Jenkins
2. ชุมชนแฟนคลับและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม (Fan Communities)
ชุมชนแฟนคลับดิสนีย์เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจนของการมีส่วนร่วมทางวัฒนธรรม แฟนคลับจะรวมตัวกันในกลุ่มออนไลน์ เช่น บนแพลตฟอร์มอย่าง Reddit, Tumblr หรือ Instagram เพื่อแบ่งปันและแลกเปลี่ยนเนื้อหาที่พวกเขาสร้างขึ้น เช่น การสนทนาเกี่ยวกับการตีความตัวละครหรือการแชร์ภาพวาดและวิดีโอที่สร้างขึ้นโดยแฟนๆ การมีส่วนร่วมในชุมชนนี้ช่วยสร้างวัฒนธรรมย่อยของแฟนคลับดิสนีย์ ที่พวกเขามีอิสระในการตีความตัวละครหรือเรื่องราวในแบบที่สอดคล้องกับความต้องการและมุมมองของตน
3. การสร้างสรรค์ใหม่ผ่านการแต่งกายและคอสเพลย์ (Cosplay)
แฟนคลับดิสนีย์มักจะแต่งตัวเป็นตัวละครที่พวกเขาชื่นชอบผ่านการทำคอสเพลย์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของการสร้างสรรค์ใหม่และการมีส่วนร่วมในวัฒนธรรมของแฟนคลับ ตัวอย่างเช่น ในงานอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่าง Disney D23 Expo แฟนๆ มักจะมารวมตัวกันในชุดคอสเพลย์ของเจ้าหญิงดิสนีย์หรือซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดิสนีย์) การแต่งกายนี้ไม่เพียงแค่เลียนแบบตัวละครจากต้นฉบับ แต่ยังสามารถสื่อถึงการสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองที่แฟนๆ ต้องการแสดงออก เช่น การออกแบบชุดของตัวละครใหม่ให้มีความสร้างสรรค์หรือเหมาะกับบุคลิกส่วนตัวของผู้แต่งคอสเพลย์
4. การรีมิกซ์และสร้างสรรค์สื่อใหม่ (Remix Culture)
แฟนคลับดิสนีย์มักสร้างสรรค์สื่อใหม่ผ่านการรีมิกซ์เนื้อหาจากภาพยนตร์ เช่น การสร้างวิดีโอแฟนเมดที่ใช้ฉากจากภาพยนตร์ดิสนีย์มาผสมกับเพลงหรือการทำคลิปสั้นๆ ใน TikTok ที่ใช้ฉากและบทพูดจากภาพยนตร์ดิสนีย์ในบริบทที่แตกต่างไปจากเดิม ตัวอย่างเช่น การใช้เสียงจาก Frozen ในบริบทตลกหรือเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ต้นฉบับ นี่เป็นตัวอย่างของการใช้วัฒนธรรม Remix ตามแนวคิดของ Jenkins ที่แฟนๆ นำสื่อที่มีอยู่แล้วมาสร้างความหมายใหม่และสื่อถึงประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา
5. การตีความตัวละครและความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+ Representation)
หนึ่งในแนวโน้มที่เห็นได้ชัดในกลุ่มแฟนคลับดิสนีย์คือการตีความตัวละครให้สอดคล้องกับมุมมองทางเพศและความหลากหลาย เช่น มีการเขียนแฟนฟิคชั่นที่แสดงถึงตัวละครอย่าง Elsa จาก Frozen เป็นสัญลักษณ์ของการยอมรับในเพศทางเลือก ซึ่งสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของ LGBTQ+ ที่มอง Elsa เป็นตัวแทนของการยอมรับตัวตนที่แตกต่างจากมาตรฐานทางสังคม นี่แสดงให้เห็นถึงบทบาทของแฟนคลับในการสร้างความหมายใหม่จากเนื้อหาต้นฉบับที่ตอบสนองต่อความต้องการทางสังคมและวัฒนธรรมที่กว้างขึ้น
สรุป กรณีของแฟนคลับดิสนีย์เป็นตัวอย่างที่ดีของแนวคิดเรื่อง Textual Poaching และ Participatory Culture ของ Henry Jenkins ซึ่งแฟนคลับไม่ได้เป็นเพียงผู้รับชมอย่างเฉยๆ แต่มีบทบาทในการสร้างเนื้อหาใหม่ ตีความเรื่องราว และสร้างชุมชนของตัวเองในการแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ แฟนคลับสามารถดัดแปลงเนื้อหาตามความต้องการส่วนตัวและสร้างความหมายใหม่ที่แตกต่างจากเจตนารมณ์ของผู้สร้างต้นฉบับ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังและอิทธิพลของแฟนคลับในยุคดิจิทัล
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น