ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อำนาจและเสรีภาพในการขายบริการทางเพศ มองผ่านงาน O’Connell Davidson โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เนื่องด้วยต้องบรรยายเรื่องการขายบริการทางเพศ อารมณ์และสุขภาพให้นักศึกษาฟัง ทำให้นึกถึงงานชิ้นหนึ่งที่เคยหยิบมาอ่าน เป็นหนังสือ “Prostitution, Power and Freedom” เขียน โดย Julia O’Connell Davidson ถือเป็นหนังสือที่มีอิทธิพลอย่างมากในการศึกษาปรากฏการณ์ของการค้าประเวณี โดยเฉพาะจากมุมมองด้านอำนาจและเสรีภาพในบริบทของเพศวิถีและการค้าประเวณีในสังคมปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงมุ่งเน้นที่การท้าทายกรอบความคิดดั้งเดิมที่มักมองการค้าประเวณีในฐานะของปัญหาทางศีลธรรมและกฎหมายเท่านั้น ผมสนใจเรื่อง อำนาจ เสรีภาพ และการจัดการอารมณ์ในบริบทของการค้าประเวณี ที่มีการวิเคราะห์จากมุมมองทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่จะทำให้เราเห็นถึงความซับซ้อนของการทำงานในอุตสาหกรรมเพศ และความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ปรากฏในหลากหลายระดับ แนวคิดสำคัญในหนังสือมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ และทำให้เรามองการขายบริการทางเพศที่ซับซ้อนและท้าทายมากขึ้น และชวนให้คิดว่าแท้จริงแล้ว พวกเขาพวกเธอ มีอำนาจหรือไร้อำนาจในระบบเพศเชิงพาณิชย์กันแน่ แต่ประเด็นที่ผมสรุปมาได้คือ 1. การท้าทายภาพลักษณ์ของโสเภณี (Revisiting the Image of Prostitution) โดย O’Connell Davidson ท้าทายภาพลักษณ์ทางลบของผู้ประกอบอาชีพเพศในสังคม โดยแย้งว่าโสเภณีไม่ใช่แค่เหยื่อของการกดขี่ทางเพศเท่านั้น แต่มีหลายมิติที่ต้องพิจารณา เช่น บทบาทของโสเภณีในฐานะผู้เลือกหรือผู้สร้างการควบคุมในบางบริบท การพิจารณาเหล่านี้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ในการทำความเข้าใจอาชีพนี้ 2. อำนาจและเสรีภาพในอาชีพโสเภณี (Power and Freedom in Prostitution) ตัวหนังสือมุ่งเน้นการวิเคราะห์บทบาทของ อำนาจ และ เสรีภาพ ในชีวิตของผู้ค้าประเวณี โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันระหว่างโสเภณีและลูกค้า หรือระหว่างโสเภณีกับโครงสร้างสังคมที่สร้างความเหลื่อมล้ำ ความไม่เท่าเทียม ซึ่งอำนาจไม่ได้ถูกใช้หรือแสดงออกเพียงอย่างเดียวจากลูกค้าเท่านั้น แต่ยังมีมิติของการสร้างอำนาจในการเลือก การต่อรอง และการตัดสินใจจากตัวผู้ประกอบอาชีพขายบริการทางเพศเองด้วย Davidson ยังตั้งคำถามเกี่ยวกับ เสรีภาพ ที่แท้จริงของผู้หญิงในอาชีพนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ต้องเผชิญกับความยากจนและการขาดโอกาส ซึ่งทำให้การตัดสินใจ “เลือก” ในการทำงานในอุตสาหกรรมเพศนี้เป็นไปอย่างจำกัด 3. การค้าประเวณีและเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ (Prostitution and Globalization) Davidson ยังพูดถึงการขยายตัวของการค้าประเวณีในบริบทของเศรษฐกิจภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ โดยเฉพาะเมื่อมีการย้ายถิ่นของผู้หญิงจากประเทศยากจนสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว การค้าประเวณีข้ามแดน (Transnational Prostitution) ทำให้โสเภณีต้องเผชิญกับความเสี่ยงเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการถูกควบคุมโดยขบวนการค้ามนุษย์ หรือการถูกเลือกปฏิบัติจากสังคมที่แตกต่าง 4. การวิเคราะห์นโยบายเกี่ยวกับการค้าประเวณี (Prostitution Policy Analysis) Davidson วิเคราะห์ถึงผลกระทบของนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าประเวณี เช่น การห้ามการค้าประเวณีโดยเด็ดขาด (Criminalization) หรือการเปิดเสรีให้การค้าประเวณีเป็นอาชีพที่ถูกต้องตามกฎหมาย (Decriminalization and Legalization) การนำเสนอมุมมองเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสียของนโยบายแต่ละแบบ และผลกระทบต่อผู้ประกอบอาชีพเพศ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่ทำให้เราเห็นความคิดนี้ชัดเจนขึ้น เช่น 1. การควบคุมอำนาจของลูกค้า O’Connell Davidson ยกตัวอย่างว่าผู้ประกอบอาชีพเพศอาจต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมในการทำงาน เช่น การใช้พลังอำนาจของลูกค้าในการต่อรองราคา บังคับให้โสเภณีปฏิบัติตามความต้องการของตน แต่ผู้ประกอบอาชีพเพศบางคนอาจใช้ทักษะในการเจรจาต่อรองเพื่อสร้างอำนาจในความสัมพันธ์นั้นๆ 2. การเปรียบเทียบการค้าประเวณีในบริบทข้ามชาติ ซึ่ง Davidson ยกตัวอย่างการค้าประเวณีในประเทศต่างๆ เช่น ประเทศไทย และเนเธอร์แลนด์ เพื่อให้เห็นถึงความแตกต่างในนโยบายและผลกระทบที่มีต่อผู้ประกอบอาชีพเพศ เช่น ในประเทศเนเธอร์แลนด์ที่การค้าประเวณีถูกกฎหมายและมีการคุ้มครองทางสุขภาพกับสิทธิทางกฎหมาย ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีการควบคุมและห้ามการค้าประเวณีอย่างเคร่งครัด ซึ่งส่งผลให้เกิดการค้าประเวณีใต้ดินที่มีความเสี่ยงต่อความปลอดภัยและสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพเพศ 3. บทบาทขององค์กรที่สนับสนุนโสเภณี: O’Connell Davidson ให้ภาพการทำงานขององค์กรต่างๆ ที่มุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนของผู้ประกอบอาชีพเพศ โดยมุ่งเน้นที่การสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับพวกเขา และต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติในระดับสังคมและกฎหมาย 4. การทำงานทางเพศในฐานะ “งานบริการ” (Sex Work as Service Work) ในหนังสือเล่มนี้ O’Connell Davidson เปรียบเทียบการทำงานทางเพศกับอาชีพในภาคบริการ เช่น พนักงานเสิร์ฟ หรือพนักงานดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นงานที่ต้องมีการบริการและตอบสนองความต้องการของลูกค้า ประเด็นนี้มุ่งเน้นไปที่การจัดการอารมณ์ของผู้ให้บริการทางเพศ ผู้ประกอบอาชีพเพศต้องใช้ทักษะในการควบคุมอารมณ์และแสดงออกในลักษณะที่เป็นที่พอใจต่อลูกค้า เช่นเดียวกับพนักงานบริการในอาชีพอื่นๆ ซึ่งเป็นการสร้างอำนาจในบริบทของการให้บริการและการควบคุมความสัมพันธ์เชิงอำนาจ นอกจากนี้ Davidson ยังเน้นการทำงานทางเพศในฐานะอาชีพที่ต้องการทักษะที่แตกต่างจากงานอื่นๆ เช่น ทักษะในการเจรจาต่อรองหรือปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของลูกค้าโดยไม่ละเมิดขอบเขตส่วนตัว 5. การปะทะกันของสิทธิในการเลือกและเสรีภาพ (Conflict between Choice and Freedom): แม้ว่าผู้ประกอบอาชีพเพศอาจจะอ้างถึงการตัดสินใจ ด้วยตัวเอง หรือการเลือกเองที่จะทำงานในอาชีพนี้ แต่ Davidson ตั้งคำถามเกี่ยวกับเสรีภาพที่แท้จริงในบริบทของการกดขี่ทางเศรษฐกิจและสังคม ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนาหรือผู้ที่ย้ายถิ่นฐานอาจถูกบังคับโดยสถานการณ์ทางเศรษฐกิจให้เข้าสู่อุตสาหกรรมเพศ ดังนั้นการเลือกในกรณีนี้อาจไม่ใช่การตัดสินใจที่แท้จริง แต่เป็นการถูกผลักดันจากปัจจัยภายนอก เช่น ความยากจน การขาดโอกาสในการทำงาน หรือการถูกบังคับโดยขบวนการค้ามนุษย์ มันจึงเป็นสภาวะของการจำใจต้องเลือก มากกว่าการเลือกเองโดยปราศจากเงื่อนไขเบื้องหลัง ประเด็นนี้ทำให้เราเห็นถึงความซับซ้อนของคำว่า “เสรีภาพในการเลือก” ในอาชีพเพศ ซึ่งไม่สามารถมองผ่านกรอบที่ง่ายๆ ได้ 6. นโยบายและกฎหมายที่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบอาชีพเพศ (Impact of Policies and Legislation on Sex Workers) โดย Davidson อธิบายถึงผลกระทบของนโยบายและกฎหมายที่แตกต่างกันต่อผู้ประกอบอาชีพเพศ เช่น นโยบายที่ห้ามการค้าประเวณีอย่างเด็ดขาดในบางประเทศได้สร้างความเสี่ยงให้กับผู้ประกอบอาชีพเพศมากขึ้น เช่น การถูกใช้ความรุนแรงจากตำรวจหรือการบังคับให้ทำงานใต้ดิน ซึ่งขาดการคุ้มครองทางกฎหมายและสุขภาพ ในขณะเดียวกัน นโยบายที่ทำให้การค้าประเวณีถูกกฎหมาย เช่นในเนเธอร์แลนด์ ช่วยให้ผู้ประกอบอาชีพเพศสามารถเข้าถึงสิทธิพื้นฐานทางสุขภาพและความปลอดภัยมากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่านโยบายเหล่านี้ทำให้เกิดการปฏิบัติแบบ “เสมือนกฎหมาย” ที่ยังไม่เป็นธรรม เช่น การควบคุมหรือเก็บภาษีที่อาจไม่ได้ปกป้องผู้หญิงอย่างแท้จริง Davidson ยกตัวอย่างกรณีของประเทศต่างๆ ในการวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายที่มีต่อสุขภาพ ความปลอดภัย และสิทธิของผู้ประกอบอาชีพเพศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีกฎหมายเข้มงวดต่อการค้าประเวณี เช่น สหรัฐอเมริกาและประเทศในตะวันออกกลาง 7. ความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์กับความเป็นมืออาชีพ (Emotional Labor and Professionalism in Sex Work) Davidson เน้นถึงการทำงานทางเพศในฐานะงานที่ต้องอาศัยการจัดการอารมณ์อย่างมาก ผู้ประกอบอาชีพเพศต้องสร้างภาพลักษณ์ของความเต็มใจและความเป็นมิตรต่อหน้าลูกค้า แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงหรือการคุกคามก็ตาม การจัดการอารมณ์นี้คล้ายกับงานบริการอื่นๆ เช่น พนักงานในโรงแรมหรือร้านอาหารที่ต้องแสดงออกถึงความสุภาพและอัธยาศัยดีต่อหน้าลูกค้า ไม่ว่าตนเองจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ซึ่ง Davidson ยกตัวอย่างผู้ประกอบอาชีพเพศที่ให้บริการในโรงแรมหรือบาร์ ที่ต้องจัดการความรู้สึกของตนเองเพื่อตอบสนองความพึงพอใจของลูกค้า และในขณะเดียวกันต้องรักษาความปลอดภัยของตนเองด้วย 8. อุตสาหกรรมเพศข้ามชาติและการย้ายถิ่นฐาน (Transnational Sex Industry and Migration) การย้ายถิ่นฐานเพื่อทำงานในอุตสาหกรรมเพศเป็นปรากฏการณ์ที่ Davidson ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ โดยเฉพาะผู้หญิงจากประเทศที่มีรายได้น้อยย้ายมาทำงานในประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งพวกเธอมักต้องเผชิญกับความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ สังคม และการขาดโอกาสในการทำงานที่อื่น Davidson ยกตัวอย่างการค้าประเวณีในประเทศเช่น ไทย และฟิลิปปินส์ ที่ผู้หญิงจากชนบทหรือพื้นที่ยากจนย้ายถิ่นฐานมาทำงานในเมืองใหญ่หรือในต่างประเทศ โดยต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและกฎหมายในการทำงานข้ามชาติ 9. ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและสุขภาพทางเพศ (Mental Health and Sexual Health Impact) O’Connell Davidson วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสุขภาพจิตและสุขภาพทางเพศของผู้ประกอบอาชีพเพศ โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในอุตสาหกรรมใต้ดินและขาดการเข้าถึงบริการสุขภาพ เขายังเน้นถึงการแพร่กระจายของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ประกอบอาชีพเพศที่ขาดการป้องกันและการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศ การขาดการศึกษาและการสนับสนุนทางสุขภาพจึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว สรุป หนังสือ “Prostitution, Power and Freedom” ของ Julia O’Connell Davidson เป็นงานเขียนที่สำคัญในการศึกษาปรากฏการณ์การค้าประเวณี โดยเน้นไปที่การทบทวนภาพลักษณ์ของโสเภณีในสังคม การวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้ประกอบอาชีพเพศและลูกค้า ตลอดจนผลกระทบจากนโยบายและกระแสโลกาภิวัตน์ นอกจากนี้ยังเปิดประเด็นให้เห็นถึงมิติของเสรีภาพในการตัดสินใจของโสเภณีในบริบทของโครงสร้างสังคมที่ซับซ้อน โดยรวมผมว่าหนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องมือที่มีค่าในการทำความเข้าใจประเด็นซับซ้อนเกี่ยวกับการค้าประเวณี และเหมาะสำหรับนักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่สนใจในประเด็นสิทธิมนุษยชนและเพศวิถีในบริบทสังคมปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...