ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ธุรกิจขายตรงแชร์ลูกโซ่ กับภาวะของการหลอกหลอน อนาคตที่ไม่มีจริง และความเจ็บป่วย ผ่านแนวคิด Hauntology โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมเห็นเรื่องแชร์ลูกโซ่ ธุรกิจขายตรง ธุรกิจแบบแม่ข่ายทำให้ผมนึกถึงงานชิ้นหนึ่งที่น่านำมาวิเคราะห์ นั่นคือ หนังสือ “Ghosts of My Life: Writings on Depression, Hauntology and Lost Futures” โดย Mark Fisher เป็นงานเขียนที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมสมัยใหม่กับแนวคิดเรื่องอนาคตที่สูญหายไป โดยใช้แนวคิดของ “hauntology” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Jacques Derrida หนังสือมุ่งเน้นที่การสำรวจประสบการณ์ของความซึมเศร้าและการสูญเสียความหวังในอนาคตผ่านทางดนตรี ภาพยนตร์ และวรรณกรรม Mark Fisher ใช้แนวคิด hauntology เพื่ออธิบายถึงความรู้สึกว่าวัฒนธรรมร่วมสมัยเต็มไปด้วยสิ่งที่หลอกหลอนเราจากอดีต และแนวคิดของ “อนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้น” (lost futures) ที่สร้างความรู้สึกสูญเสียและเหง โดยสาระสำคัญขอฃหนังสือ Fisher ยังสำรวจดนตรีอิเล็กทรอนิกส์และแนวเพลงที่สะท้อนถึงความรู้สึกนี้ เช่น dubstep, post-punk และอื่นๆ นอกจากนี้ Fisher ยังเชื่อมโยงประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับโรคซึมเศร้ากับการตีความความหมายของวัฒนธรรมปัจจุบันและแนวโน้มของสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือ Ghosts of My Life ก็คือการที่ Fisher พูดถึงการหลอกหลอนทางดนตรีโดยใช้เพลงของวง The Caretaker ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรีที่ใช้ในสถานที่เต้นรำที่เก่าแก่ เพลงของวงนี้มีลักษณะที่บิดเบือนและถูกทำให้เบลอ เหมือนกับว่าเป็นเสียงจากอดีตที่หายไปแต่ยังคงกลับมาหลอกหลอนผู้ฟังได้อยู่ตลอดเวลา แนวคิดที่สำคัญที่เขาใช้มองคือ Hauntology ที่ Mark Fisher ใช้ในหนังสือ “Ghosts of My Life” มีต้นกำเนิดจากปรัชญาของ Jacques Derrida ซึ่งเป็นการผสมคำระหว่าง haunting (การหลอกหลอน) และ ontology (สาขาหนึ่งของปรัชญาที่ศึกษาการดำรงอยู่) Derrida ใช้คำนี้ในงานเขียน “Specters of Marx” เพื่ออธิบายว่า อดีตที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่เป็นจริงสมบูรณ์นั้นยังคงกลับมาในปัจจุบันเหมือน “ผี” ที่หลอกหลอนเราอยู่ ไม่ใช่ว่าเราหวนคิดถึงอดีตแบบตรงไปตรงมา แต่เป็นอดีตที่ “ไม่เคยหายไป” และยังคงมีผลกระทบอยู่เรื่อยมา Fisher ได้นำแนวคิดนี้มาใช้ในการวิเคราะห์วัฒนธรรมร่วมสมัย โดยเฉพาะวัฒนธรรมเพลง ภาพยนตร์ และสังคมหลังยุค 1970 เขามองว่าสังคมปัจจุบันถูกหลอกหลอนโดย “อนาคตที่หายไป” หรือสิ่งที่เคยถูกสัญญาไว้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่กลับไม่เกิดขึ้นจริง เช่น ความก้าวหน้าทางสังคมที่หยุดชะงัก ความคาดหวังเกี่ยวกับเทคโนโลยี และแนวคิดยูโทเปียที่ไม่เป็นจริง สังคมจึงเต็มไปด้วย “เศษซาก” หรือร่องรอยของอดีตที่ไม่เคยบรรลุผลเหล่านั้น ซึ่งหลอกหลอนเราในรูปแบบของศิลปะ ดนตรี และสื่อวัฒนธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ที่ถูกหยิบยกเช่น ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ยุค 1970 และ 1980 โดย Fisher ชี้ไปที่เพลงอิเล็กทรอนิกส์ในยุคนั้น ซึ่งมีการสำรวจแนวคิดเกี่ยวกับอนาคตผ่านเสียงดนตรีใหม่ๆ อย่างเช่นเสียงสังเคราะห์ (synthesizers) แต่เมื่อมองในปัจจุบัน ดนตรีประเภทนี้กลับให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็น “อดีตของอนาคต” ซึ่งหมายถึงอนาคตที่เคยถูกจินตนาการไว้แต่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง ปัจจุบันผู้ฟังจะรู้สึกเหมือนถูกหลอกหลอนด้วยเสียงเหล่านี้ที่ให้ความรู้สึกแบบย้อนยุค (retro-futuristic) ภาพยนตร์ของ Stanley Kubrick โดย Fisher อ้างถึงภาพยนตร์เรื่อง “2001: A Space Odyssey” (1968) ที่แสดงให้เห็นถึงความหวังเกี่ยวกับอนาคตที่ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แต่เมื่อเทียบกับความเป็นจริงที่เราเผชิญในปัจจุบัน เรากลับรู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ในอนาคตที่ “หลุดหายไป” เพราะความคืบหน้าในเรื่องของอวกาศและเทคโนโลยีไม่ได้เป็นไปตามที่ภาพยนตร์คาดหวังไว้ แนวคิด hauntology ของ Fisher เป็นการตั้งคำถามถึงอดีตและอนาคตที่เกี่ยวโยงกันอยู่ และความรู้สึกสูญเสียที่มาจากการพลาดโอกาสของอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง หากนำแนวคิด Hauntology ของ Mark Fisher มาใช้ในการอธิบายธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่ ซึ่งมักสร้างปัญหาในปัจจุบัน แนวคิดนี้สามารถเชื่อมโยงกับการที่คนในสังคมถูก “หลอกหลอน” โดยความฝันของความมั่งคั่งและความสำเร็จที่ไม่เคยเป็นจริง ความเชื่อในอนาคตที่ถูกสัญญาว่าจะดีขึ้น แต่สุดท้ายกลับไม่เกิดขึ้นตามที่คาดหวัง การหลอกหลอนจากอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้น โดยเฉพาะ ธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่มักเสนอความฝันของความร่ำรวยที่ง่ายดาย ผ่านการสร้างเครือข่ายและการขายสินค้าแบบตรง คนที่เข้าสู่ธุรกิจนี้มักถูกดึงดูดด้วยภาพลวงตาของอนาคตที่มั่งคั่ง ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากเรื่องเล่าและความสำเร็จของบางบุคคลในธุรกิจนี้ ตัวแทนขายใหม่ๆ จึงมักเห็น “ภาพอนาคต” ของตนเองในฐานะคนที่ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ในระบบนี้ หากนำแนวคิด Hauntology มาอธิบายปรากฏการณ์ในธุรกิจขายตรง/แชร์ลูกโซ่ สามารถวิเคราะห์เชือมโยงกับประเด็นต่อไปนี้ 1.อดีตที่หลอกหลอนในรูปของโอกาสที่พลาดไป คนที่เคยเข้าร่วมธุรกิจขายตรงและล้มเหลวมักรู้สึกว่า “อนาคตที่ดีขึ้น” ที่เคยถูกสัญญาไว้ยังคงหลอกหลอนพวกเขา ความฝันที่จะร่ำรวยกลายเป็นเหมือนกับ “ผี” ที่คอยไล่ตามและทำให้พวกเขารู้สึกเสียใจหรือโกรธที่ไม่สามารถบรรลุถึงจุดนั้นได้ สังคมก็ยังคงถูกหลอกหลอนด้วยเรื่องเล่าเกี่ยวกับคนที่ร่ำรวยจากธุรกิจนี้ แม้ว่าความเป็นจริงของคนส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่ตรงข้าม คนรวยก็ยังคงรวย คนจนก็ยังจนอยู่อย่างนั้น และจนลงเรื่อยๆ 2. เศษซากของความฝันที่เหลืออยู่ เมื่อพิจารณาถึงการโฆษณาและภาพลักษณ์ที่ธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่นำเสนอ พวกเขามักใช้วิธีสร้างภาพของความสำเร็จด้วยรถยนต์หรู บ้านราคาแพง หรือชีวิตที่สุขสบาย อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเศษซากของ “ความฝันที่ล้มเหลว” เพราะหลายคนที่เข้าร่วมธุรกิจกลับไม่ได้รับผลประโยชน์เช่นนั้น แต่ภาพเหล่านี้ยังคงหลอกหลอนเราในสื่อและโฆษณา ทำให้เรายังรู้สึกถึงความเป็นไปได้ของอนาคตที่ไม่มีจริง กรณีของการลงทุนในธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่ที่นำไปสู่ความซึมเศร้าหรือการฆ่าตัวตาย สามารถอธิบายได้ผ่านแนวคิด Hauntology ของ Mark Fisher โดยเฉพาะในแง่ของความหลอกหลอนจาก “อนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้น” และความผิดหวังที่ลึกซึ้งเมื่อความคาดหวังในการเปลี่ยนแปลงชีวิตไม่เป็นจริง ดังเช่น 1.ความหลอกหลอนจากอนาคตที่ล้มเหลว ในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ผู้เข้าร่วมมักถูกหลอกล่อด้วยภาพของความสำเร็จและอนาคตที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นความมั่งคั่ง ความเป็นอิสระทางการเงิน หรือการมีชีวิตที่ดีขึ้น คนเหล่านี้มักลงทุนด้วยทั้งเงิน เวลา และความหวัง โดยคาดหวังว่าอนาคตของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่เมื่อพบว่าธุรกิจนี้ไม่ได้ให้ผลตามที่หวังไว้ พวกเขาจะรู้สึกเหมือน “อนาคต” ที่เคยถูกสัญญาไว้ได้หายไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้สร้างความรู้สึกสูญเสียที่ลึกซึ้ง และเป็นเหมือน “ผี” ที่คอยหลอกหลอนจิตใจของผู้ที่ล้มเหลว 2.ความซึมเศร้าและการถูกหลอกหลอนด้วยอดีต เมื่ออนาคตที่ถูกสัญญาไว้ว่าจะดีขึ้นกลับกลายเป็นไปไม่ได้ ความหวังที่เคยมีถูกทิ้งไว้เป็นอดีตที่เจ็บปวด ผู้คนที่สูญเสียทั้งเงินและเวลา รวมถึงการสูญเสียความเชื่อมั่นในตนเองและสังคม อาจรู้สึกหลงทางและหมดหวัง สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความซึมเศร้าได้ ผู้ที่เคยคาดหวังว่าจะประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการลงทุนในธุรกิจแชร์ลูกโซ่หรือขายตรง เมื่อพบว่าตนเองพ่ายแพ้และสูญเสียทุกอย่าง พวกเขาอาจรู้สึกถูกหลอกหลอนด้วยความคิดที่ว่า “หากตอนนั้นตัดสินใจไม่เข้าร่วม หรือทำบางสิ่งแตกต่างไป ชีวิตคงดีกว่านี้” ความคิดนี้เป็นเหมือน hauntology ที่คอยหลอกหลอนผู้คนด้วยความเป็นไปได้ของอดีตที่ไม่เกิดขึ้น 3. การฆ่าตัวตายและการหลีกหนีจากความรู้สึกถูกหลอกหลอน ในบางกรณี ความผิดหวังและความรู้สึกถูกหลอกหลอนด้วยอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้นนั้นอาจหนักหนาถึงขั้นที่ผู้เข้าร่วมในธุรกิจเหล่านี้รู้สึกว่าตนเองหมดหนทาง พวกเขาอาจเผชิญกับแรงกดดันทางการเงิน การสูญเสียความสัมพันธ์ในครอบครัว หรือการถูกตำหนิจากคนรอบข้าง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มความรู้สึกไร้ค่า และในที่สุดอาจทำให้เกิดความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้คนอาจรู้สึกว่าพวกเขากำลังหลบหนีจากความรู้สึกถูกหลอกหลอนนี้ พวกเขาอาจเห็นว่าอนาคตที่เคยหวังไว้ไม่สามารถกลับคืนมาได้ และความเจ็บปวดจากความผิดหวังนั้นมากเกินไปที่จะทนต่อได้ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในกรณีที่พบได้บ่อยคือผู้ที่ลงทุนเงินจำนวนมากในธุรกิจแชร์ลูกโซ่ แล้วพบว่าตนเองต้องเสียเงินทั้งหมด แทนที่จะได้ผลตอบแทน พวกเขาอาจต้องกู้เงินหรือขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อชำระหนี้ และความกดดันทางการเงินนี้กลายเป็นแรงกดดันทางจิตใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่าอนาคตที่หวังไว้ในการพ้นจากปัญหาทางการเงินหรือการบรรลุความสำเร็จนั้นหายไป ความผิดหวังและความรู้สึกสิ้นหวังอาจนำไปสู่ความซึมเศร้าอย่างรุนแรง Hauntology ในกรณีนี้จึงทำงานในลักษณะที่ว่า ผู้คนยังคงถูกหลอกหลอนด้วยความหวังที่ไม่เคยเป็นจริง อนาคตที่พวกเขาเคยเชื่อว่าจะได้สัมผัสกลับกลายเป็นอนาคตที่หายไป ทำให้พวกเขาติดอยู่ในวงจรของความเศร้า ความรู้สึกผิด ความผิดพลาดและการพลาดพลั้ง ตัวอย่าง ธุรกิจแชร์ลูกโซ่อย่าง OneCoin ที่ถูกพิสูจน์ว่าเป็นการหลอกลวง ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิด hauntology ในรูปแบบของการหลอกหลอนด้วยอนาคตที่หายไป ผู้ลงทุนถูกดึงดูดด้วยแนวคิดว่า OneCoin จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่จะสร้างความร่ำรวยเหมือน Bitcoin แต่นั่นเป็นเพียงภาพอนาคตที่ไม่เคยเกิดขึ้น เมื่อการหลอกลวงถูกเปิดเผย ผู้คนยังคงถูกหลอกหลอนด้วยความเสียใจและความคิดว่าพวกเขา “พลาด” โอกาสที่จะรวย การใช้แนวคิด hauntology ของ Fisher จึงช่วยอธิบายได้ว่า ธุรกิจขายตรงหรือแชร์ลูกโซ่เหล่านี้หลอกหลอนผู้คนอย่างไร ด้วยภาพของอนาคตที่เคยถูกสัญญาไว้ว่าจะเกิดขึ้นแต่กลับไม่เคยเป็นจริง และทำให้ผู้คนติดอยู่ในวงจรของความฝันที่ไม่สมหวังและความพลาดพลั้งได้ในระดับหนึ่ง ดังเช่น Zizek และ Jameson ได้กล่าวว่าการจินตนาการถึงจุดจบของโลกนั้นง่ายกว่าการพูดถึงจุดจบของระบบทุนนิยม ในความจริงแม้ว่าเราทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันว่าทุนนิยมกำลังฆ่าโลกไปทีละน้อย ดังเช่น การปล่อยของเสียสู่ชั้นบรรยากาศที่ทำให้เกิดภาวะโรคร้อน การทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศ การเติบโตของระบบทุนนิยมที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน ความขัดแย้งรุนแรงที่ป้อนให้เกิดการเหยียดเชื้อชาติ การกีดกันทางเพศ และความเกลียดกลัวเพศทางเลือก และอื่นๆ อีกทั้งเราก็ยังเห็นด้วยอีกว่าระบบทุนนิยมล้มเหลวในแง่ของการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางการเงิน แต่ถึงกระนั้น ดูเหมือนเราจะไม่สามารถที่จะจินตนาการถึงทางเลือกอื่นที่จะหลุดออกจากทุนนิยม แม้ว่าเราจะรู้ปัญหา แต่ด้วยความตีบตันถึงทางออกเหล่านี้ ก็ทำให้เราเพิกเฉย สยบยอมและกลับไปสู่การเป็นผู้บริโภคที่ดีในระบบทุนนิยม ในบทความของ Fisher เรื่อง “Good for Nothing” โดยมาร์ก ฟิชเชอร์ นักปรัชญาและนักสังคมวิทยา เขาได้นิยามลัทธิที่เรียกว่า magical voluntarism ว่าเป็นเหมือนความฝันลมๆแล้งๆหรือเปล่ากับสิ่งที่ปัจเจกชนคิดหรือคาดหวังจะเป็นอะไรก็ได้ที่ตัวเองอยากเป็น เช่นเดียวกับอุดมการณ์ครอบงำและเสมือนลัทธิทางศาสนาแบบหนึ่งของสังคมทุนนิยมร่วมสมัย ที่ถูกขับเคลื่อนโดยผู้เชี่ยวชาญในรายการทีวีเรียลลิตี้หรือผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ รวมทั้งพวกนักการเมือง ในแง่นี้ มันเกือบจะดูเหมือนเป็นพลังงานใหม่หรือเป็นสูตรมหัศจรรย์ที่ทุกคนสามารถสร้างและเป็นสิ่งที่พวกเขาใฝ่ฝันอยากจะเป็นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม ฟิชเชอร์ยังเน้นย้ำแง่มุมอื่นๆของเรื่องนี้ด้วย ตัวอย่างเช่นมองว่าสมาชิกของชนชั้นที่เป็นรองหรือผู้ถูกกดขี่ แต่ละคนได้รับการสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเขายากจน พวกเขาขาดโอกาส หรืออยู่ภายใต้สภาวะการว่างงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความผิดพลาดของพวกเขาเองแต่เพียงผู้เดียว มันเป็นด้านหนึ่งของภาวะซึมเศร้าที่เกืดขึ้นด้วย ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นพื้นฐานให้เกิดขึ้นกับพวกเขาก็คือ ความคิดที่ว่าพวกเราทุกคนมีความรับผิดชอบต่อความทุกข์ยากของเราเองและสมควรได้รับมัน สรุป ถ้าคุณยังไม่ดีพอ หรือถ้าคุณยังไม่ลงมือทำ ก็ถือว่าเป็นความผิดของคุณเอง...ในระบบทุนนิยม การพิจารณาของฟิชเชอร์นักวิชาการและนักปรัชญาชาวอังกฤษ ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นจากประวัติส่วนตัวของเขาเองที่ได้ประสบพบเจอ ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามาตลอดชีวิต และเขาได้พบวิธีที่จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผยอยู่เสมอ โดยการสำรวจที่มาของมัน ซึ่งไม่เพียงแต่ในชีวิตส่วนตัวของเขาเท่านั้น แต่ยังสังเกตถึงการเชื่อมโยงในแง่ของบริบทการเมืองและเศรษฐกิจในวงกว้างอีกด้วย ดังเช่นประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม นับตั้งแต่การค้าทาส การปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้สร้างผลกระทบทางร่างกายและจิตใจ การแข่งขัน ความกดดัน ความตึงเครียดทางสังคม ย่อมนำมาสู่ความซึมเศร้าและความเจ็บป่วย รวมทั้งการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การพิจารณาว่าใครสูง ต่ำกว่ากัน ใครดีกว่ากัน ใครด้อยกว่ากัน ใครถูกต้องหรือใครผิด ที่เกี่ยวโยงทั้งกับภาวะที่เรียกว่าการโยนความผิดและการโทษตัวเอง...เป็นความผิดอันเกิดจากระบบทุนนิยมและเป็นความรู้สึกผิดของผู้คนในระบบทุนนิยม การโยนความรับผิดชอบให้กับตัวปัจเจก ที่จะต้องแก้ไขที่ตัวเองก่อน หรือการลดขยะ ลดพลาสติกต้องเริ่มจากตัวเองก่อน ต้องมีการสร้างระบบการแยกขยะ การลดการถุงของคนที่ลดลง แต่เราไม่เคยโทษระบบทุนนิยมที่ผลิตถุงพลาสติก ทุนนิยมที่สร้างสินค้าต่างๆและโฆษณากระตุ้นให้คนบริโภคและปล่อยของเสียหรือขยะออกสู่ภายนอกจำนวนมาก มันคือการลดทอนปัญหาของสังคมให้กลายเป็นปัญหาของปัจเจก และผลักภาระในการดูแลจัดการปัญหาให้กับปัจเจกมากขึ้น Fisher เริ่มสืบค้นงานของ David Smail ที่เป็นคนทำงานเกี่ยวกับความเจ็บป่วยและสุขภาพ อีกทั้งเขายังเป็นคนที่ตั้งคำถามเรื่องอำนาจเป็นศูนย์กลางในการปฏิบัติงานของเขา เพื่อยืนยันสมมติฐานเกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าที่น่าสนใจ ในหนังสือสำคัญของเขาเรื่อง The Origins of Unhappiness โดย Smail อธิบายว่าเครื่องหมายของชนชั้นได้รับการออกแบบให้ติดตรึงอย่างถาวรและไม่สามาถลบมันออกไปได้ สำหรับผู้คน ที่ตั้งแต่เกิดถูกสอนให้คิดว่าตนเองต่ำต้อยอยู่เสมอ ความจริงที่ถูกก่อรูปอยู่ในความคิดของตนเองหรือในจิตใจของผู้อื่น ความรู้สึกแรกเริ่มของความไร้ค่าที่ได้ทำเครื่องหมายสำหรับพวกเขาไว้ตั้งแต่เริ่มต้นของชีวิต นั่นคือในโลกของระบบทุนนิยมที่มีการต่อสู้แข่งขัน มีการสร้างความเหลื่อมล้ำและชนชั้นในโลกที่เรามุ่งเป้าสู่ความสำเร็จที่เป็นสิ่งที่คนในสังคมทุนนิยมให้คุณค่าและยอมรับ ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนอีกกลุ่มรู้สึกด้อยค่าลงไป ในโลกสัจนิยมแบบทุน (Capitalist Realism) ในงานของ Fisher ทำให้เห็นการเชื่อมโยงกับความเจ็บป่วยสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ ภาวการณ์เป็นโรคซึมเศร้า ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อระบบทุนนิยม และเน้นย้ำว่าทุนนิยมไม่ใช่คำตอบสุดท้าย หรือเป็นสะพานที่พามนุษย์ไปสู่อนาคตที่มีความสุข ..มนุษย์จึงไม่ควรยอมรับและสยบยอมต่อระบบทุนนิยม ภาวะของอาการซึมเศร้าจึงเป็นทั้งสิ่งที่เป็นผลกระทบของระบบทุนนิยม และเป็นเสมือนกับผลประโยชน์ของระบบทุนนิยม เมื่อการเติบโตทางการแพทย์ การบริการด้านสุขภาพจิตกลายเป็นธุรกิจ โดยเฉพาะในช่วงLate Capital หรือทุนนิยมตอนปลายที่เน้นการเปลี่ยนแปลงจากการผลิต มาสู่เรื่องของการบริโภคสินค้าและบริการ โดยใช้เฉพาะการซื้อขายแลกเปลี่ยนในเรื่องของการปฏิสัมพันธ์ การเชื่อมโยงอารมณ์ความรู้สึกในงานบริการ….ที่มนุษย์ขายร่างกาย ขายทักษะ ขายอารมณ์ในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ ในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มมาในยุคแรกที่มนุษยสัมพันธ์กับ สัตว์และมนุษย์ มาสู่ยุคมนุษย์สัมพันธ์กับเครื่องจักร แล้วก็หันกลับเข้ามาสู่ยุคที่มนุษย์สัมพันธ์กับมนุษย์ในงานบริการ จนเคลื่อนมาสู่ยุคที่เทคโนโลยีกับมนุษย์มีปฎิสัมพันธ์กันมากขึ้น ยุคที่มนุษย์เริ่มลดบทบาทและความสำคัญลงเรื่อยๆ โลกก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้..โลกที่เต็มไปด้วยความไม่จริง ความหลอกลวง และการกดขี่ยิ่งกว่าเดิม ผมว่าใครสนใจสามารถอ่านงานของฟิชเชอร์ได้ในหลายๆเล่ม ที่ทำให้เราตั้งคำถามต่อสิ่งที่เรียกว่า ทุนนิยม…ระหว่างการเดินทางรถติด เช้าวันพุธ เราทุกคนล้วนเป็นผลจากระบบทุนนิยม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...