ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เพศวิถี การขายบริการทางเพศ และสิทธิอนามัยเจริญพันธ์ ในมิติทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ทำการบ้านหน่อย เพราะต้องเตรียมประเด็นแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาป.โท …ผมลองสำรวจหนังสือที่น่าสนใจซึ่งครอบคลุมประเด็นเกี่ยวกับสุขภาพการเจริญพันธุ์ การขายบริการทางเพศ และมิติทางมานุษยวิทยา มีหนังสือหลายเล่มที่น่าสนใจในปัจจุบันดังนี้ 1. Sex Work Matters: Exploring Money, Power, and Intimacy in the Sex Industry” โดย Melissa Hope Ditmore, Antonia Levy, และ Alys Willman หนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นการวิเคราะห์แง่มุมต่าง ๆ ของการขายบริการทางเพศ ทั้งในแง่เศรษฐกิจ การเมือง และผลกระทบทางสุขภาพของผู้ทำงานในอาชีพนี้ มีการศึกษาเรื่องการสร้างอำนาจในการตัดสินใจและการจัดการกับการตีตราในอาชีพขายบริการทางเพศ 2.Reproductive Justice: An Introduction โดย Loretta J. Ross และ Rickie Solinger หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดเรื่องความยุติธรรมทางการเจริญพันธุ์ โดยครอบคลุมการศึกษาเกี่ยวกับสิทธิในการควบคุมการเจริญพันธุ์และความยุติธรรมทางเพศ รวมถึงผลกระทบของนโยบายและการปฏิบัติต่อผู้หญิงในเรื่องสิทธิการเลือกที่เกี่ยวข้องกับการมีบุตร 3.The Managed Body: Developing Girls and Menstrual Health in the Global South” โดย Chris Bobel ซึ่งหนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นประเด็นสุขภาพการเจริญพันธุ์ที่เกี่ยวข้องกับวัยรุ่นผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา และสำรวจว่าปัจจัยทางวัฒนธรรม การศึกษา และเศรษฐกิจมีผลต่อการเข้าถึงข้อมูลและการจัดการสุขภาพของวัยรุ่นหญิงอย่างไร 4.Sex at the Margins: Migration, Labour Markets and the Rescue Industry” โดย Laura María Agustín หนังสือเล่มนี้พิจารณาประเด็นการขายบริการทางเพศในมุมมองของการอพยพและการทำงาน หนังสือวิเคราะห์ความเข้าใจเกี่ยวกับการช่วยเหลือหรือการ “กู้ชีพ” ซึ่งอาจขัดแย้งกับความต้องการและความเป็นจริงที่ผู้ขายบริการทางเพศต้องเผชิญ 5.Birth in the Age of AIDS: Women, Reproduction, and HIV/AIDS in India โดย Cecilia Van Hollen หนังสือเล่มนี้ศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของโรค HIV/AIDS ต่อผู้หญิงในอินเดีย โดยเฉพาะในประเด็นการตั้งครรภ์และการเจริญพันธุ์ แสดงให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการสุขภาพ และการจัดการกับอคติทางสังคมที่ผู้หญิงติดเชื้อ HIV ต้องเผชิญ หนังสือเหล่านี้จะช่วยเสริมความเข้าใจในมิติทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับสุขภาพการเจริญพันธุ์และการขายบริการทางเพศ รวมถึงแง่มุมต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้หญิงในสังคม หากมีเวลาผมจะลงรายละเอียดแต่ละเล่มในครั้งต่อไป ดังนั้น เมื่อพูดถึงคำว่า Reproductive Health ในมิติทางมานุษยวิทยา ผมถือเป็นแนวคิดที่พยายามทำความเข้าใจเรื่องสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์ผ่านเลนส์ทางมานุษยวิทยา โดยมองผ่านบริบททางวัฒนธรรม สังคม และโครงสร้างของชุมชน แนวคิดนี้เน้นการสำรวจว่าปัจจัยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ เพศสภาพ และบทบาททางสังคม มีผลต่อการเข้าถึงและการตีความหมายของสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์อย่างไร ประเด็นสำคัญในมุมมองทางมานุษยวิทยาของ Reproductive Health อาทิเช่น 1. ผลกระทบของวัฒนธรรมและความเชื่อทางศาสนา โดยวัฒนธรรมและศาสนามีบทบาทสำคัญในการกำหนดบทบาทของผู้หญิงและผู้ชายในด้านการเจริญพันธุ์ ตัวอย่างเช่น ในหลายชุมชน ผู้หญิงถูกมองว่ามีหน้าที่หลักในการสืบพันธุ์และเลี้ยงดูบุตร ซึ่งอาจส่งผลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพการเจริญพันธุ์ของพวกเขา มานุษยวิทยาจึงพยายามทำความเข้าใจว่าความเชื่อเหล่านี้มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การทำแท้ง และการวางแผนครอบครัวอย่างไร 2. อำนาจและการเข้าถึงทรัพยากรทางสุขภาพ ในหลายสังคม การเข้าถึงบริการสุขภาพการเจริญพันธุ์อาจถูกจำกัดด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม เช่น ผู้หญิงในพื้นที่ชนบทห่างไกลหรือในสังคมที่ยังมีความเชื่อดั้งเดิมเข้มข้นอาจไม่มีโอกาสเข้าถึงบริการฝากครรภ์ บริการทำแท้งที่ปลอดภัย หรือการให้ความรู้เรื่องการวางแผนครอบครัว มานุษยวิทยาสำรวจว่าผู้คนในชุมชนเหล่านี้เผชิญกับข้อจำกัดอย่างไร รวมถึงวิธีที่พวกเขาปรับตัวเพื่อเข้าถึงบริการเหล่านี้ 3. บทบาททางเพศและการแบ่งแยกอำนาจ ซึ่ง มานุษยวิทยาใช้แนวคิดเรื่อง gender roles เพื่อทำความเข้าใจว่าบทบาทของเพศมีผลต่อการตัดสินใจด้านการเจริญพันธุ์อย่างไร ในหลายวัฒนธรรม ผู้ชายมักมีอำนาจมากกว่าในการตัดสินใจ เช่น การมีบุตรหรือไม่ การทำแท้ง หรือการคุมกำเนิด ซึ่งอาจทำให้ผู้หญิงไม่สามารถควบคุมสุขภาพการเจริญพันธุ์ของตนเองได้ 4. การเปลี่ยนแปลงของค่านิยมและการสืบทอดประเพณี ความเชื่อและค่านิยมเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์อาจเปลี่ยนแปลงตามการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษา เช่น ในหลายชุมชนแบบดั้งเดิม การมีบุตรจำนวนมากถือเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม แต่เมื่อมีการเข้าถึงการศึกษาและความรู้เกี่ยวกับการคุมกำเนิดเพิ่มขึ้น คนรุ่นใหม่อาจเลือกที่จะมีบุตรน้อยลง หรือวางแผนครอบครัวที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตใหม่ ๆ มานุษยวิทยาสำรวจว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลกระทบต่อค่านิยมในชุมชนอย่างไร 5. การศึกษาและการพัฒนาความรู้ด้านการเจริญพันธุ์ การให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์เป็นเรื่องสำคัญในมิติทางมานุษยวิทยา เพราะการขาดความรู้หรือการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องอาจทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เช่น การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ มานุษยวิทยามุ่งสำรวจว่าการให้ความรู้ด้านนี้เป็นไปในลักษณะใดในบริบทที่หลากหลาย และสำรวจว่าการสื่อสารเรื่องการเจริญพันธุ์ในชุมชนต่าง ๆ มีรูปแบบและวิธีการที่แตกต่างกันอย่างไร ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่เห็นในปัจจุบัน เราจะพบว่าในบางภูมิภาคของแอฟริกา การมีลูกจำนวนมากถือเป็นการสร้างสถานะทางสังคม และครอบครัวใหญ่มีบทบาทสำคัญในการรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกัน ในหลายประเทศกำลังพัฒนา ผู้หญิงที่ต้องการคุมกำเนิดหรือเลือกทำแท้งอาจประสบกับแรงกดดันจากครอบครัวและสังคม ซึ่งไม่ยอมรับการตัดสินใจดังกล่าว ในประเทศอินเดียและบางประเทศในเอเชีย การเลือกเพศของบุตรยังคงเป็นปัญหาที่มีความเกี่ยวข้องกับค่านิยมทางเพศและการสืบทอดมรดก ในกรณีนี้ การตัดสินใจเกี่ยวกับการเจริญพันธุ์มีความเชื่อมโยงกับบทบาททางเพศและคุณค่าที่สังคมให้กับเพศชายมากกว่าเพศหญิง ในประเทศแถบยุโรป การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิการทำแท้งและการเข้าถึงบริการทางเพศและการเจริญพันธุ์ที่ปลอดภัยเป็นประเด็นที่ถูกขับเคลื่อนอย่างกว้างขวาง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมและการยอมรับในสิทธิส่วนบุคคลของผู้หญิงในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพการเจริญพันธุ์ของตนเอง การศึกษาสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์ในมิติทางมานุษยวิทยาจึงทำให้เราเข้าใจว่า การที่บุคคลหนึ่งจะสามารถควบคุมสุขภาพการเจริญพันธุ์ของตนเองได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสุขภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีบริบททางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเหล่านี้ ดังนั้น เมื่อเราลองเชื่อมโยงประเด็นเรื่อง สุขภาพการเจริญพันธุ์ (Reproductive Health) เข้ากับประเด็นของ การขายบริการทางเพศ ในมิติทางมานุษยวิทยา จะพบว่ามีหลายแง่มุมที่เกี่ยวข้องกัน ทั้งในด้านของความเชื่อ บทบาททางเพศ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และผลกระทบทางสุขภาพ ซึ่งแต่ละแง่มุมส่งผลให้เกิดปัญหาที่ซับซ้อนและยากต่อการแก้ไขในหลายสังคม มุมมองทางมานุษยวิทยาที่เชื่อมโยงระหว่างสุขภาพการเจริญพันธุ์กับการขายบริการทางเพศ 1. การเข้าถึงบริการสุขภาพการเจริญพันธุ์ ผู้ที่ทำงานในอาชีพขายบริการทางเพศมักเผชิญกับความยากลำบากในการเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศที่ปลอดภัย เช่น การตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิด หรือการดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ ผู้ที่ทำงานขายบริการในบางประเทศอาจได้รับผลกระทบจากข้อจำกัดทางกฎหมายที่ทำให้พวกเขาไม่กล้าไปพบแพทย์หรือขอความช่วยเหลือด้านสุขภาพ เนื่องจากกลัวว่าจะถูกเปิดโปงหรือถูกจับกุม มิติทางมานุษยวิทยาจึงเน้นการสำรวจว่าปัจจัยทางวัฒนธรรมและกฎหมายในแต่ละสังคมมีผลต่อการเข้าถึงบริการเหล่านี้อย่างไร 2.บทบาทและค่านิยมทางเพศ ในบางวัฒนธรรม ผู้หญิงที่ทำงานในอาชีพขายบริการทางเพศอาจถูกมองว่าเป็นผู้ที่ “เบี่ยงเบน” จากบทบาทที่สังคมคาดหวังให้ผู้หญิงเป็น เช่น การทำหน้าที่เป็นแม่หรือผู้ดูแลในครอบครัว มานุษยวิทยามุ่งศึกษาและท้าทายค่านิยมเหล่านี้เพื่อสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นว่าทำไมผู้หญิงบางคนถึงเลือกทำงานขายบริการ และพวกเขามีวิธีการจัดการกับทัศนคติทางสังคมเหล่านี้อย่างไร 3. ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและโครงสร้างอำนาจ การขายบริการทางเพศมักเกี่ยวข้องกับประเด็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งบีบบังคับให้ผู้หญิงหรือกลุ่มเปราะบางบางกลุ่มต้องเข้ามาทำงานในอาชีพนี้ มานุษยวิทยาจึงให้ความสำคัญกับการศึกษาเงื่อนไขทางเศรษฐกิจและโครงสร้างทางสังคมที่ผลักดันให้ผู้คนเข้าสู่อาชีพขายบริการ และสำรวจว่าอาชีพนี้สร้างผลกระทบต่อชีวิตและการควบคุมสุขภาพการเจริญพันธุ์ของพวกเขาอย่างไร 4. สิทธิทางสุขภาพและการคุ้มครองทางกฎหมายโดย มิติทางมานุษยวิทยายังสนใจศึกษาเรื่องการคุ้มครองสิทธิทางสุขภาพของผู้ที่ทำงานขายบริการทางเพศ ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศที่ยอมรับการขายบริการอย่างถูกกฎหมาย เช่น เนเธอร์แลนด์ มีการจัดตั้งระบบเพื่อดูแลสิทธิและสวัสดิการของผู้ที่ทำงานในอาชีพนี้ให้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพทางเพศได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ในประเทศที่ไม่ยอมรับการขายบริการ ผู้ทำงานในอาชีพนี้อาจไม่ได้รับการปกป้องทางกฎหมายและต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ 5. การจัดการกับการตีตราและการยอมรับตนเองการขายบริการทางเพศมักถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ถูกตีตรา ทำให้ผู้ทำงานในสายอาชีพนี้ต้องเผชิญกับการประณามจากสังคม การวิจัยในมุมมองมานุษยวิทยาพยายามที่จะเข้าใจวิธีที่ผู้คนในอาชีพนี้จัดการกับการตีตรา ทั้งในด้านการปกป้องความเป็นตัวตนของตนเอง การสร้างกลุ่มสนับสนุน และการพัฒนากลยุทธ์เพื่อจัดการกับทัศนคติของสังคมที่ไม่เห็นด้วย 6. การควบคุมการตั้งครรภ์และสิทธิในการตัดสินใจของร่างกาย โดยการทำงานในอาชีพขายบริการทางเพศมักสร้างปัญหาเกี่ยวกับสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ การใช้วิธีการคุมกำเนิด รวมถึงความปลอดภัยในการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ทำงานขายบริการถูกบังคับหรือไม่ได้รับสิทธิในการเลือกปฏิบัติ มิติทางมานุษยวิทยาจึงศึกษาและพิจารณาปัจจัยทางสังคมที่กำหนดว่าผู้ทำงานในอาชีพนี้มีอิสระในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพการเจริญพันธุ์มากน้อยแค่ไหน ตัวอย่างเชิงรูปธรรม ดังเช่น ในบางประเทศ เช่น อินเดียหรือไทย การขายบริการทางเพศถูกห้ามตามกฎหมาย ทำให้ผู้หญิงที่ทำงานในอาชีพนี้ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ไม่สามารถเรียกร้องสิทธิทางสุขภาพหรือความปลอดภัยจากผู้ใช้บริการได้อย่างเต็มที่ หรือ ในประเทศแถบยุโรป เช่น เยอรมนี การขายบริการเป็นอาชีพที่ได้รับการรับรองอย่างถูกกฎหมาย ผู้หญิงในอาชีพนี้สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่ครอบคลุม ซึ่งรวมถึงการตรวจโรคและการคุมกำเนิด ในกรณีนี้ มิติทางมานุษยวิทยาแสดงให้เห็นถึงผลของกฎหมายและนโยบายที่เป็นมิตรกับสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์ของผู้ทำงานในอาชีพนี้ หรือในสังคมบางแห่งในแอฟริกา ผู้ที่ทำงานขายบริการทางเพศเผชิญกับความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ HIV/AIDS เนื่องจากการขาดความรู้และทรัพยากรที่เพียงพอในการป้องกันตนเอง การศึกษาในมิติทางมานุษยวิทยาทำให้เราเข้าใจว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและการขาดการสนับสนุนจากรัฐเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงสูงเหล่านี้ การเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพการเจริญพันธุ์กับการขายบริการทางเพศจึงช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้เราเห็นว่าการสนับสนุนสิทธิและบริการสุขภาพที่เหมาะสมไม่ใช่เพียงการแก้ปัญหาด้านสุขภาพ แต่ยังต้องส่งเสริมสิทธิ ความเท่าเทียม และการยอมรับทางสังคมที่ดีขึ้นสำหรับผู้ที่อยู่ในอาชีพนี้ด้วย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...