ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การอธิบายการดื่มแอลกอฮอล์ ผ่านแนวคิดปรากฏการณ์วิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เริ่มจากคำถามว่า เราจะอธิบายการดื่มแอลกอฮอลล์ผ่านแนวคิด Phenomenology และ lived experience ของผู้ดื่มอย่างไร ในฐานะที่ผมเป็นนักมานุษยวิทยา และเรียนวิชาทางมานุษยวิทยาการแแพทย์ จิตวิทยาสุขภาพ เศรษฐศาสตร์สุขภาพ สิ่งหนึ่งที่ที่ถูกสอนนอกจากทำความเข้าใจมนุษย์แล้ว ก็คือการหาแนวทางแก้ปัญหาจากความเข้าใจนั้น Maurice Merleau-Ponty เสนอว่าการรับรู้เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรงผ่านร่างกาย ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับโลกภายนอก การรับรู้ไม่ได้เกิดจากประสาทสัมผัสเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของการมีประสบการณ์ที่มีร่างกายในโลก หนังสือเล่มนี้ท้าทายแนวคิดทางปรัชญาและจิตวิทยาที่มองว่าการรับรู้เป็นเพียงกระบวนการเชิงกล ทั้งนี้ Merleau-Ponty เน้นว่าร่างกายของเรามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของการรับรู้และการมีตัวตนในโลก เมื่อเราการมองปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ผ่านแนวความคิดของ Maurice Merleau-Ponty ในแนวคิดแบบ Phenomenology of Perception ผมว่าสามารถนำมาใช้อธิบายได้โดยเน้นที่การรับรู้ผ่านร่างกาย และความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับโลก ซึ่งจะแตกต่างจากการมองปัญหาดื่มผ่านมุมมองทางชีววิทยาหรือจิตวิทยาแบบแยกส่วน การวิเคราะห์ปัญหาการดื่มจากการนำมุมมองของ Merleau-Ponty มาใช้มีดังนั้น 1. การดื่มเป็นการรับรู้แบบประสบการณ์โดยตรง การดื่มไม่ใช่แค่การรับสารแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกายเพื่อสร้างผลกระทบทางเคมี แต่เป็นประสบการณ์ทางร่างกายที่เชื่อมโยงกับการมีตัวตนในโลก เช่น การดื่มในการสังสรรค์กับผู้อื่นเป็นการกระทำที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและสังคม การดื่มในบริบทนี้เป็นได้ทั้งประสบการณ์ทางร่างกายและสังคม โดยผู้ดื่มอาจไม่เพียงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เช่น การรู้สึกมึนเมา แต่ยังมีการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและความสัมพันธ์กับคนรอบตัว ซึ่งเป็นการรวมตัวของการรับรู้ที่มีร่างกายเป็นสื่อกลาง 2. การดื่มและการเปลี่ยนแปลงของการรับรู้ เมื่อดื่มแอลกอฮอล์ การรับรู้ของร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ซึ่งสามารถอธิบายผ่านมุมมองของ ร่างกายที่มีชีวิต (lived body) Merleau-Ponty อธิบายว่าร่างกายไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ถูกควบคุมโดยจิต แต่เป็นสิ่งที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลก การดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ร่างกายรู้สึกต่างจากเดิม เช่น ความสามารถในการเคลื่อนไหว หรือการรับรู้ความลึกและพื้นที่อาจบิดเบือนไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นผลมาจากการดื่มในฐานะประสบการณ์ร่างกายไม่ใช่เพียงแค่กระบวนการทางชีวเคมี ดังนั้นการดื่มทำให้การเคลื่อนไหวหรือปฏิสัมพันธ์กับวัตถุรอบตัวเปลี่ยนไป เช่น ความสามารถในการขับรถหรือลำดับท่าทางในการทำสิ่งต่าง ๆ 3. บริบททางสังคมและร่างกายต่อการรับรู้ ปัญหาการดื่มมักเชื่อมโยงกับบริบททางสังคม เช่น การดื่มเพื่อเข้าสังคม การดื่มเพื่อคลายเครียด หรือการดื่มในสถานการณ์ทางวัฒนธรรมบางอย่าง Merleau-Ponty อธิบายว่าร่างกายไม่สามารถแยกออกจากบริบททางสังคมได้ การดื่มในลักษณะนี้จึงเป็นการรับรู้และตอบสนองต่อโลกที่สัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นความกดดันทางสังคม หรือการสร้างตัวตนผ่านพฤติกรรมการดื่ม ตัวอย่างเช่น ในบางวัฒนธรรม การดื่มอาจมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม เมื่อบุคคลดื่มกับเพื่อนหรือครอบครัว ร่างกายรับรู้ถึงความเป็นกลุ่มก้อน และการดื่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงความเชื่อมโยงกับผู้อื่น 4. การหลีกหนีจากโลกผ่านการดื่ม Merleau-Ponty กล่าวถึงแนวคิดเรื่องการที่ร่างกายมีปฏิสัมพันธ์กับโลก แต่ในกรณีของปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์ บางครั้งการดื่มเป็นวิธีที่บุคคลใช้ในการ หลีกหนีจากความเป็นจริงหรือการรับรู้โลกตามปกติ เมื่อคนดื่มแอลกอฮอล์เพื่อหลีกหนีจากปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับโลกจะเปลี่ยนไป โดยร่างกายพยายามสร้างโลกทางเลือก ผ่านการรับรู้ที่ผิดเพี้ยนหรือบิดเบี้ยว ดังเช่น การดื่มมากเกินไปทำให้บุคคลรู้สึกว่าเขาหรือเธอสามารถหลีกหนีจากความรับผิดชอบหรือปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตได้ชั่วคราว ซึ่งเป็นการบิดเบือนการรับรู้ในลักษณะที่ร่างกายไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอกอย่างเต็มที 5. การฟื้นฟูสภาพร่างกายและการกลับสู่การรับรู้ปกติ หลังจากการดื่มหนัก บุคคลอาจประสบกับอาการเมาค้าง ซึ่งเป็นสภาวะที่ร่างกายกำลังปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งกระบวนการนี้สามารถอธิบายได้ว่าเป็นการคืนค่าความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับโลก เมื่อร่างกายฟื้นตัวจากผลกระทบของแอลกอฮอล์ การรับรู้ถึงโลกและการมีตัวตนในสังคมจะกลับมาเหมือนเดิม แต่ในช่วงเวลานี้ บุคคลอาจรู้สึกถึงความไม่สมดุล เช่น การเคลื่อนไหวที่ลำบาก หรือความสามารถในการรับรู้ที่ช้าลง โดยการฟื้นตัวนี้แสดงให้เห็นว่าร่างกายและการรับรู้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน และเมื่อร่างกายได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์ การรับรู้ของเราจะบิดเบือนไปจนกว่าร่างกายจะสามารถปรับตัวกลับสู่ภาวะปกติ สรุปได้ว่า การมองปัญหาการดื่มแอลกอฮอล์จากแนวความคิดของ Merleau-Ponty ทำให้เราเห็นว่าการดื่มไม่ใช่เพียงแค่การบริโภคสารเคมี แต่เป็นประสบการณ์ทางร่างกายที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้ของเราในโลก การดื่มเป็นทั้งประสบการณ์ทางสังคมและส่วนตัวที่เชื่อมโยงกับความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและสิ่งแวดล้อม การวิเคราะห์ปัญหาการดื่มในลักษณะนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า ร่างกายและการรับรู้ เป็นศูนย์กลางของการดำเนินชีวิตของมนุษย์ และผลกระทบของการดื่มเกี่ยวข้องกับการบิดเบือนของประสบการณ์การดำรงอยู่ในโลก….

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...