ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

อาหารกับเพศ เมื่อผู้หญิงทำอาหาร โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มันจะมีอะไรดีกว่า อ่านหนังสือ เขียนงาน ทำงานวิชาการที่ชอบ ปิดเทอมควรเป็นเวลาที่ได้ทำในแบบนี้ แต่ทุกวันนี้มีงานอื่นๆเข้ามาแทรกและเยอะ อยู่กับสิ่งที่ไม่ใช่การสอนจนไม่มีเวลาทำงานวิชาการ แต่หากว่างก็ให้เวลากับตัวเองในการสรุปงาน หนังสือเอกสารที่อ่านไว้เป็นวัตถุดิบในการสอน มานุษยวิทยาว่าด้วยเพศและเพศวิถี..และโยงเช้ากับประเด็นต่างๆที่เล่นกับแนวคิดได้ อาหารก็เป็นเรื่องหนึ่ง นึกถึงเล่มนี้เลย เคยรีวิวคร่าวๆมาแล้ว.. เมื่อพูดถึงหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" โดย Carole M. Counihan เป็นงานวิจัยที่สำคัญในด้านมานุษยวิทยา ซึ่งสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและเพศสภาพ โดยมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ว่าอาหารมีบทบาทอย่างไรในการสร้างและสะท้อนถึงอัตลักษณ์และอำนาจทางเพศในสังคมต่าง ๆ สาระสำคัญของหนังสือที่น่าสนใจที่พอสรุปได้คือ 1. อาหารและอัตลักษณ์ทางเพศ หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ว่าอาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างและกำหนดอัตลักษณ์ทางเพศ อาหารไม่เพียงแต่สะท้อนถึงความแตกต่างทางเพศ แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้ในการยืนยันหรือท้าทายบทบาททางเพศที่ถูกกำหนดโดยสังคม กระบวนการตั้งแต่ การเลือกอาหาร การเตรียมอาหาร และการบริโภคอาหารมักถูกกำหนดโดยบรรทัดฐานและค่านิยมทางเพศ ตัวอย่างเช่น ในหลายวัฒนธรรม ผู้หญิงมักรับผิดชอบการทำอาหารในครัวเรือน ในขณะที่ผู้ชายมักได้รับบทบาทในด้านการล่าสัตว์หรือการจัดหาอาหาร 2. อำนาจและการควบคุม Counihan ชี้ให้เห็นว่าอาหารเป็นเครื่องมือในการควบคุมและแสดงอำนาจ อำนาจในการควบคุมการเข้าถึงและการแจกจ่ายอาหารมักตกอยู่ในมือของผู้ที่มีสถานะสูงกว่าในโครงสร้างทางสังคม เช่น ผู้นำครอบครัวหรือผู้นำชุมชน โดย การควบคุมอาหารสามารถใช้เป็นวิธีการกดขี่หรือสนับสนุนอำนาจ เช่น การอดอาหารเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้หญิงในบางสังคมใช้เพื่อประท้วงหรือเรียกร้องสิทธิ์ของตนเอง 3. บทบาทของผู้หญิงในระบบอาหาร หนังสือสำรวจบทบาทของผู้หญิงในการผลิต การเตรียม และการบริโภคอาหาร โดยให้ความสำคัญกับวิธีที่ผู้หญิงใช้บทบาทเหล่านี้ในการสร้างความหมายและความสำคัญในชีวิตประจำวัน ซึ่ง Counihan อธิบายว่าผู้หญิงมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และประเพณีเกี่ยวกับอาหารจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเป็นการสร้างและรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม 4. วัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลง หนังสือกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและผล กระทบของโลกาภิวัตน์ต่อบทบาททางเพศและการปฏิบัติการทางอาหาร การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการแพร่กระจายของอาหารแบบต่าง ๆ ทำให้เกิดการปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงในบทบาททางเพศและอัตลักษณ์ทางอาหาร สรุป Food and Gender: Identity and Power ของ Carole M. Counihan เป็นหนังสือที่สำคัญที่ศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและเพศสภาพ โดยเน้นไปที่การสร้างอัตลักษณ์และอำนาจทางเพศผ่านการปฏิบัติและบทบาทที่เกี่ยวข้องกับอาหารในวัฒนธรรมต่าง ๆ ช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของอาหารและเพศในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม รวมถึงวิธีที่อาหารเป็นเครื่องมือในการแสดงและต่อรองอำนาจในชีวิตประจำวัน Carole M. Counihan ยกตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่สำคัญจากหลากหลายวัฒนธรรมและบริบททางสังคมทั่วโลก ที่เชื่อมโยงอาหารกับเพศ ตัวอย่างเช่น 1. อิตาลี มีการควบคุมอาหารในครอบครัว Counihan อธิบายถึงบทบาทของผู้หญิงในครอบครัวอิตาเลียนที่มีหน้าที่ในการจัดเตรียมและจัดการอาหาร ผู้หญิงมักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ครอบครัวจะกิน การเตรียมอาหารเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้หญิงอิตาเลียนสามารถแสดงความรักและการดูแลครอบครัวได้ นอกจากนี้มีกรณีการอดอาหารเป็นการประท้วง ผู้หญิงใช้อาหารเป็นเครื่องมือในการประท้วงหรือต่อรองอำนาจ เช่น การอดอาหารเพื่อแสดงความไม่พอใจหรือเรียกร้องความสนใจจากสมาชิกในครอบครัว 2. สหรัฐอเมริกา อาหารและอัตลักษณ์ทางเพศมีความเกี่ยวโยงกัน หนังสือกล่าวถึงวิธีที่อาหารในสหรัฐอเมริกาถูกใช้ในการสร้างและยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศ ตัวอย่างเช่น การตลาดอาหารที่มุ่งเน้นไปที่ผู้ชายและผู้หญิงแยกจากกัน เช่น อาหารที่มีแคลอรีต่ำหรืออาหารเสริมสำหรับการสร้างกล้ามเนื้อ เป็นต้น หรือประเด็นของการเลือกอาหารและอำนาจ ที่พบว่าการเลือกอาหารในครอบครัวอเมริกันมักสะท้อนถึงอำนาจและการควบคุมในครอบครัว ผู้หญิงมักรับผิดชอบในการเลือกซื้อและเตรียมอาหาร ซึ่งทำให้พวกเธอมีอำนาจในบางด้าน แต่ก็อาจเป็นภาระและข้อจำกัดเช่นกัน 3. ญี่ปุ่น อาหารและประเพณีมีความสัมพันธ์กัน หนังสือกล่าวถึงบทบาทของผู้หญิงญี่ปุ่นในการเตรียมอาหารตามประเพณี เช่น การทำเบนโตะ (ข้าวกล่อง) ให้กับสมาชิกในครอบครัว การทำเบนโตะไม่เพียงแต่เป็นหน้าที่ในการจัดหาอาหาร แต่ยังเป็นวิธีการแสดงความใส่ใจและการดูแล ประเด็นการควบคุมอาหารและอำนาจในครอบครัวกรณีในครอบครัวญี่ปุ่น ผู้หญิงมักมีบทบาทสำคัญในการตัดสินใจเกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ ซึ่งเป็นการแสดงอำนาจในบริบทของการดูแลครอบครัวที่ผู้หญิงครอบครองแต่ผู้เดียว 4. แอฟริกา ในเรื่องการเกษตรและอาหาร Counihan อธิบายถึงบทบาทของผู้หญิงในชุมชนเกษตรกรรมในแอฟริกา ผู้หญิงมักเป็นผู้รับผิดชอบในการปลูกพืชอาหารและจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การควบคุมและการเข้าถึงอาหารเป็นเรื่องสำคัญที่สะท้อนถึงอำนาจและการมีส่วนร่วมในชุมชน อาหารและการเฉลิมฉลองมีความสัมพันธ์กัน การเตรียมอาหารสำหรับการเฉลิมฉลองและพิธีกรรมในหลายชุมชนแอฟริกามักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง การทำอาหารในบริบทนี้เป็นวิธีการแสดงอำนาจและบทบาททางสังคมของผู้หญิงในชุมชน โดยสรุป หนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" ใช้ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหลากหลายวัฒนธรรมและบริบททางสังคม เช่น อิตาลี สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และแอฟริกา เพื่อแสดงให้เห็นว่าอาหารและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับอาหารมีบทบาทสำคัญในการสร้างและสะท้อนอัตลักษณ์ทางเพศและอำนาจ หนังสือยังเน้นให้เห็นว่าแม้ว่าผู้หญิงจะมีบทบาทสำคัญในการจัดการและเตรียมอาหาร แต่บทบาทนี้สามารถเป็นทั้งการแสดงอำนาจและการถูกจำกัดในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม Carole M. Counihan ใช้แนวคิดหลายประการจากหลากหลายสาขาวิชามาสำรวจและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร เพศสภาพ อัตลักษณ์ และอำนาจ แนวคิดหลักที่หนังสือใช้ประกอบด้วย 1. แนวคิดเรื่องเพศ (Gender Theory) บทบาททางเพศและบรรทัดฐานทางสังคม หนังสือวิเคราะห์ว่าเพศสภาพและบทบาททางเพศถูกกำหนดและสะท้อนผ่านการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับอาหารอย่างไร เช่น การเตรียมอาหารและการบริโภคอาหารที่ถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของผู้หญิงหรือผู้ชายในแต่ละวัฒนธรรม การกดขี่และการต่อรองอำนาจ แนวคิดเรื่องการกดขี่ทางเพศและการต่อรองอำนาจผ่านอาหารถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าผู้หญิงใช้การทำอาหารเป็นวิธีการต่อรองอำนาจหรือแสดงความไม่พอใจในโครงสร้างทางเพศที่ไม่ยุติธรรม 2. มานุษยวิทยาทางอาหาร (Anthropology of Food) อาหารเป็นวัฒนธรรม ซึ่งอาหารถูกมองว่าเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของวัฒนธรรมและเป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม หนังสืออธิบายว่าอาหารและการปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับอาหารสะท้อนถึงความเชื่อและค่านิยมของสังคมอย่างไร อาหารและความหมาย โดย Carole M. Counihan ใช้แนวคิดเรื่องความหมายที่เกี่ยวข้องกับอาหารเพื่อวิเคราะห์ว่าการเลือกอาหาร การเตรียมอาหาร และการบริโภคอาหารสร้างความหมายและความสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างไร 3. แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ (Identity Theory) มองการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศและวัฒนธรรม โดยอาหารถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างและยืนยันอัตลักษณ์ทางเพศและวัฒนธรรม หนังสือวิเคราะห์ว่าอาหารมีบทบาทอย่างไรในการสร้างความหมายเกี่ยวกับเพศสภาพและการเป็นสมาชิกของกลุ่มวัฒนธรรมหนึ่ง แนวคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ผ่านอาหารถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายว่าการปฏิบัติทางอาหารสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรในบริบทของการย้ายถิ่นฐานหรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 4. แนวคิดเรื่องอำนาจ (Power Theory) มองเรื่องของอำนาจและการควบคุมอาหาร โดย Carole M. Counihan ใช้แนวคิดเรื่องอำนาจในการวิเคราะห์ว่าการควบคุมและการเข้าถึงอาหารเป็นวิธีการแสดงอำนาจในครอบครัวและสังคมอย่างไร การเตรียมอาหารและการแจกจ่ายอาหารสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและกดขี่ กรณีการต่อสู้เพื่ออำนาจผ่านอาหาร โดยการใช้การอดอาหารหรือการเลือกอาหารเป็นวิธีการประท้วงและการต่อสู้เพื่ออำนาจถูกนำมาใช้ในการวิเคราะห์ว่าผู้หญิงในหลายวัฒนธรรมใช้วิธีนี้ในการต่อรองอำนาจอย่างไร 5. แนวคิดเรื่องปฏิบัติทางสังคม (Social Practice Theory) การปฏิบัติการทางอาหารในชีวิตประจำวัน ซึ่ง Carole M. Counihan ใช้แนวคิดเรื่องการปฏิบัติการทางสังคมในการวิเคราะห์ว่าการกระทำที่เกี่ยวข้องกับอาหารในชีวิตประจำวันสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมอย่างไร การทำอาหารและการกินอาหารถูกมองว่าเป็นปฏิบัติที่มีความหมายและความสำคัญทางสังคม โดยสรุปหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" ใช้แนวคิดจากหลายสาขาวิชา เช่น แนวคิดเรื่องเพศ มานุษยวิทยาทางอาหาร แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ อำนาจ และปฏิบัติทางสังคม เพื่อวิเคราะห์และอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและเพศสภาพในบริบททางวัฒนธรรมและสังคมต่าง ๆ แนวคิดเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าการปฏิบัติทางอาหารไม่เพียงแค่สะท้อนถึงบทบาทและอัตลักษณ์ทางเพศ แต่ยังเป็นเครื่องมือในการต่อรองและแสดงอำนาจในชีวิตประจำวันของผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม แม้ว่าหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" จะเป็นหนังสือที่น่าสนใจ แต่หนังสือเล่มนี้ก็มีข้อวิจารณ์ที่ควรพิจารณาด้วย ในบางประเด็นเช่น 1. มุมมองที่เน้นไปที่วัฒนธรรมตะวันตก Carole M. Counihan เน้นไปที่วัฒนธรรมตะวันตกเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้มุมมองและการวิเคราะห์ขาดความหลากหลายของวัฒนธรรมอื่นๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่ได้รับการสำรวจหรือศึกษามากพอ เช่น บางพื้นที่ในแอฟริกา เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรืออเมริกาใต้ 2. การให้ความสำคัญกับบทบาทของผู้หญิงมากเกินไป ในขณะที่ Carole M. Counihan มีการสำรวจบทบาทของผู้หญิงในเรื่องอาหารอย่างลึกซึ้ง แต่บางครั้งก็มุ่งเน้นบทบาทของผู้หญิงมากเกินไปจนมองข้ามบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้ชายในด้านเดียวกัน การทำเช่นนี้อาจทำให้ภาพรวมของการจัดสรรบทบาททางเพศในเรื่องอาหารขาดความสมดุลและสอดคล้องกับความจริงในบางสังคม ที่ผู้ชายก็ทำอาหาร และอาจเป็นผู้ทำหลักในครอบครัว 3. การตีความอำนาจที่ซับซ้อน แนวคิดเกี่ยวกับอำนาจและการควบคุมอาหารในหนังสือบางครั้งถูกมองว่าเป็นการตีความที่ซับซ้อนและอาจทำให้ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจได้ยาก การวิเคราะห์เรื่องอำนาจในบริบทของการเตรียมและบริโภคอาหารบางครั้งอาจดูเป็นนามธรรมและยากต่อการเชื่อมโยงกับประสบการณ์จริงของผู้คน 4. การขาดกรอบทฤษฎีที่ชัดเจน บางวิจารณ์ชี้ว่า Counihan ไม่ได้เสนอกรอบทฤษฎีที่ชัดเจนและเป็นระบบเพียงพอสำหรับการศึกษาอาหารและเพศสภาพ ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่าการวิเคราะห์ในหนังสือขาดความสอดคล้องและความชัดเจนในทางทฤษฎี 5. การใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ บางครั้งข้อมูลเชิงประจักษ์ที่ Counihan ใช้อาจถูกวิจารณ์ว่าไม่ครอบคลุมพอหรือไม่ได้อิงกับการวิจัยภาคสนามที่เพียงพอ การใช้ข้อมูลจากแหล่งที่สองหรือการวิจัยของนักวิชาการอื่นๆ อาจทำให้ข้อสรุปบางอย่างขาดความแน่นอน และขาดข้อมูลเชิงอัตวิสัย อารมณ์และความรู้สึก สรุป แม้ว่าหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" ของ Carole M. Counihan จะมีข้อดีหลายประการในการสำรวจและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและเพศสภาพ แต่ก็มีข้อวิจารณ์ที่ควรพิจารณาในด้านมุมมองวัฒนธรรม การตีความบทบาทและอำนาจ รวมถึงกรอบทฤษฎีและการใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์ ข้อวิจารณ์เหล่านี้ไม่เพียงแค่ช่วยให้ผู้อ่านมีมุมมองที่สมบูรณ์ขึ้น แต่ยังช่วยให้การวิจัยในอนาคตสามารถปรับปรุงและพัฒนาต่อไปในทางที่ครอบคลุมและมีความละเอียดมากขึ้น หากเรามีการใช้ประเด็นในหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" ของ Carole M. Counihan มาอธิบายสังคมไทย สามารถช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอาหาร เพศสภาพ อัตลักษณ์ และอำนาจในบริบทของสังคมไทยได้ดียิ่งขึ้น อาทิเช่น ในครอบครัวไทย ผู้หญิงมักเป็นผู้รับผิดชอบหลักในการเตรียมอาหาร ทั้งในบ้านและในธุรกิจอาหาร เช่น ร้านอาหารแผงลอย ตลาดสด หรือร้านอาหารตามสั่ง บทบาทนี้เป็นการสะท้อนถึงค่านิยมและบรรทัดฐานทางเพศในสังคมไทยที่ผู้หญิงถูกมองว่ามีหน้าที่ในการดูแลครอบครัวและบ้านเรือน หากพิจารณาเรื่องอำนาจและการควบคุมผ่านอาหารในสังคมไทย การเลือกอาหารและการเตรียมอาหารมักเป็นหน้าที่ของแม่หรือผู้หญิงในบ้านหรือในครอบครัว ซึ่งสามารถสะท้อนถึงอำนาจและการควบคุมในบริบทของครอบครัว อย่างไรก็ตาม การทำอาหารให้ครอบครัวยังสามารถเป็นภาระที่ทำให้ผู้หญิงรู้สึกถูกจำกัดในบทบาทของตนเองได้เช่นเดียวกัน ในบริบทของสังคม การจัดงานเลี้ยง การเตรียมอาหารในงานบุญหรืองานเฉลิมฉลองต่างๆ มักเป็นหน้าที่ของผู้หญิง ซึ่งสามารถมองว่าเป็นการแสดงอำนาจและบทบาททางสังคมของผู้หญิงในชุมชน ในเรื่องการสร้างอัตลักษณ์ทางเพศและวัฒนธรรมผ่านอาหาร ในสังคมไทยนั้น อาหารไทยมีความหลากหลายและเป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ของคนไทย เช่น การทำอาหารไทยที่มีการใช้สมุนไพรและเครื่องปรุงรสที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของคนไทย หรือกรณี การสอนการทำอาหารไทยในครอบครัวเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้ใหญ่ถ่ายทอดความรู้และประเพณีให้กับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นการสร้างและรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม ในแง่ของการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและอิทธิพลของโลกาภิวัตน์ ในสังคมไทย การเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในไทย เช่น การที่ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทในตลาดแรงงานมากขึ้น ทำให้บทบาทในการเตรียมอาหารและดูแลครอบครัวมีการเปลี่ยนแปลง ผู้ชายเริ่มเข้ามามีบทบาทในเรื่องอาหารมากขึ้น หรือการพึ่งพาอาหารจากนอกครอบครัวมากขึ้น การนำเข้าอาหารตะวันตกและอาหารฟาสต์ฟู้ด ทำให้พฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป เช่น การทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น และการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในบทบาททางเพศและวิถีชีวิตของคนไทย การนำประเด็นจากหนังสือ "Food and Gender: Identity and Power" มาอธิบายสังคมไทยช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและเพศสภาพในบริบทของสังคมไทยมากขึ้น อาหารไม่เพียงแต่เป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต แต่ยังเป็นเครื่องมือที่สะท้อนถึงอำนาจ อัตลักษณ์ และบทบาททางเพศในสังคมไทยด้วยเช่นกั

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...