ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สิทธิที่จะหนาวของชนพื้นเมือง Inuit ในหนังสือของShiela Watt-Cloutier โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ “The Right to Be Cold: One Woman’s Story of Protecting Her Culture, the Arctic and the Whole Planet” (2022) โดย Sheila Watt-Cloutier เป็นหนังสือที่เล่าถึงประสบการณ์และการต่อสู้ของผู้เขียน ซึ่งเป็นนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนที่มุ่งมั่นปกป้องวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง Inuit ในเขตอาร์กติก โดยเน้นถึงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ไม่เพียงแต่ทำลายสิ่งแวดล้อม แต่ยังคุกคามวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชนชนพื้นเมืองเหล่านี้ สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เกี่ยวกับสิทธิในด้านสภาพแวดล้อมของชนพื้นเมืองและเชื่อมโยงกับประเด็นสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง ผู้เขียนแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของชาว Inuit เนื่องจากภาวะโลกร้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตอาร์กติกที่น้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่สามารถดำรงชีวิตด้วยการล่าสัตว์แบบดั้งเดิมและการเคลื่อนย้ายที่พึ่งพาน้ำแข็งได้ Sheila Watt-Cloutier เสนอว่า “สิทธิที่จะหนาว” (The Right to Be Cold) คือสิทธิขั้นพื้นฐานของชาว Inuit ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมโยงระหว่างสภาพภูมิอากาศกับวัฒนธรรม การที่ชุมชนเหล่านี้ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปไม่ใช่เพียงการปรับเปลี่ยนทางกายภาพ แต่เป็นการถูกบีบคั้นทางจิตใจและวัฒนธรรมเช่นกัน หนังสือผสมผสานเรื่องราวชีวิตส่วนตัวของ Sheila Watt-Cloutier กับการต่อสู้ทางการเมืองและวัฒนธรรม ทำให้ผู้อ่านเห็นความเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เปราะบางในเขตอาร์กติก การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและวัฒนธรรมของชาว Inuit ในเขตอาร์กติก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมกับสิทธิมนุษยชนในระดับโลก ผู้เขียนนำเสนอทั้งมุมมองส่วนตัวและการต่อสู้ในฐานะผู้นำทางสิ่งแวดล้อมที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในภูมิภาคของตน Sheila Watt-Cloutier เป็นหนึ่งในผู้นำการเคลื่อนไหวทางสังคมของชาว Inuit ที่ยืนหยัดในการเรียกร้องความยุติธรรมทางสิ่งแวดล้อมและการรักษาวัฒนธรรมของพวกเขา เธอทำงานในเวทีระหว่างประเทศเพื่อนำประเด็นนี้เข้าสู่การเจรจาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในการประชุมสหประชาชาติและองค์กรอื่นๆ โดยยืนยันว่าการละเลยการแก้ไขปัญหานี้จะเป็นการทำลายวัฒนธรรมที่มีอยู่มานับพันปี Sheila Watt-Cloutier ได้เล่าเรื่องราวส่วนตัวของผู้เขียนในฐานะคน Inuit ที่เติบโตท่ามกลางธรรมชาติที่หนาวเย็น และการเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่รวดเร็ว เช่น การเข้ามาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ และการพึ่งพาวัฒนธรรมภายนอก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจคือ ผลกระทบจากโลกร้อน น้ำแข็งที่ละลายในอาร์กติกส่งผลให้ชาว Inuit ไม่สามารถล่าสัตว์เช่นหมีขาวและแมวน้ำได้เหมือนเดิม เนื่องจากน้ำแข็งที่ไม่เสถียรทำให้การล่าสัตว์มีความเสี่ยงสูงขึ้น ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ สำหรับชาว Inuit ธรรมชาติและน้ำแข็งมีความสำคัญทางจิตวิญญาณและเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการดำรงชีวิต การสูญเสียน้ำแข็งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังทำลายรากเหง้าทางวัฒนธรรมของพวกเขา การเคลื่อนไหวทางการเมือง Sheila Watt-Cloutier มีบทบาทสำคัญในการนำประเด็นนี้เข้าสู่เวทีสากล โดยเธอยืนยันว่าการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องคำนึงถึงสิทธิของชนพื้นเมืองด้วย ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิทางวัฒนธรรมที่เป็นส่วนหนึ่งของสิทธิมนุษยชน ความสำคัญของอาร์กติกต่อชาว Inuit Watt-Cloutier อธิบายถึงความเชื่อมโยงลึกซึ้งระหว่างชาว Inuit กับธรรมชาติและน้ำแข็งในอาร์กติก พวกเขาพึ่งพาน้ำแข็งในหลายด้าน ทั้งการล่าสัตว์ การขนส่ง และการดำรงชีวิตที่เกี่ยวพันกับธรรมชาติ การสูญเสียความหนาของน้ำแข็งจากโลกร้อน ไม่เพียงแต่ทำให้การดำรงชีวิตทางกายภาพยากขึ้น แต่ยังเป็นการสูญเสียความหมายทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมอีกด้วย ภาวะโลกร้อนกับสิทธิมนุษยชน Sheila Watt-Cloutier เล่าถึงการที่ชาว Inuit ถูกผลักให้อยู่ในสถานะที่เปราะบางในบริบทของสิทธิมนุษยชน ผู้เขียนใช้มุมมองที่แตกต่างจากปกติ โดยมองว่าโลกร้อนเป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่เพียงแค่สิ่งแวดล้อม เพราะการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศได้ทำลายวิถีชีวิตที่มีอยู่มาก่อนนานนับพันปี การไม่สามารถปรับตัวได้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมนี้ทำให้ความยั่งยืนทางวัฒนธรรมถูกคุกคาม การเชื่อมโยงการเมืองระดับโลก Sheila Watt-Cloutier นำเสนอเรื่องราวของการเคลื่อนไหวในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP) และพยายามเรียกร้องให้โลกสนใจถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศที่ไม่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศ แต่ยังเกี่ยวพันกับสิทธิและความยุติธรรมทางสังคม เธอเน้นถึงความสำคัญของการรวมเสียงของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในกระบวนการตัดสินใจ กาาพูดถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลง Sheila Watt-Cloutier เล่าถึงวิถีชีวิตดั้งเดิมของ Inuit เช่น การล่าสัตว์บนพื้นที่น้ำแข็ง ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน และการต้องปรับตัวเมื่อภูมิอากาศเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ประเพณีเหล่านี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงอีกต่อไป นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในพื้นที่อาร์กติกก็สร้างผลกระทบต่อชุมชนของพวกเขา เช่น การเข้ามาของการค้าโลกและการพัฒนาเศรษฐกิจสมัยใหม่ การอธิบายเกี่ยวกับบทเรียนสากลจากอาร์กติก นอกเหนือจากการบอกเล่าปัญหาของชุมชน Inuit โดย Sheila Watt-Cloutier ยังมองว่าอาร์กติกเป็นเสมือนตัวแทนของปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก เธอชี้ให้เห็นว่าปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาใหญ่ของโลก ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขจะส่งผลกระทบต่อชุมชนอื่นๆ ทั่วโลกเช่นกัน ประเด็นการปรับตัวและความหวัง แม้ว่าจะมีปัญหามากมายที่ชุมชน Inuit ต้องเผชิญ แต่ Sheila Watt-Cloutier ยังคงมีความหวังในการสร้างการเปลี่ยนแปลงผ่านการศึกษาและการสื่อสารประเด็นนี้ในเวทีระหว่างประเทศ เธอเชื่อมั่นว่าโลกจะสามารถร่วมมือกันเพื่อลดผลกระทบของโลกร้อนและรักษาวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนท้องถิ่นได้ วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงกับการล่าสัตว์แบบดั้งเดิมที่หายไปเช่น การล่าแมวน้ำที่เคยเป็นวิถีชีวิตที่สำคัญ ถูกคุกคามจากภาวะโลกร้อน น้ำแข็งที่เคยหนาแน่นเริ่มละลาย ทำให้การเดินทางล่าสัตว์และการดำรงชีวิตในธรรมชาติเป็นไปได้ยากขึ้น และเป็นอันตรายมากขึ้น Sheila Watt-Cloutier ใช้สถิติทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องของเธอ เช่น การละลายของน้ำแข็งในอาร์กติกเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึงสองเท่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทั้งในท้องถิ่นและทั่วโลก การแสดงออกทางวัฒนธรรมของชาว Inuit โย Shiela Watt-Cloutier ยังเน้นถึงความสำคัญของการอนุรักษ์วัฒนธรรมชาว Inuit ผ่านศิลปะ การเล่านิทาน และการอนุรักษ์ภาษาท้องถิ่น แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เธอยืนยันว่าแนวคิดเกี่ยวกับ “การเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ” ยังคงเป็นหัวใจของวัฒนธรรม Inuit สรุปหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เน้นเพียงแต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งแวดล้อมกับวิถีชีวิตและสิทธิมนุษยชน เป็นบทบันทึกและคำเตือนที่สำคัญต่อโลก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...