ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มานุษยวิทยาว่าด้วยความขัดแย้งและความรุนแรง โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Anthropology of Violence and Conflict โดย Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder เป็นหนังสือที่สำรวจความรุนแรงและความขัดแย้งในหลากหลายบริบททางสังคม วัฒนธรรม และชาติพันธุ์ โดยมุ่งเน้นการศึกษาความรุนแรงในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองที่มีผลกระทบอย่างกว้างขวาง หนังสือเล่มนี้นำเสนอมุมมองเชิงมานุษยวิทยาเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบและสาเหตุของความรุนแรงในบริบทที่แตกต่างกัน รวมถึงวิธีที่ความรุนแรงถูกทำให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในบางชุมชน สาระสำคัญของหนังสือแบ่งออกเป็นบทที่วิเคราะห์ความรุนแรงและความขัดแย้งจากหลายมุมมอง อาทิ ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ (symbolic violence) ความรุนแรงทางโครงสร้าง (structural violence) และการใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาอัตลักษณ์ทางสังคมหรือชาติพันธุ์ ผู้เขียนทั้งสองได้รวบรวมกรณีศึกษาจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลก ตั้งแต่แอฟริกา เอเชีย ตะวันออกกลาง ไปจนถึงยุโรป เพื่อเสนอแนวทางวิเคราะห์ที่ครอบคลุม โดยแนวคิดในการมองความรุนแรงของ Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ที่น่าสนใจคือ 1. ความรุนแรงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคม Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder มุ่งเน้นให้เห็นว่าความรุนแรงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล แต่เป็นผลจากโครงสร้างทางสังคม การเมือง หรือวัฒนธรรมที่สนับสนุนให้เกิดขึ้นในบางบริบท 2. บทบาทของการสร้างชาติพันธุ์และความเป็นอื่น โดยหนึ่งในประเด็นหลักของหนังสือก็คือการอธิบายว่าความขัดแย้งและความรุนแรงมักเกิดจากการแบ่งแยกคนกลุ่มหนึ่งออกจากกลุ่มอื่น ซึ่งมักเป็นการสร้างอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์หรือศาสนาเพื่อเน้นถึงความแตกต่าง 3. ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งความรุนแรงในระดับนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นการทำลายทางกายภาพ แต่สามารถเป็นการกดขี่ทางสังคม วัฒนธรรม หรือสัญลักษณ์ที่ทำให้กลุ่มหนึ่งตกอยู่ในสถานะด้อยกว่าในสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่ Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ได้ใช้กรณีศึกษาอื่น ๆ ที่ให้มุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับความรุนแรงและความขัดแย้งในบริบทที่หลากหลายทั่วโลก ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่ 1. ความรุนแรงในบอสเนีย (Bosnian War) Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder มีการใช้ตัวอย่างกรณีศึกษาความขัดแย้งในบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา (1992-1995) ซึ่งเป็นผลจากการล่มสลายของยูโกสลาเวีย ที่ผู้เขียนใช้ในการทำความเข้าใจความรุนแรงเชิงชาติพันธุ์ในยุโรป เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสงครามนี้มีลักษณะเป็นการสู้รบระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเซิร์บ ชาวบอสเนีย และชาวโครแอต โดยมีการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์และศาสนาเป็นตัวขับเคลื่อน Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ได้วิเคราะห์ถึงกระบวนการสร้างความเป็นอื่น (othering) และการทำให้กลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งถูกมองว่าเป็นศัตรู ผู้เขียนชี้ให้เห็นว่า การสร้างความแตกต่างทางชาติพันธุ์ที่ถูกปลูกฝังมาตลอดหลายปีในสังคมบอสเนียมีส่วนสำคัญที่นำไปสู่ความรุนแรงและการสังหารหมู่ในระหว่างสงคราม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในเมืองสเรเบรนิกา (Srebrenica) ซึ่งชาวเซิร์บสังหารชาวมุสลิมบอสเนียกว่า 8,000 คน เป็นต้น 2. ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในปาปัวนิวกินี (Papua New Guinea) ถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder สะท้อนกรณีความรุนแรงในชุมชนชนพื้นเมืองของปาปัวนิวกินี ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มชนพื้นเมืองที่เกิดจากข้อพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน การวิเคราะห์ในกรณีนี้มุ่งเน้นไปที่วิธีที่ความรุนแรงกลายเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาทรัพยากรที่มีจำกัด โดยมีการใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการรักษาอำนาจและควบคุมทรัพยากรที่ดิน Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ชี้ให้เห็นว่า ในบริบทของชุมชนชนพื้นเมือง ความรุนแรงไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ผิดเสมอไป แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิธีการจัดการปัญหาภายในชุมชนและการสร้างสมดุลของอำนาจ นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างในการตีความความรุนแรงในบริบททางวัฒนธรรมที่ต่างกัน 3. ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ในอเมริกาใต้ (Symbolic Violence in Latin America) ในบางกรณีศึกษาในละตินอเมริกา Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ได้กล่าวถึงความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์ (symbolic violence) ที่เกิดขึ้นในสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมอย่างชัดเจน ตัวอย่างหนึ่งคือการกดขี่ชนพื้นเมืองและกลุ่มประชากรยากจนผ่านโครงสร้างทางสังคมและนโยบายของรัฐในหลายประเทศในภูมิภาคนี้ ซึ่งผู้เขียนอธิบายว่า ความรุนแรงในรูปแบบนี้ไม่ได้เป็นความรุนแรงที่แสดงออกทางกายภาพเสมอไป แต่เป็นการกดขี่ที่ซ่อนอยู่ภายใต้การจัดการทางสังคม เช่น การขาดการเข้าถึงการศึกษา การรักษาพยาบาล และการบริการพื้นฐานอื่น ๆ ซึ่งทำให้กลุ่มชนพื้นเมืองและชนชั้นล่างต้องตกอยู่ในสภาพชีวิตที่ยากลำบาก เป็นการแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงอาจมีหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นการทำร้ายร่างกายหรือการสู้รบโดยตรง อีกหนึ่งในตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่โดดเด่นในหนังสือ “Anthropology of Violence and Conflict” คือการศึกษาเกี่ยวกับ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรวันดา (Rwanda Genocide) ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1994 การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ที่มีชาวฮูตู (Hutu) ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวทุตซี (Tutsi) และชาวฮูตูที่ไม่เห็นด้วยกับการสังหารหมู่มากกว่าหนึ่งล้านคนภายในระยะเวลาเพียง 100 วัน ในกรณีศึกษานี้ Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder ได้วิเคราะห์ถึงต้นเหตุของความรุนแรงและสาเหตุที่ทำให้ชาวฮูตูและชาวทุตซีซึ่งเคยอยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานกลายเป็นคู่ขัดแย้งที่รุนแรง จุดเริ่มต้นของความขัดแย้งมาจากการที่อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ถูกสร้างขึ้นและถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนในช่วงยุคอาณานิคม โดยเจ้าอาณานิคมชาวยุโรปได้นำระบบชนชั้นเข้ามาใช้ในการปกครองรวันดา และให้ความสำคัญกับกลุ่มทุตซีซึ่งถือว่าเป็นชนชั้นสูง ขณะที่ฮูตูเป็นชนชั้นต่ำ หลังจากที่รวันดาได้รับเอกราช ความรู้สึกไม่พอใจและความเกลียดชังที่สั่งสมมาเป็นเวลานานระหว่างสองกลุ่มชาติพันธุ์นี้ก็เริ่มก่อตัวเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น ผู้เขียนได้กล่าวถึงบทบาทของสื่อในรวันดาที่สนับสนุนการแบ่งแยกทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะวิทยุที่ส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชังและเผยแพร่การโฆษณาชวนเชื่อที่เป็นอันตราย การวิเคราะห์จากมุมมองมานุษยวิทยา Bettina E. Schmidt และ Ingo W. Schroeder วิเคราะห์ว่า ความรุนแรงในกรณีรวันดาไม่ใช่แค่เพียงความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการสร้างอัตลักษณ์ทางสังคมและชาติพันธุ์ในลักษณะที่แบ่งแยกอย่างรุนแรง ความขัดแย้งนี้ได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยการใช้ความรุนแรงเชิงสัญลักษณ์และเชิงโครงสร้างเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงบทบาทของการเมืองและอำนาจในกระบวนการทำให้การสังหารหมู่ครั้งนี้กลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในสังคมท้องถิ่นบางกลุ่ม หนังสือยังแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงในรวันดาไม่ได้เกิดขึ้นจากความโกรธเกลียดแบบฉับพลัน แต่เป็นผลของกระบวนการทางสังคมและการเมืองที่ยาวนาน การทำให้คนกลุ่มหนึ่งกลายเป็นอื่น (otherness) มีบทบาทสำคัญในการชักจูงให้เกิดการใช้ความรุนแรงในระดับใหญ่โตนี้ สรุปกรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความซับซ้อนของความรุนแรงที่ถูกแสดงออกในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในรูปของการสู้รบ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หรือแม้แต่การกดขี่ทางสัญลักษณ์ หนังสือ “Anthropology of Violence and Conflict” ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าความรุนแรงเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่หลากหลายและมีมิติที่ลึกซึ้ง ซึ่งเชื่อมโยงกับโครงสร้างทางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจในแต่ละบริบท

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...