ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

หนังสือ Yanomamö: The Fierce People โดย Chagnon …นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Yanomamö: The Fierce People เป็นหนังสือที่เขียนโดย Napoleon A. Chagnon นักมานุษยวิทยาชาวอเมริกัน ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1968 หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาภาคสนามเกี่ยวกับชนเผ่า Yanomamö ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าเขตร้อนของประเทศเวเนซุเอลาและบราซิล หนังสือ “Yanomamö: The Fierce People” โดย Napoleon A. Chagnon ได้รับความสนใจอย่างมากในการศึกษาทางมานุษยวิทยา โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้ความรุนแรงและโครงสร้างทางสังคมของชนเผ่า Yanomamö ซึ่งเป็นกลุ่มชนพื้นเมืองในป่าดงดิบแถบเวเนซุเอลาและบราซิล สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้มุ่งเน้นที่การสำรวจชีวิตประจำวัน ความรุนแรง และการต่อสู้ของชนเผ่า Yanomamö โดย Chagnon นำเสนอว่า ความรุนแรงและสงครามระหว่างกลุ่มชนมีบทบาทสำคัญในสังคมของพวกเขา ซึ่งเกิดจากความขัดแย้งเรื่องทรัพยากร ที่ดิน ผู้หญิง และการแก้แค้น Yanomamö ถูกนำเสนอในฐานะกลุ่มที่มีความรุนแรงสูงในเชิงของการปะทะทางกายภาพภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม ซึ่งนำไปสู่การสร้างชื่อเสียงของพวกเขาในฐานะ “the fierce people” คำว่า “The Fierce People” หมายถึงคำที่ Napoleon A. Chagnon ใช้เพื่ออธิบายชนเผ่า Yanomamö ซึ่งเขาพบว่ามีลักษณะเด่นในเรื่องของความรุนแรง การต่อสู้ และการขัดแย้งระหว่างกลุ่ม โดยคำว่า “fierce” (ดุร้าย) ในที่นี้สะท้อนถึงวิถีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อทรัพยากร เช่น ที่ดิน ผู้หญิง และการรักษาเกียรติของกลุ่ม โดยChagnon ใช้คำนี้เพื่อเน้นถึงการใช้ความรุนแรงเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางสังคมของ Yanomamö ซึ่งการต่อสู้และการแก้แค้นเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขา โดยมีวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับสถานะและอำนาจของผู้ชายที่สามารถปกป้องครอบครัวและเครือญาติได้ ทั้งนี้ คำว่า “The Fierce People” กลายเป็นที่ถกเถียงเพราะนักวิจารณ์บางคนมองว่าเป็นการเน้นย้ำความรุนแรงมากเกินไปและอาจทำให้เกิดการเหมารวมชนเผ่าได้ Chagnon ยังสนใจเรื่องโครงสร้างทางสังคม พิธีกรรมทางศาสนา ระบบเครือญาติ และการจัดการความขัดแย้งของกลุ่ม Yanomamö โดยเขาอธิบายถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและการเมืองภายในชนเผ่า ความสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติและวัฒนธรรมในชีวิตประจำวันของชาว Yanomamö รวมถึงการล่าสัตว์ การปลูกพืช และพิธีกรรมทางศาสนา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ คือ Chagnon บรรยายเหตุการณ์การปะทะระหว่างกลุ่มชนเผ่าต่าง ๆ ซึ่งมีการต่อสู้เพื่อผู้หญิงและการล้างแค้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของความรุนแรงในสังคมของ Yanomamö โดยเขาอธิบายถึงพิธีกรรมศาสนา เช่น การใช้ยาสมุนไพรในการติดต่อกับวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติที่ชาว Yanomamö นับถือ ประเด็นเรื่อง การต่อสู้เพื่อผู้หญิงและการล้างแค้น Chagnon อธิบายถึงการปะทะกันของกลุ่ม Yanomamö หลายครั้งที่เกิดจากการแย่งชิงผู้หญิง ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากในสังคมของพวกเขา ชาว Yanomamö มีระบบการแต่งงานที่ซับซ้อนและเน้นไปที่การสืบสายเครือญาติ ผู้หญิงที่เป็นเป้าหมายของการลักพาตัวมักจะเป็นผู้หญิงที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ เนื่องจากการมีลูกเป็นเรื่องสำคัญสำหรับการดำรงอยู่ของครอบครัวและเครือญาติ การล้างแค้นสำหรับการลักพาผู้หญิงนี้อาจนำไปสู่สงครามระหว่างเผ่าได้ ตัวอย่างหนึ่งคือกรณีที่ Chagnon สังเกตเห็นการล้างแค้นจากเผ่าหนึ่งซึ่งเคยถูกอีกเผ่าหนึ่งลักพาผู้หญิงไป พวกเขาได้รวมกลุ่มกันบุกหมู่บ้านของอีกเผ่า ทำให้เกิดการต่อสู้ที่รุนแรง และมีผู้เสียชีวิตหลายคน นี่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของผู้หญิงในฐานะทรัพยากรและสถานะในสังคมของพวกเขา รวมถึงการใช้ความรุนแรงเป็นกลไกในการแก้ปัญหาสังคม พิธีกรรมการใช้ยา hallucinogens (ยาประสาทหลอน) Yanomamö มีพิธีกรรมเกี่ยวกับการติดต่อกับวิญญาณโดยใช้ยาสมุนไพรที่มีฤทธิ์ประสาทหลอน (เช่น “ebene” หรือ “yopo”) Chagnon สังเกตว่าการใช้ยา hallucinogens นี้เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในการสื่อสารกับสิ่งเหนือธรรมชาติ ชายในหมู่บ้านจะใช้ยานี้เพื่อเข้าสู่ภาวะสมาธิและสามารถสื่อสารกับวิญญาณที่คอยปกป้องพวกเขาได้ พิธีกรรมเหล่านี้ถูกจัดขึ้นในสถานการณ์ที่ตึงเครียด เช่น การเตรียมตัวสำหรับสงครามหรือเมื่อมีการเจ็บป่วยหนัก การเข้าร่วมในพิธีกรรมเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญในสังคม Yanomamö เพราะมันเป็นวิธีที่พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและสถานะในสังคม การเข้าร่วมและประสบความสำเร็จในการติดต่อกับวิญญาณจะเพิ่มชื่อเสียงและสถานะทางสังคมของบุคคลนั้น ๆ การจัดโครงสร้างและลำดับชั้นทางสังคม โดย Chagnon อธิบายว่า Yanomamö มีโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อน ซึ่งสร้างขึ้นจากระบบเครือญาติและการรวมกลุ่มของครอบครัวใหญ่ (lineages) ผู้นำของหมู่บ้านมักจะเป็นชายที่มีชื่อเสียงจากการประสบความสำเร็จในการรบหรือมีความสามารถในการควบคุมความขัดแย้งในหมู่บ้าน ดังเช่น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมของ “patas” ผู้นำหมู่บ้านที่มีอิทธิพล ซึ่งสามารถควบคุมความขัดแย้งภายในกลุ่มของเขาผ่านการเจรจาและการใช้อำนาจทางกายภาพ เมื่อต้องเผชิญกับการต่อสู้ ผู้นำเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างหมู่บ้านและนำกลุ่มไปสู่การต่อสู้เมื่อจำเป็น Chagnon มองว่าความรุนแรงเป็นธรรมชาติของสังคม ซึ่ง Chagnon อธิบายว่า ความรุนแรงและการต่อสู้ในสังคม Yanomamö เป็นเรื่องปกติ และเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ซึ่งแสดงถึงการต่อสู้เพื่อทรัพยากรอันจำกัด เช่น ที่ดิน ผู้หญิง และอาหาร Chagnon ให้ความสำคัญกับประเด็นการต่อสู้เพื่อทรัพยากรและสถานะทางสังคม ชื่อเสียงและสถานะในสังคมของชายชาว Yanomamö มักจะถูกวัดจากความสามารถในการรบ และการมีเครือญาติที่แข็งแกร่ง ซึ่งความรุนแรงในการต่อสู้มักเกี่ยวข้องกับการแย่งชิงทรัพยากรอันมีค่า เช่น ผู้หญิงที่เป็นเครื่องมือในการสืบทอดเชื้อสาย ข้อวิจารณ์เกี่ยวกับหนังสือ แม้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก แต่ก็เป็นที่ถกเถียงในแง่ของจริยธรรมในการทำวิจัยและการตีความทางวัฒนธรรม หนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในเชิงจริยธรรมและการวิจัย โดยนักมานุษยวิทยาบางคนกล่าวหาว่า Chagnon เน้นความรุนแรงเกินไป และมีการแทรกแซงในวัฒนธรรมของ Yanomamö อย่างไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น มีข้อกล่าวหาว่าเขาสนับสนุนการกระตุ้นให้ชนเผ่ามีความขัดแย้งมากขึ้นเพียงเพื่อเก็บข้อมูล แต่ข้อถกเถียงนี้ยังคงเป็นที่พูดถึงและมีมุมมองที่หลากหลาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...