ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Liquid love กับความรักที่รวนเรไม่แน่นอน ในโลกสมัยใหม่ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

จากคำถามในประเด็นเมื่อวันก่อน เกี่ยวกับว่า ทำไมความสัมพันธ์ของคนมันไม่เป็น long term relationship แต่มักจะเป็นความสัมพันธ์แบบชั่วคราว ไม่คาดหวังในความสัมพันธ์ ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ชวนคุยในวิชาเพศวิถี เพื่อเข้าใจปฎิสัมพันธ์อันซับซ้อนของมนุษย์ เช่น พฤติกรีทแบบone night stand เพือนเที่ยว Friend with benefit หรืออื่นๆ ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งและอยากเขียนเพื่อเก็บในคลังข้อมูล blog ของตัวเองและเผยแพร่ หนังสือ Liquid Love: On the Frailty of Human Bonds (2003) เขียนโดย Zygmunt Bauman เป็นหนังสือที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ในโลกยุคใหม่ ที่ Bauman นิยามว่าเป็น “Liquid Modernity” หรือความเป็นสมัยใหม่ที่มีลักษณะ “เหลวไหล” ซึ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงและไม่คงที่ รวมถึงความสัมพันธ์ทางสังคมและความรักที่สูญเสียความมั่นคงไป สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ Bauman อธิบายถึงความสัมพันธ์แบบใหม่ในยุคสมัยนี้ที่มีความไม่แน่นอนและเปราะบาง ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับ ความพึงพอใจชั่วคราว (instant gratification) และ ความอิสระส่วนตัว มากกว่าการสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและยั่งยืน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงความผูกพันระยะยาวเพื่อป้องกันการสูญเสียเสรีภาพและเพื่อหลีกเลี่ยงความซับซ้อนทางอารมณ์ Zygmunt Bauman เป็นนักสังคมวิทยาที่มีชื่อเสียงจากการพัฒนาแนวคิดที่เรียกว่า “Liquid Modernity” หรือ “ความเป็นสมัยใหม่ที่มีความเหลวไหล” แนวคิดนี้สะท้อนถึงลักษณะของโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งขาดความมั่นคงและคงทนในหลายด้าน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ในผลงานของเขา “Liquid Love: On the Frailty of Human Bonds” (2003) Bauman ได้อธิบายถึงลักษณะของความสัมพันธ์ในสังคมสมัยใหม่ว่าเป็น “ความรักที่เหลวไหล” (Liquid Love) ซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ยั่งยืนและเปราะบางรายละเอียดแนวคิด Liquid Love 1. ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงและไม่ยั่งยืน Bauman เสนอว่าความสัมพันธ์ในสังคมยุคปัจจุบันมีลักษณะเป็น “ของเหลว” หมายถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงได้ง่าย และไม่มีความยั่งยืน ผู้คนในยุคนี้มักไม่ผูกพันทางอารมณ์หรือไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เพราะพวกเขาให้ความสำคัญกับความอิสระและการแสวงหาความพึงพอใจในปัจจุบันมากกว่าการลงทุนในความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ดังนั้น ความสัมพันธ์ในยุคปัจจุบันจึงมีลักษณะที่ไม่คงทนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่ต้องการผูกพันกับความสัมพันธ์ที่ยาวนาน เพราะกลัวว่าจะสูญเสียอิสรภาพหรือถูกควบคุมทางอารมณ์ 2. ความเป็นปัจเจกชนและความอิสระที่มากเกินไป Bauman เชื่อว่าคนในยุคปัจจุบันให้ความสำคัญกับ ความเป็นปัจเจกชน (Individualism) และการรักษาความอิสระส่วนตัวเป็นอย่างมาก ส่งผลให้พวกเขาหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งหรือการผูกพันทางอารมณ์ เนื่องจากเกรงว่าจะสูญเสียเสรีภาพหรือถูกควบคุมโดยคู่รัก การให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกชนมากขึ้น พวกเขาต้องการควบคุมชีวิตของตนเอง และเลือกที่จะสร้างความสัมพันธ์แบบชั่วคราวหรือแบบที่ไม่ต้องการการผูกพัน แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับการที่คนในยุคนี้มีวิถีชีวิตที่เน้น ความพึงพอใจทันที (Instant Gratification) ซึ่งไม่ต้องการการรอคอยหรือการสร้างความสัมพันธ์ที่ต้องใช้เวลาและความอดทน 3. ความรักในฐานะสินค้าและความสัมพันธ์ทางการตลาด Bauman ยังเปรียบเทียบความรักในยุคปัจจุบันว่าเป็นเหมือน สินค้า หรือบริการที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้บริโภค การมีความสัมพันธ์ทางออนไลน์และการใช้แอปพลิเคชันหาคู่กลายเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงแนวคิดนี้อย่างชัดเจน เพราะผู้คนสามารถเลือก “คู่” ที่ตนเองต้องการได้ตามความชอบและสามารถยกเลิกความสัมพันธ์ได้เมื่อไม่พึงพอใจ Bauman อธิบายว่า ในสังคมปัจจุบันความสัมพันธ์มักขึ้นอยู่กับการคำนวณผลประโยชน์และความพึงพอใจในระยะสั้นมากกว่าเรื่องของความผูกพันทางอารมณ์ 4. การขาดความไว้วางใจและความมั่นคงทางอารมณ์ หนึ่งในผลกระทบของความรักที่เหลวไหลคือ การขาดความไว้วางใจ ในคู่รักและความกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง การสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงจึงกลายเป็นเรื่องยากขึ้น ผู้คนมักมองหาทางเลือกที่ง่ายที่สุดในการหาความสุขและความพึงพอใจ ซึ่งไม่ต้องการความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนหรือผูกพันมากเกินไป Bauman ยังชี้ให้เห็นถึงความกลัวในการสูญเสียความเป็นส่วนตัวและเสรีภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้คนลังเลที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่มีความผูกพันในระยะยาว โดยความรู้สึกของความไม่มั่นคง Bauman ใช้แนวคิดเรื่อง “liquid modernity” (สมัยใหม่แบบเหลว) เพื่ออธิบายว่าในโลกปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ความสัมพันธ์ทางสังคมและความรักก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคงเช่นเดียวกัน คนมักรู้สึกไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของตน เพราะไม่มีความผูกพันและความเชื่อมั่นแบบเดิม 5. ผลกระทบต่อชีวิตรักและการสร้างความสัมพันธ์ ในยุคสมัยที่ความสัมพันธ์ไม่ยั่งยืน การสร้างความสัมพันธ์ที่มั่นคงและมีความหมายอาจกลายเป็นเรื่องท้าทาย ผู้คนมักมีความรู้สึกโดดเดี่ยวแม้จะมีความสัมพันธ์ทางเพศหรือทางอารมณ์กับหลาย ๆ คน Bauman อธิบายว่า ความรักในยุคนี้เป็นความรักที่เปราะบางและหลอกลวง เพราะแม้ว่าจะดูเหมือนมีตัวเลือกมากมาย แต่ความหมายทางอารมณ์กลับน้อยลง ผลลัพธ์คือ ผู้คนมักรู้สึกไม่พอใจหรือไม่มีความสุขในความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงและคาดเดาไม่ได้ ซึ่งส่งผลต่อความรู้สึกของการขาดความมั่นคงทางอารมณ์และความผูกพันทางจิตใจ แนวคิดนี้สะท้อนถึงการที่คนในสังคมรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดความเชื่อมโยงทางอารมณ์ในความสัมพันธ์ แม้ว่าจะมีตัวเลือกและโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์มากมาย แต่กลับมีความพึงพอใจและความมั่นคงทางอารมณ์ที่น้อยลง รูปแบขความรักแบบใช้แล้วทิ้ง โดย Bauman เสนอแนวคิดว่าความรักในยุคปัจจุบันมีลักษณะเหมือนกับสินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง คนมีแนวโน้มที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่อาจจะตัดขาดได้เมื่อไม่พอใจหรือเมื่อเจอกับความยากลำบาก 6. ความสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยี Bauman ยังกล่าวถึงการที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทในความสัมพันธ์ ซึ่งทำให้การสร้างความสัมพันธ์เป็นเรื่องง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น ซึ่งความสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยีนั้น Bauman ไดัพูดถึงการที่เทคโนโลยีและโซเชียลมีเดียทำให้ความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์เหล่านี้ผิวเผินมากขึ้นและสามารถยกเลิกได้ง่าย คนสามารถ “เชื่อมต่อ” และ “ตัดการเชื่อมต่อ” ได้อย่างรวดเร็วตามความพอใจ 7. ความรักเชิงบริโภค โดย Bauman เปรียบเทียบความสัมพันธ์กับการบริโภคสินค้าในระบบทุนนิยม คนมองหาความพึงพอใจจากความสัมพันธ์อย่างรวดเร็วและเมื่อไม่พบความพึงพอใจนั้นก็พร้อมที่จะเปลี่ยนความสัมพันธ์ใหม่อย่างไม่ลังเล เช่นเดียวกับความรักหรือความสัมพันธ์ในยุคนี้ถูกมองว่าเป็น สินค้าที่สามารถบริโภคได้ หากไม่รู้สึกพึงพอใจ คนสามารถยุติความสัมพันธ์ได้ง่ายและหาความพึงพอใจจากคนอื่นแทน สรุปแนวคิด Liquid Love ของ Zygmunt Bauman อธิบายว่า “Liquid Love” เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมองหาความพึงพอใจในระยะสั้นและให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกชนมากขึ้น ความสัมพันธ์ในยุคนี้มักมีลักษณะที่ไม่มั่นคงและไม่ยั่งยืน การสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายและความมั่นคงกลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย เนื่องจากความเปราะบางและการขาดความไว้วางใจในความสัมพันธ์ หนังสือเล่มนี้ให้มุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความสัมพันธ์ในยุคสมัยใหม่ หากคุณสนใจเกี่ยวกับการศึกษาความสัมพันธ์ทางสังคมและความรักในบริบทสมัยใหม่ “Liquid Love” จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ในยุคนี้มีลักษณะที่เปราะบางและไม่ยั่งยืน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...