งานชิ้นสำคัญของ Bruno Latour ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางและน่าสนใจมีหลายเล่ม แต่เล่มที่ผมชอบ มี2 เล่ม เล่มแรกคือหนังสือชื่อ Laboratory Life: The Construction of Scientific Facts" (1979) เล่มนี่ Bruno Latour เขียนร่วมกับ Steve Woolgar
Bruno Latour สำรวจวิธีการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการ และวิธีการที่ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ถูกสร้างขึ้น โดยใช้วิธีการศึกษาชีววิทยาเชิงชาติพันธุ์วรรณนา โดยประเด็นสำคัญก็คือ
การสร้างความรู้ในห้องปฏิบัติการ ผ่านการวิเคราะห์กระบวนการสร้างความรู้ในห้องปฏิบัติการ โดยเน้นที่ตัวบุคคล อุปกรณ์ เทคโนโลยี และสังคมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการวิจัยวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์จึงเป็นสิ่งที่มีการกำหนดและสร้างความจริง โดย Latour ชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่ความจริงในวิทยาศาสตร์ถูกกำหนดและสร้างขึ้น โดยมีผู้เชี่ยวชาญเป็นตัวกำหนด และกระบวนการที่ทำให้ความจริงนั้นเกิดขึ้น
การสร้างและเชื่อมโยงข้อมูล Bruno Latour เน้นที่การสร้างและเชื่อมโยงข้อมูลในกระบวนการวิจัย ซึ่ง Latour วิเคราะห์ถึงความสำคัญของการติดตามและบันทึกข้อมูลในการวิจัย รวมถึงการเชื่อมโยงระหว่างนักวิจัยและเชื้อชาติ โดย Latour พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัยและเชื้อชาติที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการกำหนดและสร้างความรู้ด้วยเช่นกัน
สุดท้ายเขามีการนำเสนอภาพลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ โดยภาพลักษณ์ของวิทยาศาสตร์มีความสอดคล้องกับความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของกระบวนการวิจัยในห้องปฏิบัติการ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้เช่น
1.ภาพของการวัดและการวิเคราะห์ โดยการวัดและการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ อาจมองเป็นภาพเชิงรูปธรรมของนักวิจัยที่กำลังใช้เครื่องมือวัดหรือเครื่องมือวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เพื่อเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับและวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้
2. ภาพของการทดลอง โดยการทดลองเป็นกระบวนการที่สำคัญในการสร้างความรู้ในสาขาวิทยาศาสตร์ อาจมีภาพเชิงรูปธรรมของนักวิจัยที่กำลังดำเนินการทดลอง พร้อมกับอุปกรณ์และสารที่ใช้ในการทดลอง เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของกระบวนการวิจัย
3.ภาพของการทำงานร่วมกัน การทำงานร่วมกันของนักวิจัยและผู้ช่วยวิจัยเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้กระบวนการวิจัยเป็นไปได้อย่างราบรื่น อาจมีภาพเชิงรูปธรรมของทีมงานที่กำลังทำงานร่วมกันในห้องปฏิบัติการ เพื่อเสริมความเข้าใจถึงการทำงานร่วมกันและการแบ่งหน้าที่
4. ภาพของการสร้างความรู้ โดยการสร้างความรู้ในวิทยาศาสตร์มักเกิดขึ้นผ่านการทดลองและการวิเคราะห์ข้อมูล อาจมีภาพเชิงรูปธรรมของนักวิจัยที่กำลังจดบันทึกข้อมูล หรือวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับ ซึ่งช่วยเสริมความเข้าใจในกระบวนการสร้างความรู้ในวิทยาศาสตร์
5. ภาพของความซับซ้อน ซึ่งการวิจัยในสาขาวิทยาศาสตร์มักมีความซับซ้อนและมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างให้เห็นภาพชัดเจน อาจมีภาพเชิงรูปธรรมที่แสดงถึงความซับซ้อนของการทดลองหรือการวิเคราะห์ เพื่อเสริมความเข้าใจในความซับซ้อนของกระบวนการวิจัย
หนังสืออีกเล่มของ Bruno Latour ที่คนอ่านกันเยอะและแนวคิดถูกนำไปใช้กันมากก็คือหนังสือ ชื่อ Reassembling the Social: An Introduction to Actor-Network-Theory(2005) ที่มีสาระสำคัญที่เน้นไปที่การแนะนำและอธิบายแนวคิด Actor-Network Theory (ANT) ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจเอาไปประยุกต์ใช้การอธิบายทางสังคมวัฒนธรรม อาทิเช่น
1. การทบทวน มโนทัศน์ความคิดเกี่ยวกับสังคม
โดย Bruno Latour ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมของสังคมที่มองว่าสังคมเป็นสิ่งที่มีลักษณะแบบตายตัวและเป็นเอกภาพ มากกว่าจะลื่นไหว เปลี่ยนแปลง หลากหลายและแยกส่วน โดยเสนอว่าความสัมพันธ์ทางสังคมเกิดขึ้นจากเครือข่ายของผู้กระทำการ (actors) ที่สามารถเป็นทั้งมนุษย์และสิ่งของ สิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ก็ได้
2. การกระจายอำนาจการกระทำ
Bruno Latour เสนอว่าแนวคิด ANT นั้นสะท้อนอำนาจและการกระทำไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในมนุษย์ แต่สามารถกระจายไปยังสิ่งของ วัตถุ และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างและรักษาเครือข่ายทางสังคม
3. การสร้างเครือข่าย
Bruno Latour อธิบายถึงวิธีที่เครือข่ายของผู้กระทำการถูกสร้างขึ้นและรักษาไว้ โดยการเชื่อมโยงผู้กระทำการต่างๆ ผ่านกระบวนการแปลความหมาย (translation) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผู้กระทำการพยายามเชื่อมโยงและจัดระเบียบความสัมพันธ์ของตัวเองกับสิ่งอื่นๆ
4. การไม่แยกธรรมชาติและสังคมออกจากกัน
Bruno Latour เน้นว่าไม่ควรแยกธรรมชาติและสังคมออกจากกัน เพราะทั้งสองส่วนนี้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายเดียวกัน และมีการกระทำที่เกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลา
5. การวิเคราะห์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Bruno Latour ได้ให้กรอบวิธีการใหม่ในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการมองว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นกระบวนการที่เกิดจากการกระทำร่วมกันของผู้กระทำการทั้งหลาย ไม่ใช่เพียงการทำงานของนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกรเท่านั้น
6. การเน้นความสัมพันธ์
Bruno Latour ชี้ว่าแนวคิด ANT เน้นการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำการมากกว่าการศึกษาในตัวผู้กระทำการเองอย่างเดียว ความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่สร้างและคงไว้ซึ่งสังคม
7. การอธิบายการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
Bruno Latour แสดงให้เห็นว่าเครือข่ายทางสังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา โดยการเชื่อมโยงและการแยกตัวของผู้กระทำการ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เห็นถึงความเป็นพลวัตของสังคมที่เคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่ง
ตัวอย่างรูปธรรมที่เชื่อมโยงกับแนวคิดได้ เช่น การใช้ตัวอย่างของเทคโนโลยี Latour ใช้ตัวอย่างจากประเด็นทางเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาและการใช้ระบบขนส่ง เพื่อแสดงให้เห็นว่าการทำงานของเทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับเครือข่ายของผู้กระทำการหลากหลาย ทั้งนักออกแบบ วิศวกร ผู้ใช้งาน และวัสดุที่ใช้ในการผลิตเพื่อสร้างการขนส่งหรือมีส่วนสัมพันธ์กับการขนส่ง
หรือการศึกษาโครงการทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ Latour วิเคราะห์โครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าความรู้และข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของผู้กระทำการหลากหลาย รวมถึงเครื่องมือวิจัยและวิธีการทางวิทยาศาสตร์เข้ามาประกอบ ในการศึกษาเกี่ยวกับโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ Latour เขียนแผนภูมิเครือข่ายเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างนักวิจัย อุปกรณ์วิจัย เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของกระบวนการวิจัยและผลลัพธ์ที่ได้
ในสถานการณ์ของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ก็มีการสร้างแผนภูมิเครือข่ายเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ออกแบบ ผู้ผลิต วัสดุ และผู้ใช้งาน ซึ่งช่วยให้เข้าใจกระบวนการการพัฒนาและการกระจายผลิตภัณฑ์ฝ
ในการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เช่น การใช้เทคโนโลยีใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการทำงาน มีการสร้างแผนภูมิเครือข่ายเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและผู้ต่อต้าน องค์กร และองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องที่ผูกโยงกัน เพื่อแสดงความซับซ้อนของการเชื่อมโยงระหว่างการกระทำของผู้กระทำต่างๆ ในเครือข่าย ทั้งการกระทำที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของกระบวนการทำงานและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
แต่หากให้วิจารณ์แนวคิด เพราะที่จริงแล้วทุกๆแนวคิดล้วนมีข้อจำกัด เช่น มีจุดที่เน้นบางอย่างมากเกินไป ให้ความสำคัญบางอย่างน้อยไป หรือละเลยยางอย่างไป ผมเลยมองว่าแนวคิด ANT ของLatour ถ้าจะมีจุดอ่อนและข้อวิจารณ์ ก็เช่น
1. การเน้นเรื้องของการกระจายอำนาจมากเกินไป เนื่องจาก ANT มองว่าอำนาจกระจายอยู่ทั่วทั้งเครือข่าย และไม่ได้อยู่ที่ตัวบุคคลหรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งอาจทำให้มองข้ามการที่บางกลุ่มหรือบุคคลมีอำนาจมากกว่าและสามารถมีอิทธิพลมากกว่าในเครือข่าย
2. การละเลยบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ ทำให้แนวคิด ANT บางครั้งถูกวิจารณ์ว่าละเลยบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ที่สำคัญในการเข้าใจพฤติกรรมและการปฏิสัมพันธ์ของนักแสดงในเครือข่าย ทำให้มุมมองนี้อาจไม่ครอบคลุมหรือไม่ครบถ้วน
3. ความยากลำบากในการแยกแยะความสำคัญ แนวคิด ANT มองว่านักแสดงทั้งมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์มีความสำคัญเท่าเทียมกันในการสร้างและรักษาเครือข่าย ซึ่งอาจทำให้ยากต่อการแยกแยะว่าปัจจัยใดหรือใครมีความสำคัญมากกว่าในการศึกษาปัญหาใดปัญหาหนึ่ง
4. การให้ความสำคัญกับการแสดงออกของเทคโนโลยีมากเกินไป แนวคิด ANT มักเน้นถึงบทบาทของเทคโนโลยีและวัตถุในเครือข่าย ซึ่งอาจทำให้ละเลยหรือมองข้ามปัจจัยที่มีความสำคัญทางสังคม วัฒนธรรม และจิตวิทยาของมนุษย์ที่มีความสำคัญ
5. การขาดวิธีการและเครื่องมือที่ชัดเจน แนวคิด ANT มักถูกวิจารณ์ว่าขาดวิธีการและเครื่องมือในการวิเคราะห์ที่ชัดเจน ทำให้การนำแนวคิดนี้ไปใช้ในการวิจัยอาจมีความซับซ้อนและยากลำบากในการกำหนดปัจจัยหลัก ปัจจัยรอง ปัจจัยที่ต้องดูอย่างเร่งด่วน
6. การไม่สนใจในโครงสร้างและสถาบัน แนวคิด ANT มักถูกมองว่าไม่สนใจหรือไม่เน้นถึงบทบาทของโครงสร้างและสถาบันในสังคม ทำให้การวิเคราะห์อาจไม่ครอบคลุมถึงการมีปฏิสัมพันธ์และการกระทำของนักแสดงในบริบทของโครงสร้างทางสังคมที่มีอยู
7. การนำแนวคิดไปใช้ในทางปฏิบัติ เพราะการนำแนวคิด ANT ไปใช้ในการศึกษาจริงอาจมีความซับซ้อนและยากลำบาก เนื่องจากต้องคำนึงถึงปัจจัยที่หลากหลายและการเชื่อมโยงกันของนักแสดงที่มีความหลากหลาย
การวิจารณ์เหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนที่มีต่อแนวคิด ANT ของ Latour โดยการนำแนวคิดนี้ไปใช้ในการวิจัยหรือการศึกษา ควรพิจารณาข้อจำกัดและจุดอ่อนดังกล่าวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความสมบูรณ์และครอบคลุมมากขึ้น
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น