เตรียมตัวสอนมานุษยวิทยาเศรษฐกิจพรุ่งนี้ กับงานคลาสสิคที่มีพลังชิ้นนี้
Karl Polanyi เป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักมานุษยวิทยาที่มีผลงานสำคัญในเรื่องระบบเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม หนังสือสำคัญของเขาคือ “The Great Transformation: The Political and Economic Origins of Our Time” (1944) หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในผลงานสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์และมานุษยวิทยาในเชิงวิพากษ์ต่อระบบตลาดและเศรษฐกิจร่วมสมัย งานของเขาเป็นผลงานที่มีผลกระทบทางวิชาการอย่างมากในด้านเศรษฐศาสตร์ มานุษยวิทยา และรัฐศาสตร์ โดย Polanyi ให้ความสำคัญกับการอธิบายผลกระทบของระบบตลาดต่อโครงสร้างสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจและตัวอย่างเชิงรูปธรรมดังนี้
1. Karl Polanyi อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบเศรษฐกิจและสังคมของยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19–20 จากเศรษฐกิจที่ฝังอยู่ในความสัมพันธ์ทางสังคม (embedded economy) ไปสู่เศรษฐกิจตลาดเสรี โดยเขาโต้แย้งว่าสังคมไม่ควรถูกควบคุมโดยตลาดเสรี เพราะจะนำไปสู่การล่มสลายของสังคมและสิ่งแวดล้อม
Karl Polanyi เสนอแนวคิดว่าเศรษฐกิจควรฝังตัวอยู่ในสังคม (re-embedding) ไม่ใช่ให้ตลาดกลายเป็นกลไกที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่จิตใจร่างกายของมนุษย์เรา
2. แนวคิดสำคัญ คือภาวะการเคลื่อนไหวแบบทวิลักษณ์ การเคลื่อนไหวแบบสองทาง หรือ Double Movement สังคมจะตอบโต้ต่อการแผ่ขยายของตลาดเสรีด้วยการเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องตนเอง เช่น การสร้างสวัสดิการหรือกฎหมายแรงงาน เป็นต้น
แนวคิด “Double Movement” (การเคลื่อนไหวสองทาง) มองว่า ระบบตลาดเสรีขยายตัวโดยไม่สนใจผลกระทบทางสังคม แต่สังคมก็จะมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านตลาด เช่น การสร้างกฎหมายคุ้มครองแรงงานหรือการจัดสวัสดิการข้อความสำคัญที่ใช้ในหนังสือคือ “The extension of the market organization in respect to genuine commodities was accompanied by its restriction in respect to fictitious ones.”
อีกแนวคิดคือ Fictitious Commodities โดย Polanyi ระบุว่าสิ่งสำคัญสามอย่าง คือ ที่ดิน แรงงาน และเงิน ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสินค้า (commodities) เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการซื้อขาย
แนวคิด “Fictitious Commodities” (สินค้าเสมือน) Polanyi ชี้ให้เห็นว่าแรงงาน (labor) ที่ดิน (land) และเงิน (money) ไม่ใช่สินค้าที่แท้จริง แต่ระบบเศรษฐกิจเสรีพยายามเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นสินค้าเพื่อการซื้อขาย เขามองว่า แรงงาน คือชีวิตมนุษย์ ที่ดินคือธรรมชาติ เงินคือเครื่องมือแลกเปลี่ยน การทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นสินค้าเป็นภัยต่อความมั่นคงของสังคมอย่างยิ่ง ข้อความสำคัญที่อยู่ในหนังสือที่เขาใช้อธิบายเรื่องนี้คือ “To allow the market mechanism to be the sole director of the fate of human beings and their natural environment would result in the demolition of society.”
แนวคิด “Embeddedness” (เศรษฐกิจที่ฝังตัวในสังคม) Polanyi โต้แย้งว่าในสังคมดั้งเดิม เศรษฐกิจไม่ได้ดำรงอยู่ในฐานะ “ระบบแยกต่างหาก” แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ถูกกำกับด้วยบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ระบบแลกเปลี่ยนในชนเผ่าพื้นเมืองไม่ได้มุ่งเน้นที่ผลกำไรแต่เพื่อรักษาความสัมพันธ์ ข้อความสำคัญที่อยู่ในหนังสือที่เขาใช้อธิบายเรื่องนี้คือ
“The economic system was submerged in general social relations.”
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ Karl Polanyi ใช้คือ
1. การปฏิรูปสังคมในยุโรปช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดย Polanyi ยกตัวอย่างถึงการที่รัฐสร้างระบบประกันสังคมและสวัสดิการเพื่อปกป้องแรงงานจากการถูกกดขี่โดยตลาดเสรี หรือกรณีการพังทลายของเศรษฐกิจเสรีในศตวรรษที่ 20 ตัวอย่างเศรษฐกิจโลกในช่วง Great Depression (1929) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจเสรีที่ไม่มีการควบคุมสร้างผลกระทบรุนแรงต่อสังคมและแรงงาน
2. ระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม ซึ่ง Polanyi อ้างถึงเศรษฐกิจของชนเผ่าพื้นเมืองหรือชุมชนเกษตรที่มีการแลกเปลี่ยนในลักษณะของ “reciprocity” (การแลกเปลี่ยนด้วยความสัมพันธ์) มากกว่าการซื้อขายในระบบตลาด เช่น ระบบ Reciprocity ( การแลกเปลี่ยนด้วยความสัมพันธ์) ในชุมชนพื้นเมืองแอฟริกาหรือ “Redistribution” (การกระจายทรัพยากร) ในอาณาจักรอียิปต์โบราณ เพื่อแสดงว่าเศรษฐกิจไม่ได้แยกจากความสัมพันธ์ทางสังคม
3. การปฏิรูปแรงงานในอังกฤษ (The Speenhamland System) Polanyi ยกตัวอย่างการช่วยเหลือคนจนในอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 (Speenhamland System) ซึ่งรัฐเข้ามาสนับสนุนรายได้ขั้นต่ำสำหรับคนจนเพื่อปกป้องพวกเขาจากผลกระทบของตลาดแรงงาน แม้ระบบนี้จะถูกวิจารณ์ว่าไม่ส่งเสริมการทำงาน แต่ Polanyi มองว่ามันเป็นตัวอย่างของการที่สังคมพยายามตอบโต้การทำลายล้างของตลาดเสรี
4. วิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลก (Great Depression) Polanyi วิเคราะห์วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 1929–1939 ว่าเป็นผลมาจากการพยายามสร้างระบบตลาดโลกที่ปราศจากการควบคุม ซึ่งล้มเหลวจนทำให้หลายประเทศต้องหันกลับมาใช้มาตรการปกป้องทางเศรษฐกิจ
5. นโยบายรัฐสวัสดิการในยุโรป หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ เช่น สวีเดนและอังกฤษ สร้างระบบรัฐสวัสดิการเพื่อปกป้องประชาชนจากผลกระทบของตลาด เช่น ประกันสุขภาพ การศึกษา และสวัสดิการแรงงาน ซึ่งสะท้อน “การเคลื่อนไหวตอบโต้” ของสังคม
ข้อสรุปที่สำคัญ Polanyi ชี้ว่าเศรษฐกิจเสรีอาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงและการล่มสลายของสังคม หากไม่มีการควบคุมและปกป้องโดยสถาบันทางสังคม การแก้ไขปัญหาไม่ใช่การล้มเลิกตลาด แต่ต้อง “ฝัง” ระบบเศรษฐกิจไว้ในสังคมเพื่อสร้างสมดุลระหว่างตลาดและความเป็นมนุษย์ หนังสือ “The Great Transformation” เป็นผลงานที่กระตุ้นการคิดวิพากษ์ต่อเศรษฐกิจและนโยบายสังคมจนถึงปัจจุบัน
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น