ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ภาวะ “Back Loop“ วิกฤต โอกาส และการปรับตัว ในยุคแอนโทรโพซีน มองผ่านงาน Stephanie Wakefield โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ “Anthropocene Back Loop: Experimenting with Posthuman Futures” (2020) โดย Stephanie Wakefield เป็นหนังสือที่สำรวจแนวคิดเกี่ยวกับ Anthropocene (ยุคที่มนุษย์มีอิทธิพลต่อโลกอย่างลึกซึ้ง) และการปรับตัวต่อความไม่แน่นอนในอนาคต โดยนำเสนอกรอบความคิดที่เรียกว่า “back loop” หรือการวนกลับ ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดึงมาจากทฤษฎีระบบนิเวศ (ecological systems theory) หนังสือเล่มนี้เป็นการสำรวจความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค Anthropocene ที่มนุษย์กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลหลักต่อสิ่งแวดล้อมและระบบโลก โดย Wakefield นำเสนอกรอบแนวคิด “back loop” เพื่ออธิบายช่วงเวลาวิกฤติในระบบนิเวศที่เกิดขึ้นพร้อมกับโอกาสในการสร้างอนาคตใหม่ที่ไม่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (posthuman futures) แนวคิดสำคัญในหนังสือ 1. Back Loop ของ Anthropocene “Back loops are not merely moments of collapse but are crucial times for experimentation, creativity, and building new futures.” ”ช่วง back loop ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาแห่งความล่มสลาย แต่เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างสรรค์และทดลองสิ่งใหม่“ แนวคิดเรื่อง Back Loop ของ Wakefield อธิบายว่า “back loop” เป็นช่วงเวลาที่ระบบนิเวศ (หรือระบบสังคม) อยู่ในภาวะเปลี่ยนผ่านหลังจากเกิดการล่มสลายของโครงสร้างหรือสมดุลเดิม เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือวิกฤติสิ่งแวดล้อม ใน back loop เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการทดลองและสร้างโครงสร้างใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่การฟื้นตัวหรือการกำหนดรูปแบบชีวิตในอนาคต Wakefield ใช้ “back loop” เพื่ออธิบายช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในระบบ เมื่อโครงสร้างและกระบวนการที่คงอยู่ใน “front loop” (ช่วงเวลาเสถียรภาพและการเติบโต) เริ่มเสื่อมถอย เธอเน้นว่าช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำหรับการทดลองและสร้างอนาคตใหม่ โดยเฉพาะในโลกที่เผชิญกับวิกฤติสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ 2. Posthuman Futures “The Anthropocene calls for a rethinking of human exceptionalism, urging us to move beyond the anthropocentric and toward a posthuman framework of coexistence.” ในยุค Anthropocene เรียกร้องให้เราละทิ้งความคิดที่ว่ามนุษย์เป็นผู้พิเศษ และสร้างกรอบความคิดแบบ posthuman ที่เน้นการอยู่ร่วมกัน Wakefield เสนอวิธีการคิดเกี่ยวกับ “posthumanism” ที่เน้นการปรับตัวและการอยู่ร่วมกับระบบโลกในลักษณะใหม่ โดยแนวคิดนี้มุ่งเน้นไปที่การเลิกมองมนุษย์เป็นศูนย์กลาง และสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี และสิ่งมีชีวิตอื่น Wakefield ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเลิกมองมนุษย์เป็นศูนย์กลางของโลก แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับธรรมชาติ เทคโนโลยี และสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่ง Wakefield เสนอว่าเราควรออกแบบอนาคตโดยไม่เน้น “การควบคุม” ธรรมชาติ แต่ต้องอยู่ร่วมกับความไม่แน่นอน 3. ความนยืดหยุ่นนและปรับตัวต่อสถานการณ์ “Resilience is not about returning to the past but adapting to the present and future uncertainty.” ”ความยืดหยุ่นไม่ได้หมายถึงการกลับไปสู่สิ่งที่เคยเป็น แต่เป็นการปรับตัวเพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในปัจจุบันและอนาคต“ Wakefield ยกตัวอย่างเมืองและชุมชนที่ทดลองใช้วิธีการอยู่ร่วมกับโลกแบบใหม่ เช่น การฟื้นฟูพื้นที่ที่เคยเสียหาย การใช้ระบบนิเวศในเมืองเพื่อปรับตัวต่อภัยพิบัติ และการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานให้ยืดหยุ่นต่ออนาคต โดยเธอวิเคราะห์กรณีศึกษาเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเมืองไมอามี (Miami) จากการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล Wakefield เสนอว่าในช่วง back loop เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการทดลองรูปแบบใหม่ของการดำรงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ การออกแบบพื้นที่ หรือการสร้างชุมชน ตัวอย่างเช่น การสร้างพื้นที่ “resilient” หรือพื้นทียืดหยุ่นที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ Wakefield มองว่าในยุค Anthropocene การทดลองใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านนโยบายเมือง การออกแบบสถาปัตยกรรม หรือการปรับตัวของมนุษย์ มีความสำคัญต่อการฟื้นฟูระบบที่เสียหายไปแล้วให้กลับคืนมา ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ 1. เมืองไมอามี (Miami) โดย Wakefield วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในเมืองไมอามีที่ต้องเผชิญกับปัญหาระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นการสร้าง “resilient infrastructure” เช่น การออกแบบระบบน้ำและการสร้างพื้นที่สีเขียวในเมืองเพื่อลดความเสี่ยงจากน้ำท่วม 2. แนวคิด Earth System Experimentation ที่มองว่า การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่แค่การศึกษาธรรมชาติ แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงและการจัดการโลกในฐานะระบบหนึ่ง เช่น การฟื้นฟูระบบนิเวศในพื้นที่ที่ถูกทำลาย 3. การฟื้นฟูพื้นที่ที่เคยถูกทำลาย (Urban Ecologies) โดย Wakefield ยกตัวอย่างการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่นต่อวิกฤติ เช่น การสร้างเขื่อนแบบปรับตัวได้ หรือสวนในเมืองที่ช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ประเด็นที่น่าสนใจในการศึกษาในประเด็นอื่นๆเพิ่มเติม คือ การนำแนวคิด back loop ไปใช้ในบริบทสังคมไทย เช่น การออกแบบเมืองที่รับมือกับปัญหาสิ่งแวดล้อม การเชื่อมโยง posthumanism กับแนวทางอนุรักษ์ธรรมชาติและการพัฒนาเทคโนโลยี สุดท้ายคือการวิเคราะห์นโยบายฟื้นฟูพื้นที่ชุมชนที่เผชิญวิกฤติในประเทศต่างๆ หนังสือเล่มนี้เป็นการสำรวจความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค Anthropocene ที่มนุษย์กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลหลักต่อสิ่งแวดล้อมและระบบโลก โดย Wakefield นำเสนอกรอบแนวคิด “back loop” เพื่ออธิบายช่วงเวลาวิกฤติในระบบนิเวศที่เกิดขึ้นพร้อมกับโอกาสในการสร้างอนาคตใหม่ที่ไม่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (posthuman futures) อีดต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...