Hungry Bodies are socially produced ร่างกายที่หิวโหยเป็นสิ่งที่สังคมผลิตและสร้างความหมายบางอย่างให้เกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์
มนุษย์มีความต้องการความมีสุขภาพดีที่มาจากอาหารที่ดีและสมบูรณ์เพียงพอ แต่ปัญหาของผู้หิวโหยในส่วนต่างๆของโลกเกี่ยวโยงกับประเด็นที่ว่าด้วยการแย่งชิงทรัพยากร แหล่งทรัพยากรที่ขาดแคลน การขาดเทคโนโลยี ความรู้และการมีจำนวนประชากรที่มากเกินไป ในขณะเดียวกันสิ่งที่น่าสนใจคือปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร ที่ดิน ป่าไม้น้ำ หรือเทคโนโลยี สัมพันธ์กับเรื่องอำนาจ ใครเป็นเจ้าของ ใครมีอำนาจตัดสินใจ ใครทำหน้าที่ใช้และจัดสรรทรัพยากร ที่นำไปสู่ปฎิบัติการด้านอาหารและการผลิต ดังนั้นการพิจารณาถึงสาเหตุดังกล่าวนอกจากจะพิจารณาความเหมาะสมในมิติทางสังคมวัฒนธรรมแล้ว ควรที่จะพิจารณาให้เห็นความสำคัญและความขัดแย้งในมิติเชิงการเมืองด้วย เช่น ทุนข้ามชาติที่ควบคุมเทคโนโลยี การจัดการที่ดินของภาครัฐและการใช้ประโยชน์จากที่ดินและสารเคมีที่เข้มข้นที่เกี่ยวพันธ์กับการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อการส่งออก ที่ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงด้านอาหาร นอกจากนี้ ความหิวโหยมันสัมพันธ์กับชนชั้น ความยากจน ความไม่เท่าเทียมในการกระจายทรัพยากรที่เป็นธรรม ที่เข้าใจคนเล็กคนน้อย
นโยบายของรัฐที่จะต้องขจัดความหิวโหยและความยากจนอย่างแท้จริง หากความหิวโหย คือความเจ็บป่วยแบบหนึ่ง มันก็คงไม่เกี่ยวแค่เรื่องของเชื้อโรคที่ทำให้คนเจ็บป่วยเท่านั้น แต่เป็นความเจ็บป่วยทางสังคมแบบหนึ่งด้วย
หัวข้อหนึ่งในการเตรียมการสอนเนื้อหามานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกาย นำมาจากบทหนึ่งในหนังสือ “Health, Illness, and the Social Body: A Critical Sociology” โดย Peter E.S. Freund, Meredith B. McGuire, และ Linda S. Podhurst เป็นหนังสือที่สำคัญในสายสังคมวิทยาสุขภาพ โดยนำเสนอแนวคิดและตัวอย่างเชิงวิพากษ์เพื่อทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพ ความเจ็บป่วย และร่างกายในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจการศึกษาด้านสุขภาพในมุมมองของสังคมวิทยา โดยเฉพาะในด้านวิพากษ์อำนาจ โครงสร้าง และปฏิสัมพันธ์ในสังคมที่ส่งผลต่อสุขภาพและการรักษา หลายบทความทำให้เราเห็นมุมมองเรื่องสุขภาพแเละความเจ็บป่วยดังนี้
1. มุมมองเชิงสังคมวิทยาต่อสุขภาพและความเจ็บป่วย สุขภาพไม่ได้เป็นเพียงสถานะทางกายภาพ แต่เป็นผลลัพธ์ของปัจจัยทางสังคม เช่น ชนชั้น เพศ อายุ เชื้อชาติ และบริบททางวัฒนธรรม ระบบสุขภาพสะท้อนโครงสร้างอำนาจในสังคม เช่น การควบคุมทางการแพทย์หรือการกดขี่ผู้ป่วยในระบบของการรักษาและการดูแลทางสุขภาพ
สุขภาพจึงเป็นมากกว่าความสมบูรณ์ของร่างกาย แต่มันสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ
2. การแพทย์ในฐานะสถาบันทางสังคม (Medicine as a Social Institution) โดยการวิจารณ์บทบาทของการแพทย์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้น “biomedical model” โดยเน้นโรคทางกายและละเลยมิติทางจิตใจและสังคม ( Psycho-Social Model) การแพทย์มีบทบาทในการควบคุมและกำหนดพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การบังคับใช้มาตรฐานสุขภาพ
หรือการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานหนักในวัฒนธรรมทุนนิยมกับโรคที่เกิดจากความเครียด (Stress-related illnesses) เป็นต้น
การแพทย์สมัยใหม่มีอิทธิพลต่อการสร้างความหมายเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การกำหนดว่าพฤติกรรมใดถือว่า “ผิดปกติ” และต้องรักษา
3. ร่างกายและอัตลักษณ์ (The Body and Identity) การมองร่างกายในฐานะพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นโดยวัฒนธรรมและการเมือง รวมทั้งอิทธิพลของอุดมคติทางสังคม เช่น ความงาม น้ำหนัก หรือเพศ ต่อสุขภาพจิตและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ตัวอย่างการตลาดเกี่ยวกับสุขภาพ เช่น อุตสาหกรรมอาหารเสริม และการแพทย์ทางเลือก ที่สร้างอัตลักษณ์ตัวตนของผู้คนทางสุขภาพที่หลากหลาย
ในขณะเดียวกันร่างกายมนุษย์ถูกปรับเปลี่ยนและควบคุมโดยระบบสังคม เช่น การกำหนดมาตรฐานความงาม หรือการตรวจสอบร่างกายในที่ทำงาน
4. ความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพ (Health Inequalities) ที่มุ่งเน้นการสำรวจความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพ เช่น การเข้าถึงการรักษา และผลกระทบของชนชั้นสังคม ยกตัวอย่างเช่น ระบบสุขภาพในบริบทต่าง ๆ และผลกระทบต่อกลุ่มชายขอบ เช่น ชนกลุ่มน้อยหรือผู้มีรายได้น้อย
ดังนั้นความเจ็บป่วยไม่เพียงส่งผลต่อร่างกายของคน แต่ยังสะท้อนถึงสถานะทางสังคมที่พวกเขาดำรงอยู่ด้วย
5. การวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการทำให้สุขภาพเป็นสินค้า (Commodification of Health) การทำให้สุขภาพและบริการทางการแพทย์กลายเป็นสินค้าที่ซื้อขายได้ ส่งผลต่อคุณภาพและความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริการและผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพ
กรณีศึกษาของระบบสุขภาพในสหรัฐอเมริกา ที่แสดงถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำ เช่น ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงและการเข้าถึงที่ไม่เท่าเทียม
การเปลี่ยนสุขภาพให้เป็นสินค้าเปิดช่องให้ผู้บริโภคต้อง “ซื้อสุขภาพ” โดยมีเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้าถึงได้ เช่น ยาและอุปกรณ์การแพทย์ราคาแพง เป็นต้น
หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าสุขภาพและความเจ็บป่วยไม่ได้เป็นเพียงปรากฏการณ์ทางชีวภาพ แต่เป็นผลของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและโครงสร้างอำนาจ รวมทั้งยังส่งเสริมการตั้งคำถามต่อระบบสุขภาพปัจจุบันและเปิดมุมมองใหม่สำหรับการวิจัยและการปฏิบัติในสายวิทยาศาสตร์สุขภาพและสังคมวิทยามานุษยวิทยา
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจที่เชื่อมโยงกับสังคมยุคปัจจุบัน เช่น
1. ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้แรงงานกับโรคภัย (Work and Illness) ตัวอย่างจาก โรคที่เกี่ยวข้องกับความเครียดจากการทำงาน (Occupational Stress) เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และภาวะซึมเศร้า โดยระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เน้นผลผลิตสูง ทำให้แรงงานต้องทำงานหนักและละเลยสุขภาพ อาทิกรณีศึกษาเกี่ยวกับ “โรคคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม (Computer Vision Syndrome)” ในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
2. การตลาดเพื่อสุขภาพ (Health as a Commodity) ใช้การวิเคราะห์กรณีตัวอย่างของอุตสาหกรรมอาหารเสริม เช่น การโฆษณาที่เกินจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ “ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน” ที่นำไปสู่การวิจารณ์การทำให้สุขภาพกลายเป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ที่เข้าถึงได้เฉพาะผู้มีกำลังซื้อ เช่น การขายโปรแกรมฟิตเนสส่วนบุคคลหรือบริการตรวจสุขภาพแบบพรีเมียมครบวงจร เป็นต้น
3. ผลกระทบของความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพ (Health Inequality) ใช้ตัวอย่างเชิงเปรียบเทียบระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา
กรณีในสหรัฐอเมริกา ผู้ไม่มีประกันสุขภาพต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายมหาศาล และมักไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หรือผู้หญิงในประเทศกำลังพัฒนา ที่ต้องเผชิญกับอัตราการเสียชีวิตจากการคลอดบุตรที่สูงกว่า เนื่องจากขาดการดูแลก่อนคลอด เป็นต้น
4. การสร้างภาพลักษณ์สุขภาพในสื่อ (Media and Health Perception) มุ่งเน้นวิเคราะห์กรณีของการโปรโมต “รูปร่างสมบูรณ์แบบ” ในสื่อ เช่น ความผอมที่ถูกเชื่อมโยงกับสุขภาพที่ดี ซึ่งทำให้เกิดปัญหาโรคการกินผิดปกติ (Eating Disorders) ในกลุ่มวัยรุ่นในยุคปัจจุบัน เพื่อเชื่อมโยงกับอุดมคติและความปรารถนาของร่างกายตามสื่อและดาราที่เป็นไอดอล
5. วัฒนธรรมการแพทย์ทางเลือก (Alternative Medicine) ตัวอย่างการเติบโตของการแพทย์แผนทางเลือก เช่น การฝังเข็มและโยคะ ในประเทศตะวันตก โดยการแพทย์ทางเลือกได้รับความนิยมเพราะผู้ป่วยบางกลุ่มรู้สึกว่าการแพทย์แผนปัจจุบันละเลยมิติทางอารมณ์และจิตวิญญาณ….
อ่านก็ได้ไอเดีย ไปขยับงานต่อ …
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น