นักมานุษยวิทยาศึกษาบุคลากรทางการแพทย์กับคนไข้ มาเยอะแล้ว ลองศึกษา คนที่ทดลองยา ให้เรามียารับประทานก็น่าสนใจไม่น้อย ….
หนังสือ Adverse Events: Race, Inequality, and the Testing of New Pharmaceuticals (2020) โดย Jill A. Fisher เป็นงานวิจัยเชิงลึกที่มุ่งสำรวจการทดลองยาทางการแพทย์ในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเรื่องนี้กับประเด็นเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม เชื้อชาติ และเศรษฐกิจในกระบวนการพัฒนาตัวยาใหม่ โดยหนังสือเล่มนี้มีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าใครเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้และใครได้รับผลประโยชน์ในระบบการทดสอบยาที่ครอบงำด้วยผลประโยชน์ทางการตลาดในระบบทุนนิยม
แนวคิดสำคัญที่ผมคิดว่าเราจะได้จากหนังสือเล่มนี้ก็คือ
1. ระบบการทดลองยา ใครเข้าร่วมและทำไมต้องเข้าร่วม?
Fisher ชี้ให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการทดลองยาในสหรัฐฯ มักเป็นคนจากกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ เช่น ชาวแอฟริกันอเมริกัน ชาวลาติน และผู้ที่มีรายได้น้อย ดังนั้นการทดลองยามักเสนอค่าตอบแทนที่ดึงดูดผู้ที่ต้องการรายได้เสริม ส่งผลให้การเข้าร่วมการทดลองกลายเป็น “ทางเลือกทางเศรษฐกิจ” สำหรับคนกลุ่มนี้ แม้จะมีความเสี่ยงต่อสุขภาพก็ตาม
2. ความเหลื่อมล้ำและความสัมพันธ์เชิงอำนาจในกระบวนการทดลองยา
“The bodies of economically and socially vulnerable populations have become a resource for the pharmaceutical industry, creating a moral dilemma about the costs of medical advancement.” (ร่างกายของกลุ่มประชากรที่เปราะบางทางเศรษฐกิจและสังคมกลายเป็นทรัพยากรของอุตสาหกรรมยา สร้างปัญหาทางจริยธรรมเกี่ยวกับต้นทุนของความก้าวหน้าทางการแพทย์)
Fisher โต้แย้งว่าในขณะที่กลุ่มประชากรผู้ด้อยโอกาสมักจะเป็นผู้เข้าร่วมการทดลอง แต่ในทางตรงกันข้าม พวกเขาไม่ได้รับผลประโยชน์จากยาที่พัฒนาได้ในอัตราส่วนที่เท่ากันหรือได้รับความยุติธรรมอย่างสมน้ำสมเนื้อ ยาใหม่ที่ผ่านการทดลองมักถูกจำหน่ายในราคาสูงและไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับคนที่เข้าร่วมการทดลองยาตัวนั้น
3. แนวคิด “Pharmaceuticalized Inequality” Fisher ใช้แนวคิดนี้เพื่ออธิบายว่าความไม่เท่าเทียมกันทางสังคมและเศรษฐกิจถูกตอกย้ำและขยายโดยระบบการทดลองยา ระบบนี้สร้างกลไกที่ทำให้ผู้มีอำนาจและองค์กรได้เปรียบ ขณะที่ผู้เข้าร่วมจากกลุ่มเปราะบางกลับเป็นเพียง “วัตถุดิบ” ในกระบวนการทดลองยา ดังนัันผลประโยขน์จึงเป็นขององค์กรที่วิจัยและผู้ผลิตยามากกว่าผู้เข้าร่วมทดลองยา
“The clinical trial system magnifies existing social inequalities, making health risks disproportionately borne by those who are already disadvantaged.”(ระบบการทดลองยาขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคม ทำให้ความเสี่ยงด้านสุขภาพตกอยู่กับผู้ที่เสียเปรียบอยู่แล้ว)
4. ประเด็นด้านจริยธรรมและผลกระทบทางสังคม การทดลองยาถูกมองว่าเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงระหว่างวิทยาศาสตร์ การแพทย์ และการตลาด
Fisher ตั้งคำถามถึงจริยธรรมของการให้ค่าตอบแทนแก่ผู้เข้าร่วมเพื่อชดเชยความเสี่ยง ในขณะที่ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของพวกเขายังคงไม่แน่นอน
ในหนังสือ Adverse Events: Race, Inequality, and the Testing of New Pharmaceuticals โดย Jill A. Fisher มีตัวอย่างเชิงรูปธรรมหลายประเด็นที่แสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำในกระบวนการทดลองยาและผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางในสังคม ตัวอย่างรูปธรรมในหนังสือ ได้แก่
1. การจ้างงานผู้เข้าร่วมทดลองจากชุมชนรายได้น้อย
Fisher อธิบายว่าบริษัทวิจัยทางคลินิก (CROs) มักเลือกทดลองในพื้นที่ที่มีประชากรเปราะบาง เช่น ชุมชนคนผิวดำและชาวลาติน อีกทั้งมีการโฆษณาในพื้นที่เหล่านี้เพื่อดึงดูดผู้ที่ต้องการรายได้ด่วน
2. ความเสี่ยงที่ไม่ได้รับการชดเชย
ตัวอย่างการทดลองที่ยาที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น การทดลองยาโรคหัวใจที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมในระยะยาว ผู้เข้าร่วมมักไม่ได้รับการติดตามหลังการทดลองเสร็จสิ้น แม้ว่าผลข้างเคียงจะยังคงอยู่
3. ความไม่สมดุลในต้นทุนและผลประโยชน์
Fisher ให้ตัวอย่างของยาใหม่ที่ราคาสูง เช่น ยาสำหรับโรคเรื้อรังที่ผู้เข้าร่วมการทดลองมักไม่สามารถซื้อได้ ยาเหล่านี้ถูกพัฒนาเพื่อกลุ่มตลาดที่มีกำลังซื้อสูงในประเทศพัฒนาแล้ว
4. ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล
ผู้เข้าร่วมการทดลองมักไม่ได้รับข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับความเสี่ยงของการทดลอง มีการเซ็นเอกสารยินยอม (informed consent) แต่ในหลายกรณี เอกสารไม่ได้แสดงข้อมูลในลักษณะที่เข้าใจง่าย
5.การเลือกพื้นที่สำหรับการทดลองยา
Fisher อธิบายว่า บริษัทวิจัยทางคลินิก (Contract Research Organizations - CROs) มักเลือกพื้นที่ทดลองในบริเวณที่มีรายได้ต่ำหรือมีประชากรเปราะบาง เช่น ชุมชนชนบทหรือเขตเมืองที่มีผู้ด้อยโอกาสทางเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่นเมืองเล็กในรัฐทางใต้ของสหรัฐฯ ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำหรือชาวลาติน
สถานพยาบาลในพื้นที่เหล่านี้มักไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการรักษาผู้ป่วย ทำให้ผู้คนสมัครเข้าร่วมการทดลองยาเพื่อเข้าถึงการรักษาฟรี
6. การให้ค่าตอบแทนที่ดึงดูดกลุ่มเปราะบาง
Fisher ยกตัวอย่างการใช้ค่าตอบแทนเป็นแรงจูงใจสำหรับผู้เข้าร่วม เช่น $1,000-$2,000 ต่อการทดลอง ผู้เข้าร่วมหลายคนมองว่าการเข้าร่วมทดลองยาเป็นงานเสริมที่ให้รายได้ง่าย ตัวอย่าง ชายคนหนึ่งในรัฐเท็กซัสที่สมัครเข้าร่วมการทดลองหลายครั้งติดต่อกัน แม้จะเกิดผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
7. การใช้ยาในผู้ป่วยที่ไม่มีข้อมูลความเสี่ยงครบถ้วน
กรฯีตัวอย่างการทดลองยาโรคเบาหวานชนิดใหม่ในชุมชนคนลาตินในรัฐแคลิฟอร์เนียมโดยผู้เข้าร่วมไม่ได้รับแจ้งถึงความเสี่ยงของตับวายที่อาจเกิดขึ้นจากยา หลังการทดลอง มีผู้ป่วยบางรายเสียชีวิต แต่ครอบครัวไม่ได้รับการชดเชยหรือการติดตาม
8. การทดสอบยาสำหรับตลาดประเทศร่ำรวยในกลุ่มผู้เปราะบาง
Fisher อธิบายถึงกรณีที่ยาสำหรับโรคในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น ยาลดคอเลสเตอรอลหรือยาต้านริ้วรอย ถูกทดลองในกลุ่มประชากรยากจ ตัวอย่างเช่น ยาต้านริ้วรอย (anti-aging drugs) ถูกทดลองในชาวแอฟริกันอเมริกันที่มีรายได้น้อยในชิคาโก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เข้าร่วมการทดลอง แต่พวกเขาไม่มีโอกาสเข้าถึงยาเหล่านี้เมื่อออกสู่ตลาดเพราะราคาสูง
9. ความล่าช้าในการติดตามผลหลังการทดลอง
กรณีตัวอย่างการทดลองยาสำหรับโรคหัวใจในชายคนหนึ่ง ในกรณีนี้ Fisher ระบุว่าหลังจากการทดลองยาเสร็จสิ้น ผู้เข้าร่วมไม่ได้รับการติดตามผลทางสุขภาพ แม้ว่าบางคนจะแสดงผลข้างเคียงที่รุนแรงระหว่างหรือหลังการทดลอง ตัวอย่าง ชายในรัฐแอละแบมาที่เข้าร่วมการทดลองยารักษาโรคหัวใจได้รับผลกระทบจากการเต้นของหัวใจผิดจังหวะหลังการทดลอง แต่ไม่ได้รับการดูแลติดตามจากบริษัทวิจัย ปัญหาคือ บริษัทวิจัยมักมองว่าหน้าที่ของตนสิ้นสุดเมื่อการทดลองจบลง ทำให้ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพของผู้เข้าร่วมไม่ได้รับการพิจารณา
10. การทดลองยาที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้เข้าร่วมในระยะยาว โดยเฉพาะผลกระทบต่อสุขภาพระยะยาว
Fisher ยกตัวอย่างยาที่มีผลข้างเคียงที่ส่งผลต่อชีวิตในระยะยาว เช่น การทดลองยารักษาโรคซึมเศร้าที่นำไปสู่ความผิดปกติทางฮอร์โมนในผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น หญิงสาวในรัฐนิวยอร์กที่เข้าร่วมการทดลองยารักษาโรคซึมเศร้าระบุว่าเธอเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับรอบเดือนและภาวะมีบุตรยากหลังจากเข้าร่วมการทดลอง
“Participants often bear the invisible costs of clinical trials, from long-term health issues to emotional and psychological distress.” (ผู้เข้าร่วมมักต้องแบกรับต้นทุนที่มองไม่เห็นจากการทดลองยา ทั้งในรูปแบบของปัญหาสุขภาพในระยะยาวและความเครียดทางอารมณ์และจิตใจ
11. การพึ่งพาบริษัทวิจัยทางคลินิก (CROs)
Fisher อธิบายถึงบทบาทของ CROs ซึ่งเป็นตัวกลางสำคัญที่ทำงานแทนบริษัทยาเพื่อหาผู้เข้าร่วมการทดลอง กรณีตัวอย่างของ CROs เสนอค่าตอบแทนที่สูงสำหรับการทดลองยาใหม่ แต่ละเลยการให้ข้อมูลความเสี่ยงที่ครบถ้วน ในบางกรณี CROs จัดหาผู้เข้าร่วมจากเครือข่ายชุมชนที่เปราะบาง เช่น ศูนย์พักพิงคนไร้บ้านหรือสถานพินิจ
12.การใช้ผู้ป่วยเป็น “ข้อมูลทางการตลาด”และการสร้างผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมยา
Fisher ตั้งข้อสังเกตว่าในบางการทดลอง บริษัทไม่ได้มุ่งหวังพัฒนายาเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้ยาเพื่อการตลาด
ตัวอย่างเช่น การทดลองยาสำหรับรักษาอาการนอนไม่หลับที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับความถี่ในการใช้ยา และการเลือกซื้อยาของผู้เข้าร่วม เพื่อนำไปพัฒนากลยุทธ์การขาย
“Pharmaceutical companies design trials not just for scientific discovery but also for market strategy, placing profits above participants’ well-being.” (บริษัทยาออกแบบการทดลองไม่เพียงเพื่อการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ แต่ยังเพื่อกลยุทธ์ทางการตลาด โดยให้ความสำคัญกับผลกำไรเหนือความเป็นอยู่ของผู้เข้าร่วม)
บทเรียนและข้อคิดจากหนังสือเล่มนี้ได้แก่ ประเด็นเรื่องจริยธรรมในกระบวนการทดลอง โดยการให้ค่าตอบแทนหรือแรงจูงใจควรพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เป็นการ “เอาเปรียบ” กลุ่มเปราะบาง ประเด็นเรื่องความรับผิดชอบหลังการทดลอง บริษัทวิจัยและบริษัทยาควรมีระบบติดตามสุขภาพของผู้เข้าร่วมในระยะยาว และประเด็นเรื่องของการลดความเหลื่อมล้ำ ควรมีการกำกับดูแลให้กลุ่มประชากรที่เข้าร่วมทดลองสามารถเข้าถึงยาที่พัฒนาได้
หนังสือเล่มนี้เป็นการเตือนใจให้พวกเรา เข้าใจและตระหนักถึงผลกระทบเชิงระบบของอุตสาหกรรมยาที่ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องการพัฒนายาใหม่ แต่ยังเป็นเรื่องของอำนาจ เศรษฐกิจ และจริยธรรมที่มีผลต่อชีวิตของผู้คนในสังคมด้วยในฐานะผู้บริโภค
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น