มานุษยวิทยา กับมุมมองภัยพิบัติ ผ่านงาน The Angry Earth : Disaster in Anthropological Perspective. โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
The Angry Earth: Disaster in Anthropological Perspective (1999)ผู้เขียนคือAnthony Oliver-Smith และ Susanna M. Hoffman เป็นหนังสือที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ วัฒนธรรม และภัยพิบัติ โดยให้มุมมองทางมานุษยวิทยาที่เน้นว่า ภัยพิบัติไม่ใช่เหตุการณ์ทางธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างธรรมชาติ โครงสร้างทางสังคม และวัฒนธรรมของมนุษย์ หนังสือเล่มนี้ใช้กรณีศึกษาจากหลากหลายภูมิภาคทั่วโลกเพื่อแสดงให้เห็นว่าความเปราะบางของชุมชน (vulnerability) และความสามารถในการรับมือ หรือความยืดหยุ่นต่อปัญหา (resilience) เป็นผลผลิตของกระบวนการทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ
ดังนั้นภัยพิบัติไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีรากฐานในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม ผู้เขียนใช้กรณีศึกษาหลากหลายจากทั่วโลกเพื่อแสดงให้เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติมักสะท้อนความไม่เท่าเทียมทางสังคม และวิธีการที่ชุมชนต่าง ๆ รับมือกับภัยพิบัติขึ้นอยู่กับบริบททางวัฒนธรรมและทรัพยากรที่พวกเขามี
หนังสือเล่มนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าภัยพิบัติไม่ใช่เพียงเหตุการณ์ทางธรรมชาติ แต่เป็นปัญหาทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการการแก้ไขในเชิงโครงสร้าง หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับนักมานุษยวิทยา นักสังคมศาสตร์ หรือผู้ที่สนใจศึกษาการจัดการภัยพิบัติในบริบทเชิงลึก
แนวคิดสำคัญในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจคือ
1. ภัยพิบัติเป็นมากกว่าธรรมชาติ (Disasters as Social Phenomena)
Oliver-Smith และ Hoffman โต้แย้งว่า ภัยพิบัติไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ทางธรรมชาติ (เช่น แผ่นดินไหวหรือพายุ) แต่เป็นผลกระทบที่รุนแรงขึ้นจาก ความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม โครงสร้างเศรษฐกิจ และนโยบายการจัดการทรัพยากร
ภัยพิบัติจึงไม่ใช่แค่ “เหตุการณ์ทางธรรมชาติ” แต่เป็นผลลัพธ์จากความเปราะบางทางสังคมที่สร้างขึ้น เช่น การวางผังเมือง การขาดโครงสร้างพื้นฐาน และการกระจายทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน
ตัวอย่างเช่น การเกิดแผ่นดินไหวในพื้นที่ชนบทที่มีอาคารก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานส่งผลให้เกิดความเสียหายมากกว่าพื้นที่ในเมือง
หรือตัวอย่างในชุมชนที่ยากจน ภัยพิบัติมักสร้างความเสียหายรุนแรงมากกว่าเพราะขาดโครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุน
“ภัยพิบัติไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากธรรมชาติอย่างเดียว แต่เป็นผลลัพธ์ของโครงสร้างทางสังคมที่เปราะบาง ความไม่เท่าเทียมกันในทรัพยากรหรือโอกาสทำให้กลุ่มคนบางกลุ่มเสี่ยงต่อภัยพิบัติมากขึ้น”
“Disasters are not simply natural phenomena but are shaped by human actions and societal structures. Vulnerability to disaster is often created and exacerbated by unequal social and economic systems.”
ดังนั้นภัยพิบัติจึงเป็นผลผลิตหรือการประกอบสร้างของสังคม (Disasters as Socially Constructed Phenomena)
2. ความเปราะบางทางสังคม (Social Vulnerability) ความเปราะบางทางสังคมเป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาภัยพิบัติในเล่มนี้ โดยเน้นว่า ชนชั้น เพศ อายุ ชาติพันธุ์ และวัฒนธรรม ส่งผลต่อความสามารถของบุคคลหรือชุมชนในการเตรียมตัว รับมือ และฟื้นฟูจากภัยพิบัติ
ดังนั้นความเปราะบางของกลุ่มคน เช่น ชนกลุ่มน้อย ผู้หญิง ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีรายได้น้อย มีบทบาทสำคัญต่อระดับของผลกระทบที่ได้รับจากภัยพิบัติ ดังข้อความในหนังสือว่า
“Vulnerability is a social condition rooted in historical, political, and economic systems that marginalize certain groups and make them more susceptible to disaster impacts.” ที่แปลว่า ความเปราะบางเป็นสภาวะทางสังคมที่มีรากฐานมาจากระบบประวัติศาสตร์ การเมือง และเศรษฐกิจ ซึ่งกีดกันกลุ่มคนบางกลุ่มออกไปและทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อผลกระทบจากภัยพิบัติมากขึ้น ดังนั้นผลกระทบทางภัยพิบัติมันจึงไม่ใช่แค่เรื่องของภูมิศาสตร์ แต่เป็นผลมาจากการกีดกันทางสังคมด้วย เช่น การเลือกปฏิบัติทางเพศ ชนชั้น หรือชาติพันธุ์
3. บทบาทของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ (Culture and History) วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์มีอิทธิพลต่อการรับรู้และการตอบสนองต่อภัยพิบัติ ชุมชนต่าง ๆ มีการสร้างความหมายและวิธีการจัดการภัยพิบัติที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ในบางวัฒนธรรม ภัยพิบัติอาจถูกมองว่าเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า ในขณะที่บางวัฒนธรรมมองว่าเป็นความท้าทายทางวิทยาศาสตร์ที่จะต้องหาคำตอบ คาดคะเนพยากรณ์ หรือคิดค้นวิธีในการแก้ไขปัญหา
ดังนั้นวัฒนธรรมจึงสัมพันธ์กับการให้ความหมายของภัยพิบัติ (Cultural Construction of Disasters) การรับรู้และการตอบสนองต่อภัยพิบัติขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม ชุมชนต่าง ๆ มีการสร้างความหมายที่แตกต่างกันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ข้อความในหนังสือคือ “How a community perceives and reacts to disasters is deeply rooted in its cultural beliefs, values, and practices.” ที่หมายถึง วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดว่าชุมชนจะตอบสนองต่อภัยพิบัติอย่างไร ความเชื่อทางศาสนา ประวัติศาสตร์ของชุมชน และวิธีการจัดการความเสี่ยงล้วนมีผลต่อการตอบสนองต่อภัยพิบัติ (Cultural Responses to Disasters)
4. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience and Adaptation) หนังสือเน้นถึงความสำคัญของการสร้างความยืดหยุ่นทางสังคม (social resilience) และความสามารถของชุมชนในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
ชุมชนมีความสามารถในการปรับตัวต่อภัยพิบัติในรูปแบบที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมและความเชื่อของตน ตัวอย่างเช่น บางวัฒนธรรมใช้พิธีกรรมหรือความเชื่อในท้องถิ่นเพื่ออธิบายและจัดการภัยพิบัติ เช่น การบูชาเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ข้อความในหนังสือที่น่าสนใจคือ “Resilience is not only about bouncing back but also about transforming societies to reduce future risks“ ที่บอกว่า ความยืดหยุ่นไม่ได้หมายถึงเพียงการฟื้นตัวกลับมาเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสังคมเพื่อลดความเสี่ยงในอนาคตด้วย
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจคือ
1. แผ่นดินไหวในเปรู (Earthquake in Peru) แผ่นดินไหวในเปรู (1970) แผ่นดินไหวที่ Ancash ประเทศเปรู (ความรุนแรง 7.9 ริกเตอร์) ก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงในเมือง Yungay ซึ่งอยู่ในพื้นที่ภูเขาสูง ชาวบ้านในพื้นที่ชนบทได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากอาศัยอยู่ในบ้านที่ก่อสร้างจากดินและอิฐที่ไม่แข็งแรง หนังสือชี้ให้เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากแรงของแผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก การขาดการวางผังเมืองที่เหมาะสมและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าแผ่นดินไหวไม่ได้เพียงทำลายสิ่งปลูกสร้าง แต่ยังเปิดเผยถึงความไม่เท่าเทียมทางสังคมและเศรษฐกิจที่มีอยู่เดิม ทำให้ผู้ยากจนได้รับผลกระทบมากกว่า เพราะอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงและไม่มีมาตรฐานการก่อสร้างที่เพียงพอ
2. ภูเขาไฟระเบิดในอินโดนีเซีย ชาวบ้านในพื้นที่เสี่ยงต่อการระเบิดของภูเขาไฟมีการจัดการความเสี่ยงผ่านพิธีกรรมทางวัฒนธรรม เช่น การบูชาเทพเจ้าภูเขาไฟ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นความเชื่อที่หล่อหลอมการดำรงชีวิตและการจัดการภัยพิบัติ
3. พายุเฮอร์ริเคนในทะเลแคริบเบียน กรณีศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า ความเสียหายจากพายุไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรงของพายุเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับการจัดการทรัพยากรของรัฐบาลและการวางแผนของชุมชน
4. ภูเขาไฟระเบิดที่มอนต์เซอร์รัต (1995)การปะทุของภูเขาไฟ Soufrière Hills บนเกาะมอนต์เซอร์รัตในทะเลแคริบเบียน ทำให้ประชากรครึ่งหนึ่งต้องอพยพ • หนังสือวิเคราะห์ว่า การตอบสนองของรัฐบาลต่อวิกฤตการณ์นี้สะท้อนถึงความล้มเหลวของโครงสร้างการจัดการภัยพิบัติ และยังเผยให้เห็นถึง การเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือเท่าที่ควร
5. พายุไซโคลนในบังกลาเทศ (1991) พายุไซโคลนที่มีความรุนแรงระดับ 5 ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 138,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก หนังสือชี้ว่า ความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคมบังกลาเทศส่งผลให้ผู้หญิงเสียชีวิตมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากการจำกัดการเคลื่อนไหวและการเข้าถึงแหล่งพักพิงฉุกเฉิน
6. อุทกภัยในจีน (1931) น้ำท่วมใหญ่ในจีนตอนกลาง ซึ่งเกิดจากแม่น้ำแยงซี ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 2 ล้านคนหนังสือวิเคราะห์ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพียงผลจากภัยธรรมชาติ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการจัดการน้ำที่ผิดพลาดและการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ยั่งยืน
บทเรียนสำคัญที่ได้จากหนังสือ
1. ภัยพิบัติเกิดจากระบบสังคม (Structural Inequality) โครงสร้างสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน เช่น การจัดสรรที่ดินและทรัพยากร การเข้าถึงการศึกษา และระบบสาธารณสุข มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มผลกระทบจากภัยพิบัติ
2. การมีส่วนร่วมของชุมชนในกระบวนการฟื้นฟู (Community Inclusion in Recovery) การฟื้นฟูหลังภัยพิบัติจะยั่งยืนมากขึ้นหากชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการพัฒนานโยบาย
3. การพัฒนาความยืดหยุ่น (Building Resilience) หนังสือสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม การศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมพร้อมรับมือ และการส่งเสริมวัฒนธรรมที่สนับสนุนความสามัคคี
ผมขอบคุณที่ชีวิตผมตัดสินใจถูกที่เรียนมานุษยวิทยาและทำให้มีมุมมองต่อปรากฏการณ์ที่รอบด้านมากขึ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น