ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในเศรษฐกิจชนเผ่าและชาวนา ในงานของ Cashdan โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Risk and Uncertainty in Tribal and Peasant Economies (1989) โดย Elizabeth A. Cashdan มุ่งเน้นการศึกษาวิธีการที่สังคมชนเผ่าและสังคมชาวนาในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูงและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน โดยการศึกษานี้จะช่วยให้เราเข้าใจว่าเศรษฐกิจของชนเผ่าและชาวนาไม่ได้เป็นเพียงการจัดการทรัพยากรทางการเงินเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในสถานการณ์ที่มีความไม่แน่นอนสูง หนังสือเล่มนี้เป็นแนวมานุษยวิทยาเศรษฐกิจ ที่มีการศึกษาผลกระทบของความเสี่ยงและความไม่แน่นอนในสังคมชนเผ่าและชาวนา Cashdan ใช้แนวคิดของความเสี่ยง (risk) และความไม่แน่นอน (uncertainty) เพื่ออธิบายวิธีการที่คนในสังคมเหล่านี้จัดการกับการตัดสินใจทางเศรษฐกิจในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน ซึ่งรวมถึงการเลือกกิจกรรมที่มีความเสี่ยง เช่น การทำเกษตรกรรม การล่าสัตว์ การหาของป่า รวมถึงการพึ่งพาและจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติในเชิงคำนึงถึงความเสี่ยงในระยะยาว แนวคิดหลักในหนังสือ ประกอบด้วย 1. Risk and Uncertainty (ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน) Cashdan อธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง “ความเสี่ยง” และ “ความไม่แน่นอน” ในเศรษฐกิจของชนเผ่าและชาวนา โดย “ความเสี่ยง” หมายถึงสถานการณ์ที่สามารถประมาณค่าผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือการล่าสัตว์ในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงที่สามารถประเมินได้ ส่วน “ความไม่แน่นอน” หมายถึงสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ไม่สามารถคาดเดาหรือประเมินได้จากข้อมูลที่มีอยู่ เช่น การเปลี่ยนแปลงในสภาพอากาศหรือการเกิดโรคระบาด 2. การจัดการความเสี่ยง Cashdan แสดงให้เห็นว่า ผู้คนในสังคมเหล่านี้มักจะใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในการลดความเสี่ยง เช่น การกระจายความเสี่ยงโดยการทำกิจกรรมหลายประเภท เช่น การทำการเกษตรควบคู่กับการล่าสัตว์ หรือการกระจายการลงทุนในทรัพยากรธรรมชาติที่หลากหลายเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดฃ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างการตัดสินใจและสังคม Cashdan ชี้ว่าการตัดสินใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจในสังคมชนเผ่าและชาวนาไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนตัว แต่มีการพึ่งพาอาศัยกันในชุมชน โดยการตัดสินใจที่เกิดขึ้นมักจะได้รับอิทธิพลจากค่านิยมและสังคมภายในกลุ่ม 4. การจัดการความเสี่ยงผ่านการปรับตัวทางสังคม Cashdan ย้ำว่าในสังคมชนเผ่าและชาวนานั้น การปรับตัวและการจัดการกับความเสี่ยงไม่ใช่แค่การตัดสินใจทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับตัวในเชิงสังคม เช่น การพึ่งพาความช่วยเหลือจากสมาชิกในชุมชน หรือการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างทางสังคมเพื่อรับมือกับความท้าทายที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ มีดังนี้ 1. การกระจายความเสี่ยงในชนเผ่าล่าสัตว์ ตัวอย่างของชนเผ่าที่พึ่งพาการล่าสัตว์เป็นแหล่งอาหารหลัก ในการล่าสัตว์ พวกเขาอาจล่าสัตว์หลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการที่การล่าสัตว์ประเภทหนึ่งไม่สำเร็จ เช่น การล่าสัตว์ใหญ่ที่อาจไม่ประสบความสำเร็จในบางฤดูกาล จะช่วยให้ชนเผ่าสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนได้ดียิ่งขึ้น 2. การพึ่งพาทรัพยากรหลายแหล่งในสังคมเกษตรกรรมฃ ในบางกรณีชาวนาในสังคมเกษตรกรรมอาจปลูกพืชหลายประเภทเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการที่ผลผลิตจากพืชหนึ่งล้มเหลว เนื่องจากปัญหาด้านสภาพอากาศหรือโรคพืชในช่วงเวลาต่างๆ 3. การจัดการกับความไม่แน่นอนจากการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม ในกรณีของการเลี้ยงสัตว์ ชุมชนอาจมีการใช้วิธีการจัดการฝูงสัตว์ที่สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศหรือภัยพิบัติธรรมชาติ ข้อคิดที่ได้จากหนังสือ คือการจัดการความเสี่ยงในสังคมชนเผ่าและชาวนาไม่ใช่เพียงเรื่องของการตัดสินใจทางเศรษฐกิจแต่ยังเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมที่มีผลต่อวิธีการที่คนเลือกจัดการกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน หนังสือช่วยให้เราเห็นว่าชุมชนที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอนต้องพึ่งพาความสามารถในการปรับตัวและการใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรับมือกับความท้าทายจากภายนอก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ Risk and Uncertainty in Tribal and Peasant Economiesฃ 1. การจัดการกับความเสี่ยงจากสภาพอากาศในภาคเกษตรกรรม ตัวอย่างจากชุมชนเกษตรกรรมในบางภูมิภาคที่มีการปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าว, ข้าวโพด, และมันสำปะหลัง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการที่พืชชนิดหนึ่งอาจเสียหายจากภัยธรรมชาติ เช่น ภัยแล้งหรือพายุ น้ำท่วม การปลูกหลายชนิดจึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีผลผลิตที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ แม้ในบางปีที่พืชบางชนิดได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศ 2. การจัดการกับความไม่แน่นอนในกิจกรรมการล่าสัตว์ ตัวอย่างจากชนเผ่าพื้นเมืองที่พึ่งพาการล่าสัตว์เพื่อหาอาหาร โดยพวกเขามีการแบ่งแยกหน้าที่การล่าสัตว์ในกลุ่มเพื่อเพิ่มโอกาสในการจับสัตว์ เช่น การล่าสัตว์ขนาดใหญ่และขนาดเล็กในเวลาเดียวกัน การแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ที่มีสัตว์อยู่ การใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับแต่ละประเภทของสัตว์ เป็นต้น ซึ่งช่วยลดความไม่แน่นอนจากการที่การล่าสัตว์ไม่สามารถคาดการณ์ได้เสมอไป 3. การจัดการกับความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยและการระบาด ชุมชนชนเผ่าพื้นเมืองหรือชาวนาบางกลุ่มจะจัดการกับความเสี่ยงจากการเจ็บป่วยและการระบาดของโรคผ่านการเก็บเสบียงอาหารและวัสดุที่จำเป็นเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด หรือการพึ่งพาเครือข่ายทางสังคมเพื่อช่วยเหลือและดูแลผู้ที่ประสบปัญหาด้านสุขภาพ 4. การแบ่งปันทรัพยากรในกลุ่มฃ ในบางกรณี เช่น ชุมชนชาวนา การแบ่งปันทรัพยากรเช่น น้ำหรือพื้นที่เพาะปลูกกับสมาชิกในชุมชนคนอื่น ๆ จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการใช้ทรัพยากรของแต่ละคนให้หมดไป โดยเฉพาะในช่วงที่มีความไม่แน่นอนด้านสภาพแวดล้อมหรือการผลิต คำสำคัญในหนังสือ อาทิเช่น 1. Risk (ความเสี่ยง) ความเสี่ยงในที่นี้หมายถึงสถานการณ์ที่ผลลัพธ์จากการตัดสินใจสามารถคาดเดาได้บางส่วน โดยใช้ข้อมูลจากสภาพแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น การปลูกพืชที่สามารถประเมินผลได้จากฤดูกาลฃ 2. Uncertainty (ความไม่แน่นอน) หมายถึงสถานการณ์ที่ผลลัพธ์ไม่สามารถคาดเดาหรือประเมินได้จากข้อมูลที่มีอยู่ เช่น สภาพอากาศที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้หรือโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดฃ 3. Reciprocity (การแลกเปลี่ยน) การแลกเปลี่ยนทรัพยากรหรือบริการในชุมชนเพื่อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เช่น การแลกเปลี่ยนการทำการเกษตรระหว่างชาวนา การแลกเปลี่ยนการล่าสัตว์ระหว่างชนเผ่า 4. Diversification (การกระจายความเสี่ยง) การกระจายการลงทุนในหลายประเภทของกิจกรรมหรือทรัพยากรเพื่อเพิ่มโอกาสในการลดความเสี่ยงจากการที่บางกิจกรรมหรือทรัพยากรอาจประสบปัญหาหรือความสูญเสีย เช่น การปลูกพืชหลายชนิด 5. Coping Mechanisms (กลไกการรับมือ) วิธีการที่ชุมชนใช้ในการรับมือกับความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงที่เกิดขึ้น เช่น การเก็บเสบียงอาหารล่วงหน้า การสร้างเครือข่ายการช่วยเหลือภายในชุมชน 6. Social Networks (เครือข่ายทางสังคม) ความสัมพันธ์และการพึ่งพาซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกในชุมชน ซึ่งช่วยในการแบ่งปันทรัพยากรหรือให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดคิด สรุป ในหนังสือ Risk and Uncertainty in Tribal and Peasant Economies, Elizabeth A. Cashdan แสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ชุมชนชนเผ่าและชาวนาใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การกระจายความเสี่ยงและการสร้างเครือข่ายทางสังคม เพื่อจัดการกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของพวกเขา คำสำคัญในหนังสือรวมถึงการแลกเปลี่ยน, การกระจายความเสี่ยง, และกลไกการรับมือ ซึ่งช่วยให้เข้าใจว่าความสัมพันธ์ทางสังคมมีบทบาทสำคัญในการจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในสังคมเหล่านี้ หนังสือ Risk and Uncertainty in Tribal and Peasant Economies เน้นการศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีการที่ชุมชนชนเผ่าและชาวนาในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอนสูงจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจผ่านการปรับตัวทางสังคมและการกระจายความเสี่ยง หนังสือเล่มนี้เป็นการผสมผสานระหว่างมานุษยวิทยาเศรษฐกิจและการศึกษาความเสี่ยงที่ช่วยเสริมสร้างความเข้าใจในวิธีการที่สังคมเหล่านี้รับมือกับสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...