ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เทคนิคของร่างกาย The Techniques of the Body” ผ่านงานของ Marcel Mauss โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

แนวคิด “The Techniques of the Body” ของ Marcel Mauss ปรากฏในบทความชื่อเดียวกันที่เขาเขียนในปี 1934 เป็นหนึ่งในงานสำคัญที่บุกเบิกการศึกษาเกี่ยวกับร่างกายในเชิงมานุษยวิทยา โดย Mauss เสนอว่า ร่างกายไม่เพียงแค่เป็นเครื่องมือหรือวัตถุทางชีววิทยา แต่เป็นเครื่องมือทางสังคมและวัฒนธรรมที่หล่อหลอมจากการเรียนรู้ ดังที่ Marcel Mauss บอกว่า “The body is the first and most natural tool of man.” หมายความว่า ร่างกายคือเครื่องมือแรกและเครื่องมือธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ซึ่งประโยคนี้สะท้อนถึงความคิดของ Mauss ว่ามนุษย์ใช้ร่างกายในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ และวิธีการเหล่านี้ได้รับการปรับแต่งและหล่อหลอมผ่านวัฒนธรรม ดังนั้น เทคนิคเหล่านี้ผูกโยงกับวัฒนธรรม ดังที่ Mauss (1934) บอกว่า “Techniques are not simply mechanical, they are social.” นั่นคือ เทคนิคของร่างกายไม่ได้เป็นแค่กระบวนการเชิงกลไก แต่ยังเป็นผลผลิตของสังคม ประโยคนี้ชี้ให้เห็นว่าเทคนิคต่าง ๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ การอุ้มเด็ก ล้วนถูกกำหนดโดยบริบททางสังคมและวัฒนธรรม คนในแต่ละสังคมจึงมีเทคนิคในการจัดการร่างกายที่แตดต่างกัน แม้แต่ในสังคมเดียวกัน แต่ชนขั้น ครอบครัวต่างกันก็แตกต่าง ดังที่ Mauss(1934) บอกว่า “These techniques vary not just between individuals but across societies, classes, and epochs.” หมายความว่า เทคนิคของร่างกายแตกต่างกันไม่ใช่แค่ในระดับบุคคล แต่ยังแตกต่างกันในแต่ละสังคม ชนชั้น และยุคสมัย ที่เน้นการเปลี่ยนแปลงของเทคนิคทางร่างกายตามบริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ การบ่มเพาะแผงฝังทางวัฒนธรรมผ่านร่างกาย จึงสะท้อนการถ่ายทอด การเป็นผู้รับ มากกว่าจะเป็นผู้ผลิตที่สร้างสรรค์ร่างกายของตัวเอง แต่ทว่ากลายเป็นผู้รับความหมาย ความคาดหวัง หรือเป้าหมายทางสังคม เข้ามาในร่างกาย ดังเช่นที่ Mauss (1934) บอกว่า “The education of movements is always done through imitation, not invention.” การเรียนรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเกิดขึ้นจากการเลียนแบบ ไม่ใช่การสร้างสรรค์ขึ้นเอง ดังนั้นประโยคนี้จึงเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรมที่ส่งผ่านรุ่นสู่รุ่นที่มีความสำคัญ และกระทำผ่านร่างกายของมนุษย์ สิ่งที่น่าสนใจว่า ความเชื่อที่ว่า พฤติกรรมหรือนิสัยจริตของปัจเจกบุคคลเสมือนสิ่งที่ปัจเจกบุคคลเลือก เอง แต่ทว่าแท้จริงแล้วเกิดขึ้นจากการเรียนรู้และการหล่อหลอมทางสังคมวัฒนธรรมด้วย ดังเช่น Mauss (1934) บอกว่า “Habits do not just involve individual choices, they are collective phenomena shaped by society.” ซึ่งพฤติกรรมที่เป็นนิสัยไม่ได้เป็นแค่การตัดสินใจของปัจเจกบุคคล แต่มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการหล่อหลอมของสังคม ที่มีการเชื่อมโยงกับแนวคิด Habitus ที่พฤติกรรมของร่างกายถูกหล่อหลอมโดยสังคมและวัฒนธรรม แนวคิดหลักของ “The Techniques of the Body” 1. ร่างกายในฐานะเครื่องมือ โดย Mauss มองว่าร่างกายคือ “เครื่องมือแรกสุด” ของมนุษย์ที่ถูกใช้งานในกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การเดิน การวิ่ง การกิน การนอน แต่การใช้งานร่างกายเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติทั้งหมด มันถูก “เรียนรู้” ผ่านการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม 2. Techniques (เทคนิค) เทคนิคในมุมมองของ Mauss หมายถึง วิธีการที่ร่างกายถูกใช้ในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ตัวอย่างเกี่ยวกับ “Techniques of the Body” อาทิเช่น การอุ้มเด็ก ในแต่ละวัฒนธรรมมีวิธีอุ้มเด็กที่แตกต่างกัน เช่น ในบางชุมชนพื้นเมืองในอเมริกาใต้ เด็กถูกมัดไว้กับหลังของแม่ในขณะทำงาน ซึ่งช่วยให้เด็กได้ใกล้ชิดกับร่างกายแม่ ซึ่งในยุโรป เด็กมักถูกอุ้มในท่าหันหน้าเข้าหาหรือวางในรถเข็น วิธีเหล่านี้สะท้อนถึงความเชื่อทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับการเลี้ยงดูและความสัมพันธ์ในครอบครัว การนอนหลับ ในญี่ปุ่น การนอนบนฟูกบาง ๆ บนพื้น (tatami) เป็นเรื่องปกติ ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับความเรียบง่ายและประหยัดพื้นที่ ในยุโรปหรืออเมริกา การนอนบนเตียงนุ่ม ๆ สะท้อนถึงค่านิยมเรื่องความสะดวกสบาย การกิน ในบางวัฒนธรรม เช่น อินเดีย ใช้มือกินอาหารโดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางกายภาพกับอาหารและธรรมชาติ ในยุโรป การใช้ช้อนส้อมบ่งบอกถึงการฝึกฝนมารยาททางสังคม การเดินและท่วงท่าในสังคม ผู้หญิงในวัฒนธรรมที่เคร่งครัดเรื่องเพศ อาจถูกสอนให้เดินอย่างระมัดระวังโดยไม่เหยียบหนักหรือเคลื่อนไหวมากเกินไป หรือการเดินแบบทหารที่มีจังหวะและความพร้อมเพรียง แสดงถึงการจัดระเบียบร่างกายเพื่อแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน 5. การออกกำลังกาย การวิ่งมาราธอนในยุคปัจจุบันมักสะท้อนถึงวัฒนธรรมที่ให้คุณค่ากับความแข็งแกร่งและการพิสูจน์ตนเอง ในอดีต การออกกำลังกายในยุโรปถูกจัดให้อยู่ในระบบของชนชั้น เช่น การเต้นรำในราชสำนัก 3. ร่างกายในฐานะปรากฏการณ์ทางสังคม (Social Phenomenon) Mauss เชื่อว่า การเคลื่อนไหวของร่างกายไม่ได้เป็นสิ่งที่ “ธรรมชาติ” อย่างเดียว แต่เป็นผลมาจากการเรียนรู้และวัฒนธรรม ตัวอย่างเช่น การว่ายน้ำของคนในแต่ละสังคมมีท่าทางที่ต่างกัน การไหว้ในประเทศไทยต่างจากการจับมือในตะวันตก 4. การถ่ายทอดผ่านวัฒนธรรม (Cultural Transmission) การเรียนรู้เทคนิคของร่างกายไม่ได้เกิดจากการสอนที่เป็นทางการเท่านั้น แต่ยังเกิดจากการเลียนแบบและการฝึกฝนผ่านการอยู่ร่วมกันในสังคม เช่น เด็กเรียนรู้วิธีการเดินหรือวิ่งจากผู้ใหญ่ ทหารเรียนรู้วิธีการเคลื่อนไหวในระเบียบวินัยของกองทัพ 5. Habits และการจัดระเบียบร่างกาย แนวคิดนี้คล้ายกับ Habitus ของ Pierre Bourdieu ที่อธิบายว่า ร่างกายและพฤติกรรมของมนุษย์ถูกจัดระเบียบตามโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น คนในชนชั้นหรืออาชีพที่ต่างกันอาจมี “วิธีการเดิน” หรือ “การถือของ” ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างในงานของ Mauss โดย Mauss ยกตัวอย่างเกี่ยวกับวิธีการเดินและการว่ายน้ำ เช่น การว่ายน้ำ เขาสังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเทคนิคการว่ายน้ำในช่วงเวลาหนึ่งในยุโรป จากท่าแบบหนึ่งไปสู่อีกท่าหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมการฝึกฝนร่างกาย หรือการเดินของทหารในสังคมยุโรป การเดินของทหารเป็นการแสดงถึงการฝึกฝนทางวัฒนธรรมที่เฉพาะเจาะจง และไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ คำสำคัญที่เกี่ยวข้อง เช่น Embodiment คือแนวคิดที่ว่าร่างกายสะท้อนถึงวัฒนธรรมและสังคม ร่างกายเป็นพื้นที่ของการรับรู้ แฝงฝังทางวัฒนธรรม Practical Knowledge คือ วิธีการใช้ร่างกายที่เกิดจากการฝึกฝน และ Cultural Habitus คือการที่วัฒนธรรมฝังอยู่ในพฤติกรรมและการเคลื่อนไหวของร่างกาย แนวคิดของ Marcel Mauss ปรากฏในงานของเขา เรื่อง Sociologie et Anthropologie” (1934) ถือเป็นที่มาของบทความ “The Techniques of the Body” บทความนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาร่างกายในมุมมองทางสังคมและวัฒนธรรม Sociologie et Anthropologie” (1934) ถือเป็นที่มาของบทความ “The Techniques of the Body” บทความนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาร่างกายในมุมมองทางสังคมและวัฒนธรรม และได้รับการขยายความต่อในหนังสือชื่อ “The Body & Society”ของ Bryan S. Turner หนังสือเล่มนี้วิเคราะห์ร่างกายในเชิงสังคมศาสตร์ และใช้แนวคิดของ Mauss เป็นหนึ่งในพื้นฐาน ในหนังสือชื่อ “The Logic of Practice” ของ Pierre Bourdieu โดย Bourdieu นำแนวคิดของ Mauss มาขยายความในเรื่อง Habitus โดยชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมและการใช้ร่างกายสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคม และสุดท้ายใน หนังสือ ชื่อ“The Anthropology of the Body and Modernity” โดย Thomas Csordasฃ ซึ่ง Csordas ใช้แนวคิดนี้ในการพูดถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับสิ่งแวดล้อม และการหล่อหลอมตัวตนผ่านร่างกาย ประเด็นสำคัญในเรื่องเทคนิคของร่างกาย( The Techniques of the Body) ที่เราสามารถนำมาทำการเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์ทางสังคมวัฒนธรรมในปัจจุบัน อาทิเช่น 1. พฤติกรรมทางสุขภาพที่ถูกกำหนดโดยวัฒนธรรม วิธีการกินอาหาร โดยเทคนิคการใช้ร่างกาย เช่น การกินอาหารด้วยมือ การใช้ตะเกียบ หรือช้อนส้อม สะท้อนถึงวัฒนธรรมและอาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น การกินช้าในบางวัฒนธรรมช่วยลดปัญหาทางระบบย่อยอาหาร รวมทั้งท่าทางการทำงาน เช่น การนั่งหรือยืนทำงานในบางอาชีพที่เกิดจากการฝึกฝนในวัฒนธรรมการทำงาน อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพ เช่น ออฟฟิศซินโดรมหรืออาการปวดหลัง 2. เทคนิคของร่างกายในการดูแลสุขภาพ เทคนิคที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว เช่น การออกกำลังกาย การยืดกล้ามเนื้อ หรือการทำโยคะ มักสะท้อนถึงการเรียนรู้จากบริบทสังคม เช่น การฝึกโยคะในวัฒนธรรมอินเดียที่เน้นการรวมร่างกายและจิตใจการฝึกไทชิในจีนที่มุ่งสร้างสมดุลของพลังงานในร่างกาย หรือ การดูแลร่างกายในเชิงวัฒนธรรม เช่น การอบสมุนไพรในไทย หรือการทำออนเซ็นในญี่ปุ่น 3. พฤติกรรมเกี่ยวกับสุขภาพจิต การฝึกฝนร่างกาย เช่น การนั่งสมาธิ การไหว้ หรือการเคลื่อนไหวในพิธีกรรม มีผลต่อสุขภาพจิต เช่น การนั่งสมาธิช่วยลดความเครียดและสร้างสมาธิ การเต้นรำในพิธีกรรมช่วยเพิ่มความสุขและความสัมพันธ์ในชุมชน 4. ผลกระทบต่อสุขภาพจากการหล่อหลอมทางสังคม ตัวอย่างเช่น ท่าทางการเดินหรือการยืนที่ “เหมาะสม” ตามเพศหรือสถานะทางสังคมในวัฒนธรรมหนึ่ง อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น การสวมรองเท้าส้นสูงเพื่อความสวยงามที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหลัง 5. สุขภาพในบริบทแรงงานและเศรษฐกิจ เทคนิคของร่างกายที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน เช่น การก้มเงยในงานก่อสร้าง หรือการทำงานในโรงงานที่ใช้ท่าทางซ้ำ ๆ มักนำไปสู่ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคที่เกิดจากการทำงาน (occupational diseases)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...